ถ้าไม่นับสิ่งที่เกิดขึ้นทางออนไลน์ เรื่องอีโรติกที่อาจเกิดขึ้นกับเราได้ง่ายที่สุด อาจเป็นจูบหวานๆ สักจูบหนึ่ง และตอนนี้ผู้อ่านหลายคนอาจกำลังอยู่ในช่วงโปรโมชั่น แมตช์เดทหวาน มือกุมแตะกันในโรงหนัง เธอเอียงศีรษะซบบ่า แล้วคุณก็อาจใช้จังหวะดีๆ แลกจูบแรกกับเธอคนนั้น สถานที่อาจเปลี่ยนเป็นบนรถ หลังจบเดทอันสวยงามของวัน แม้จะอยู่ท่ามกลางผู้คน แต่จูบสามารถพาคุณก้าวข้ามจากพื้นที่สาธารณะไปยังพื้นที่ส่วนตัว และในบางสถานการณ์ จูบคือสัญญะต้นๆ ของการยอมรับ การจูบกลับนั้นหมายถึงความสัมพันธ์ที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้วแน่ๆ
ความรู้สึกพิเศษจากการจูบ ไม่ได้มีที่มาแค่จากประสาทรับรู้บนริมฝีปากของคนทั้งคู่ แต่ยังมาจากการที่เราตระหนักว่ามีใครคนหนึ่งกำลังชอบเรามากทีเดียว คำสารภาพแบบอ้อมๆ นี้ทำให้จูบธรรมดาๆ กลายเป็นความรู้สึกอันแสนท่วมท้น และพาเราก้าวข้ามไปยังขั้นตอนต่อไปที่อีโรติกยิ่งกว่า พูดง่ายๆ ว่า เมื่ออีกฝ่ายยอมรับคุณด้วยจูบแล้ว คุณก็อาจได้รับสิทธิให้เข้าถึงอีกพื้นที่ ที่เขาหรือเธอได้ปิดบังเอาไว้ด้วยเสื้อผ้า
Alain de Botton ผู้เขียนหนังสือเรื่อง “How to Think More about Sex” บอกว่าการขับอดัมกับอีฟออกจากสวรรค์ทั้งเปลือย มีนัยยะของความอับอายเชิงกายภาพ (physical shame) จากปฐมบาปที่ทั้งสองไม่เชื่อฟังพระเจ้า เมื่อถูกขับออกจากสวนเอเดนแล้ว อดัมกับอีฟก็เกิดความรู้สึกอับอายและต้องหาสิ่งอื่นมาปกปิดร่างกาย
ข้อนี้เชื่อมโยงกับที่เราเขียนไว้ในบทความที่แล้ว ว่าการสวมใส่เสื้อผ้าไม่ใช่เพียงแค่ทำให้ร่างกายอบอุ่น แต่ยังเป็นการปกปิดร่างกายจากสายตาของคนอื่น จากความรู้สึกที่เราไม่ใคร่จะพอใจในร่างกายของตัวเองนัก จนพลอยกังวลว่าคนอื่นจะไม่พึงใจเมื่อได้เห็นร่างเปล่าเปลือยอันน่ากระดากอายของตน ในแง่หนึ่ง อาจพูดได้ว่าเราเกิดการแบ่งแยกอัตลักษณ์ออกเป็นส่วนที่เป็นสาธารณะกับส่วนตัว โดยที่ตัวตนส่วนตัวนั้นเราแทบไม่สามารถจะแชร์กับใครได้เลย
ในเวลาเดียวกัน คุณอาจเป็นได้ทั้งนักเรียนดีเด่นของอาจารย์ เป็นพนักงานเก่งกาจที่ทุกคนยอมรับ และเป็นคนที่ช่วยตัวเองเพื่อปลดปล่อยอารมณ์คั่งค้างจากภาพสาวเซ็กซี่ที่แอบดูในเมื่อตอนพักกลางวัน น่าแปลกที่ตัวตนส่วนหลังไม่ใช่สิ่งที่คุณพึงใจจะเปิดเผยมัน ทั้งที่ทุกด้านก็ล้วนเป็นคุณทั้งนั้น เพียงแค่สวมเสื้อผ้ากันคนละชุด
Botton ยังกล่าวอีกว่า “ช่วงเวลาที่เซ็กซ์ถมทับตัวตนส่วนที่เป็นเหตุผลของเรา คือช่วงขณะที่รู้กันดีว่าแสนอีโรติก”* เราเห็นด้วยกับเขาว่าเซ็กซ์เป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือเหตุผลหรือกรอบสังคม และจูบก็เป็นด่านแรกที่จะพาเราให้หลุดออกจากกรอบนั้นๆ กรอบที่มีเสื้อผ้าเป็นตัวแทนที่พื้นฐานที่สุด
หลายครั้งเราจึงเห็นเซ็กซ์ที่ว่าด้วยจินตนาการท่วมท้นเกี่ยวกับ ‘เครื่องแบบ’ ที่เป็นรูปแบบหนึ่งของความอีโรติกซึ่งเกิดจากช่องว่างระหว่าง สัญลักษณ์ของการควบคุมด้วยเหตุผล (ความเป็นทางการและอำนาจของเครื่องแบบที่ส่งผลกับเรา) กับ การปลดปล่อยแรงปรารถนาทางเพศที่ทำลายอำนาจของเครื่องแบบนั้นๆ แม้ในช่วงเวลาหนึ่งก็ตาม ไม่น่าเชื่อว่าแค่จูบ จะพาเราไปสู่เรื่องทั้งหมดนี้ได้
แต่ทีนี้ คุณอาจลองจินตนาการอีกแบบ ว่าคุณกำลังจูบกับเพื่อนในออฟฟิศ หรือ คุณลุงข้างบ้านที่คุณแทบจะไม่เคยคุยด้วยสักคำ แค่ฟังดูก็ไม่เวิร์กแล้วใช่ไหม? นั่นล่ะความอีโรติกมักจะไม่เกิดขึ้นกับคนที่ไม่ใช่ แม้แต่กับฝรั่งที่เฟรนช์คิสกันเป็นกิจวัตร จูบก็จะยังไม่กลายเป็นเรื่องอีโรติกถ้าอีกฝ่ายไม่ใช่คนที่คุณรู้สึกอะไรบางอย่างด้วย หรือไม่ได้คิดแบบเดียวกับคุณ
นี่จึงเป็นอีกครั้ง ที่น่าฉงนปนตื่นเต้นไม่น้อย เมื่อเราไม่อาจรู้ได้เลยว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเรา คิดกับกิจกรรมทางกายภาพที่กำลังจะเกิดขึ้นลึกซึ้งมากน้อยแค่ไหน จูบของเราจะมีความหมายแค่ไหน? แต่ทันทีที่เราจูบ ทั้งหมดในหัวก็อาจแค่เลือนรางไปเฉยๆ และพานทำให้การ think more about sex ของเรากลายเป็นเรื่องเลื่อนลอยไป
Text by ‘แมวกุหลาบดำ’ สัตว์กลางคืนที่สนใจในมนุษย์ หลงใหลวรรณกรรมและปรัชญาเป็นพิเศษ
Cover illutration by loemor