ไม่ใช่แค่ท่วงทำนองเพราะๆ ฟังชิลล์ๆ และเนื้อเพลงกระทบใจคนสมัยนี้ วง Whal & Dolph ยังเป็นที่รู้จักด้วยความแปลกประหลาดในมิวสิกวิดิโอที่พวกเขาทำกันเอง อย่างเช่นม็อคคิวเมนทารี่เกี่ยวกับแกงค์ชาวประมงวัยฉกรรจ์ในเพลง ‘โอ๊ย’ หรือ เรื่องของวัยรุ่นที่ออกตามหาพญานาคจนหายตัวไปในเพลง ‘ละเมอ’ ที่ดูเหมือนความเกี่ยวข้องกับเนื้อเพลงจะมีอยู่บางมากๆ แต่เอาไปเอามา กลับไปกันได้ดีทีเดียว
Whal & Dolph ประกอบด้วย ปอ—กฤษสรัญ จ้องสุวรรณ (ดอล์ฟ) และน้ำวน—วนนท์ กุลวรรธไพสิฐ (วาฬ) ซึ่งรู้จักกันมามากกว่า 6 ปีด้วยความเข้าขาและไลฟ์สไตล์ใกล้ๆ กัน จึงทำวงดนตรีด้วยกันเสียเลย แต่ถึงอย่างนั้น Whal & Dolph ไม่ใช่วงแรกของคนทั้งคู่ ก่อนหน้านี้ ปอเคยเป็นคนเขียนเพลงและนักร้องของวง The Jocking Boy และ Fits ในขณะที่น้ำวนเป็นมือกีต้าร์วง The Public Mansion มาก่อน
และหลังจากผ่านเส้นทางดนตรีมาร่วมสิบปีแล้ว ตั้งแต่จุดเริ่มต้น—ตอนนี้พวกเขาได้เข้าสังกัดค่ายเพลง What The Duck เป็นที่เรียบร้อย และการเข้าค่ายในครั้งนี้ก็ยิ่งทำให้พวกเขาได้ก้าวผ่านข้อจำกัดบางข้อของตัวเองและเดินทางเข้าสู่ phase ใหม่ของเส้นทางดนตรีทันที
มิวสิกวิดิโอแรกที่ปล่อยออกมาหลังจากเข้าค่ายก็คือเพลง ‘หากมันจะสายเกินไป’ ที่ทีมงานส่วนใหญ่ก็มาจากแก๊งเดิม ทีมเดิมที่เคยทำด้วยกันนั่นเอง แถมเหิมเกริมหนักข้อด้วยการทำการ์ดรูปชาวแกงค์แต่ละคนแถมไปกับแผ่นซีดีราวกับเป็นสาวๆ BNK48 ก็ไม่ปานซึ่งแม้สิ่งที่แสดงออกไปจะดูเพี้ยนๆ แต่พอได้ฟังเพลงใน Rayon อัลบั้มใหม่ของพวกเขาแล้ว ความเพี้ยนที่ว่าอาจจะกลายเป็นความเศร้าละมุนๆ ไปเลยทีเดียว
Life MATTERs : ทำไมถึงทำการ์ดออกมาให้คนเก็บสะสม
ปอ : ไอเดียจริงๆ มันมาจากน้องๆ ในกลุ่มพวกเรา ก็คิดว่าคนในวงเรา พวกที่ตามไปถ่ายเอ็มวีด้วยกันมีเยอะ แล้วมีน้องที่เขาชอบวง BNK48 ก็เลยอยากทำการ์ดแบบวงไอดอลออกมาแจกเพื่อสนองนี้ด ซึ่งน้องๆ ก็ลงทุนกันเองไม่เกี่ยวกับวง
น้ำวน : น้องอยากทำเราก็ไม่ขัดศรัทธา เห็นมันแฮปปี้เราก็ดีใจ
ปอ : แล้วพอเริ่มโพสต์ไปก็มีคนสนใจ อยากได้การ์ดกันแฮะ (หัวเราะ)
Life MATTERs : หลังจากมีค่ายแล้ว ความสนุกในการทำอัลบั้มใหม่นี้คืออะไร
ปอ : ความสนุกมันมีมาตั้งแต่เริ่มทำกันเองแล้วแหละ แต่พอเข้ามาอยู่ในค่ายเราก็สนุกอีกรูปแบบหนึ่ง ก็จะได้อยู่ในหลายๆ สื่อมากขึ้น ลุ้นว่าเราจะไปกันถึงไหน ตอนนี้ก็วางไข่ไปเรื่อยๆ (หัวเราะ)
Life MATTERs : ก่อนที่ทั้งสองคนจะหันมาทำเพลงป๊อปฟังสบายแบบตอนนี้ ต่างคนต่างก็ได้ต่อสู้และตามหาตัวเองกันมาประมาณหนึ่ง อยากให้เล่าถึงช่วงเวลานั้นสักหน่อย
ปอ : มันก็เกือบ 10 ปีเหมือนกันนะ อายุ whal & dolph ไม่ถึงปีก็จริง แต่เรารู้สึกว่าการที่เราไปทำวงต่างๆ พวกนั้นที่ผ่านมา ด้วยความเป็นวงอัลเทอร์เนทีฟ บางครั้งก็ไม่ได้มีคนฟังหมู่มาก มันเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้เราเอง เล่นทีก็ต้องลุ้นว่าจะมีใครมาฟังหรือเปล่า หรือจะมีแต่เพื่อนด้วยกันเอง นักดนตรีด้วยกันเอง เราผ่านจุดนั้นมาเยอะมาก
น้ำวน : ตอนนี้เลยค่อนข้างมีภูมิต้านทาน เพราะว่าเคยเจอมาหมดแล้ว
ปอ : เราไม่ได้เจ็บช้ำเท่าไหร่ ถ้าไปเล่นแล้วไม่มีคนดูก็คงไม่เสียใจมาก เคยมีส่งเพลงไปให้เขาฟัง แต่เขาไม่อะไร ก็มีเหมือนกัน
น้ำวน : สมัยนั้นหน้าด้าน
ปอ : เคยรู้สึกเหมือนกัน เช่นคลื่นนั้นเอาเพลงเราไป ทำไมไม่เปิดให้เราเลย ทำไมไม่เคยได้ขึ้นชาร์ตเลย เราผ่านมาหมดแล้ว จนตอนนี้เราเจอเส้นทางใหม่ เราไม่ได้แคร์เลยว่าคนจะเปิดเพลงเราหรือเปล่า เราแค่แคร์ว่าผลงานเราจะเป็นอย่างไรต่อ พอเรามาทำอันนี้มันเหมือนอีกด่านนึงแล้ว สิบปีที่แล้วเป็นด่านหนึ่ง
น้ำวน: เหมือนช่วง 10 ปีที่ผ่านมามันไม่ได้ซีเรียสด้วยมั้ง ตอนนั้นยังเด็กๆ ไม่ต้องคิดอะไร เล่นดนตรีไปเพื่อความสนุก ตอนนี้ก็แอบต้องคิดหน่อยนึง
ปอ: เพราะว่าเราจะทำมันเป็นอาชีพ เราก็คิดเยอะ
น้ำวน: เราก็อยากอยู่ได้ด้วยอาชีพนี้เหมือนกัน มันเป็นความฝันความสุข
Life MATTERs : จากนี้ไปดนตรีในแบบของพวกคุณจะไม่จำกัดแนวอีกต่อไปแล้ว?
ปอ : เราว่าตอนนี้การจำกัดแนวมันเริ่มไปหมดแล้ว ตอนนี้มันเป็นยุคใหม่
น้ำวน : มันผสมมั่วไปหมด
ปอ : คุณจะไปจำกัดมันยังไง อย่างเพลงนึงมี 5-6 แนวอยู่ในนั้น มันกลายเป็นว่าคุณจะทำอย่างไรให้คนจำคุณได้ และรู้จักคุณมากกว่า
น้ำวน : ซึ่งการให้ตัวเองชอบและคนอื่นฟังได้มากที่สุด อันนี้น่าจะเป็นโจทย์ที่ยากที่สุดแล้ว ถ้าเราทำเพลงที่มันอยู่ในกระแสหลักจัดๆ แล้วได้รับความนิยม แต่เราอาจจะยี้เพลงตัวเองก็ได้นะ
ปอ : ทำอย่างไรให้คนชอบด้วย แล้วเราเองก็ชอบด้วย ไม่งั้นคุณอาจจะไม่อยากร้องเพลงของตัวเอง แต่เราอยากนะ เราชอบเพลงของตัวเอง
Life MATTERs : การที่ในวงมีกัน 2 คนตั้งแต่แรก มันยากหรือง่ายอย่างไร
ปอ : เราก็ต้องช่วยกันทั้งสองคน เพราะวงเรามีแค่สองคน แต่เรามองว่าถ้าคุณยิ่งมากคน มันจะยิ่งมากความ แล้วมันจะไม่เสร็จ จะไม่จบ นี่พวกเราทำกันสองคน มันเลยตัดสินใจกันง่าย สมมติมีคนมาช่วยเราในส่วนไหน เราก็ฉับเลยว่าเอาแบบนี้นะ เราตัดสินใจ เขาก็จะไม่สามารถมาต่อรองเราได้ เพราะว่าวงเรามีสองคน เรายืนยันตรงกันแบบนี้ ซึ่งมันเป็นข้อดี
น้ำวน : แต่จริงๆ เรามีคนที่มาช่วยทำเพลงแล้วก็มาเล่นในวงเราด้วย มือเบสคือพี่ท็อปจากวงมหัศจรรย์ธรรมดา กับมือกลองคือธัญจากวง Zweedz ‘n’ Roll ซึ่งเวลาเราทำ เราไม่สามารถไปกำหนดพาร์ตเบสของเขาได้ขนาดนั้น เพราะก็ไม่ได้เก่ง มือเบสก็จะมาช่วยคิดแล้วเราก็แค่บอกว่าอันนี้เราชอบ อันนี้เราไม่ชอบ เขาก็ไม่อะไร เพราะเขาแค่มาช่วยเราเล่น แต่จริงๆ เรานับเขาเป็นสมาชิกวงนะ เพราะเขาช่วยเราเยอะเหลือเกิน
Life MATTERs : มองว่าความ “ก็จะทำแบบนี้” ของ whal & dolph คือสิ่งที่ทำให้คนจดจำไหม
ปอ : ใช่ อย่างเอ็มวีเพลงโอ๊ย ก็เป็นเพลงที่ทำให้คนรู้จักเราเยอะขึ้นมากๆ เพราะเอ็มวีแบบนี้ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน เราไม่เคยหาเรฟจากไหน เราแค่เคยคิดไว้เกี่ยวกับเรื่องของชาวประมง แล้วช่วงนั้นบังเอิญต้องไปเล่นคอนเสิร์ตที่จันทบุรีพอดี ก็เลยคิดว่าไปถ่ายเอ็มวีชาวประมงแบบเป็นม็อคคิวเมนทารี่ดีไหม แต่ละคนก็จะมาเล่าเรื่องความเจ็บปวดที่ต่างๆ กันไป จนต้องหนีไปอยู่ทะเล
ถึงจันทบุรี เล่นคอนเสิร์ตจบก็ไปหาโลเคชั่นคืนนั้นเลย ก็เจอพอดี ทุกอย่างมันเหมือนเป็นโชคชะตา ก็เอาฟุตทั้งหมดมาทำเป็นเอ็มวี ตอนนั้นเราเองก็ไม่รู้ว่าเอ็มวีจะออกมาเป็นยังไง แต่สุดท้ายพอมันออกมา เราดูเอง เรายังรู้สึกเลยว่ามันอิ่ม ให้น้องที่ไปด้วยกันดูมันก็อิ่ม พอโพสต์ลงมันก็อิ่มแบบเราคิดไว้ ก็เลยคิดว่าถ้าเรารู้สึกได้ เขาจะรู้สึกได้
ส่วนเรื่องพญานาคก็เป็นข้อดีมากๆ เอ็มวีปกติส่วนใหญ่พออกมา เมื่อเวลาผ่านไปคนก็จะลืม คือตอนนี้เหมือนพญานาคมันอยู่กับเราไปแล้ว ใครจะคิดว่าวงดนตรีจะมีพญานาคอยู่ในวง ไปเล่นดนตรีก็มีคนถามว่าพี่เจอพญานาคหรือยัง ไปเล่นที่โคราชร้านที่ไปเล่นก็แปะโปสเจอร์เราก็เขียนว่าคุณเคยเจอพญานาคไหม ใครจะไปคิดว่าเอ็มวีมันช่วยเราขนาดนี้
น้ำวน: เกิดจากความประสาทแดกล้วนๆ
ปอ: แต่เราไม่ได้ทำมันออกมามั่วๆ นะ เอ็มวีเราต้องการสื่อสารว่าบางคนเชื่อว่ามันมี บางคนเชื่อว่ามันไม่มี มันก็เหมือนความรักนี่แหละ ที่คุณจะต้องตามหามานะ ซึ่งเราเองเป็นคนที่ชอบเล่าเรื่องอ้อมๆ มากกว่าเล่าตรงๆ แม้ว่ายอดวิวเราอาจไม่ได้เยอะ แต่ว่าก็มีหลายคนที่รู้จักเราจากตรงนั้น
Life MATTERs : ในอัลบั้มนี้ก็ยังทำเอ็มวีออกมาในสไตล์ของตัวเองเหมือนเดิมใช่ไหม
ปอ: ใช่ ต้องขอบคุณค่าย What the Duck ที่ยอมให้เราทำอะไรแบบนี้ เคยคุยกับพี่บอล (ต่อพงศ์ จันทบุบผา) เขาบอกว่าอยากให้วงทำงานกับคนที่รู้จักอยู่แล้วดีกว่า แต่ถ้าไม่ไหวให้บอกเขา เขาหาให้ได้ แต่ถ้ามีทีมที่แล้วสบายใจ เขาก็อยากให้ทำกับตรงนั้นมากกว่า เพราะมันก็จะได้ออกมาเป็นเราที่สุด
Life MATTERs : พอเข้าค่ายแล้วก็ต้องทำงานในไทม์ไลน์ที่เคร่งครัดมากขึ้น ทำเพลงยากขึ้นไหม
น้ำวน : ไม่ยากหรอกเพราะว่าเราเก่ง อันนี้ล้อเล่นนะ
ปอ : ไม่ล้อเล่น อันนี้พูดจริง
น้ำวน : ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่การทำงานมันเร็วมากๆ พอมีเวลาเท่านี้ สมมติปอบอกว่ามันเหลือเวลาอีก 2 วันจะเข้าห้องอัดต้องแต่งเพลงให้เสร็จ แล้วพรุ่งนี้มันก็ทำเสร็จแล้ว แล้วก็คือดี อาจเพราะมันเป็นการทำงานที่ไม่เรื่องมาก เทสต์เราใกล้ๆ กัน
ปอ: ใช่ เหมือนว่าพอเป็นนักเขียนเพลง บางทีเราไม่ได้เขียนทุกวัน แต่ถ้าเราคิดจะเขียน เรื่องมันจะผุดขึ้นมาในหัวเยอะๆ แล้วเราค่อยหยิบมาเล่น เหมือนเรามีคลังวัตถุดิบที่สะสมไว้ พอหยิบมาก็เอาไปทำอย่างอื่นต่อให้มันเสร็จ
น้ำวน: ถือว่าทำงานกันได้รวดเร็วมาก ขอชื่นชมตัวเอง (ปรบมือ)
Life MATTERs : ถึงแม้ว่าบรรยากาศกดดันก็สามารถทำงานศิลปะกันได้?
ปอ: ได้ เพราะศิลปะมันอยู่รอบตัวเรา
น้ำวน: แต่เอาจริงๆ เราว่ามันน่าจะเป็นเรื่องของประสบการณ์มากกว่าที่มันซึมมา ตลอดระยะเวลาที่เล่นดนตรี มันทำให้เราหยิบนู่นหยิบนี่มาใช้ได้เยอะ เพราะว่าเราผ่านอะไรมาเยอะ ค่อนข้างเคาะกันได้แบบลงตัว
Life MATTERs : พอได้มาทำงานกับพี่บอล Scrubb ที่เป็นไอดอลของทั้งคู่ตั้งแต่เด็กเป็นอย่างไรบ้าง
ปอ: เขาจะไม่ค่อยมายุ่งกับเรามาก เรื่องเพลงเขาก็จะแค่ขอฟังตอนที่มันเสร็จแล้ว เขาจะช่วยเรื่องอื่นมากกว่า เช่นให้คำแนะนำในการใช้ชีวิต การจัดการ เพราะเขาก็ยุ่งของเขาเหมือนกัน แต่พอเราทำอัลบั้มเสร็จ จนส่งไปปั๊มแล้ว เขาก็ยังไม่ได้ฟัง พอถึงงานที่ชวนแฟนเพลงมาฟังเพลง พี่บอลก็บอกว่าขอเอาอัลบั้มไปฟังหน่อยนะ
พอแกฟังเสร็จแกก็กลับมาฟีดแบ็คให้พวกเราว่ามันโคตรดี ดีทั้งอัลบั้ม เราก็ถามเขาว่าชอบเพลงไหนมากที่สุด เขาก็บอกมาหลายเพลง เขาฟังทั้งอัลบั้มมันดีงามมาก เขาก็ดีใจกับพวกเราเหมือนกัน เขาก็ถามว่าปอมึงเจ็บปวดขนาดนี้เลยเหรอวะ (หัวเราะ) เกินครึ่งของอัลบั้มเป็นเพลงเศร้า
Life MATTERs : พอเขียนเพลงแล้วมันเศร้าน้อยลงไหม
ปอ : ถ้าตอนที่ยังเศร้าอยู่มันก็ไม่ได้เศร้าน้อยลงหรอก
น้ำวน : มันไม่ได้เป็นการระบาย เป็นการเล่าเฉยๆ
ปอ : สำหรับเรามันก็เล่าเรื่องไป ตอนนี้ก็ไม่เศร้าแล้วเฉยๆ
น้ำวน : ตอนนี้พี่ปอเขาแฮปปี้
ปอ : คุณน้ำวนก็แฮปปี้
Life MATTERs : ถ้าฟังจากเพลงเหมือนทั้งสองคนมีความเศร้าแต่ไม่จม ซึ่งตัวจริงเป็นแบบในเพลงไหม
ปอ : คิดว่าถ้าเศร้าก็คงไม่เป็นคนที่จมดิ่ง
น้ำวน : แต่กูจมนะ
ปอ : มันก็จมแหละ แต่ก็ไม่ได้จมแบบจะฆ่าตัวตาย มันก็ค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ นะ คนที่จมก็ต้องหาอะไรทำ ซึ่งเอาจริงๆ มันก็ไม่ช่วยหรอก ต้องใช้เวลามันถึงจะหาย
Life MATTERs : ถ้าคนที่เศร้าอยู่มาฟังเพลงของพวกคุณล่ะ
ปอ : ตายแน่นอนครับ เศร้ามาก ขู่เลย
น้ำวน : คุณ recommend เพลงไหน
ปอ : รอให้เธอบอก น้ำตาฟ้า ซึมลึกไปเลย ถ้าเศร้าอยู่ก็เรียบร้อย ไม่รอด
Life MATTERs : ยอดขายซีดีเป็นอย่างไร เป็นที่น่าพอใจไหมในยุคที่คนฟังดิจิตอลเยอะมาก
น้ำวน : อัลบั้มนี้ยังไม่ได้ปล่อย แต่อันเก่ามันก็โอเค เราทำมา 400 แผ่น ก็ยังมีคนมาถามอยู่เรื่อยๆ
ปอ : มันเป็นของสะสมไปแล้ว คนซื้อไปฟัง สุดท้ายเขาก็แปลงเป็นไฟล์ดิจิตอล เป็นไฟล์ mp3 อยู่ดี เราว่าซีดีมันเป็นการแสดงความรักของแฟนเพลงสู่ศิลปินมากกว่า เรารักคุณนะ เราซื้อ มันเป็นเครื่องหมายแสดงความรักไปแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเราขายหมดก็คงแปลว่ามีคนรักเรามาก
Life MATTERs : การทำซีดีก็คือการส่งความรักไปให้คนฟังเหมือนกัน?
ปอ : ถูกต้อง ไม่งั้นเราคงไม่เหนื่อยมานั่งคิดอาร์ตเวิร์ก คิดอะไร โอเค เมื่อก่อนเราอาจจะไม่ได้แคร์คนฟังมาก แต่พอมาถึงจุดนึงที่มีคนฟังเพลงของเราเยอะขึ้น กลายเป็นว่าเราไม่สามารถทำงานห่วยๆ ออกมาให้คนฟังได้อีกต่อไปแล้ว
น้ำวน : มันมีคนรออยู่
ปอ : มันกลายเป็นความคาดหวัง เราทำเพื่อตัวเองด้วย แต่เราก็ทำเพื่อคนฟังด้วย เพราะเราไม่อยากให้เขาได้รับสิ่งที่แย่ๆ จากวงที่เขารัก เราเลยต้องคิดทุกกระบวนการ ตั้งแต่เสื้อ ลายซีดี อาร์ตเวิร์กทุกงาน เราต้องพยายามให้มันเจ๋งที่สุด เพื่อให้คนฟังภูมิใจกับสิ่งที่เขาติดตามอยู่ มันเป็นเรื่องที่ดีนะ
Life MATTERs : แล้วตอนนี้มั่นใจแค่ไหนว่าจะใช้อาชีพหาเลี้ยงชีพในช่วงอายุก่อน 30
ปอ : เราไม่สามารถมั่นใจได้เลยว่าจะหาเลี้ยงชีพได้แค่ไหน แต่ที่มั่นใจได้อย่างหนึ่งคือเราจะไม่เสียใจแน่นอนที่ทำแบบนี้ นอกนั้นเราก็ต้องรอดูไป เราไม่รู้ว่าวงเราจะเปรี้ยงปร้างหรือเปล่า อย่างบางวงที่เราคิดว่าเพลงนี้ควรจะดังมากๆ บางทีเขาก็ไม่ดังเลย มันกลายเป็นยุคที่คนฟังตัดสินกันเองแล้ว ไม่ใช่แค่ให้สื่อมาป้อน ซึ่งเราก็ไม่รู้เหมือนกัน แค่ทำงานของตัวเองให้มันดีก็พอ
Life MATTERs : เริ่มมองภาพตัวเองตอนอายุ 30-40 ปีในฐานะ Whal & Dolph ชัดขึ้นไหม
ปอ : ชัดขึ้น ว่าเราจะรวยครับ (หัวเราะ) พูดเล่น ก็คิดว่าสัก 10 ปี เราคงฟังเพลง คงเล่นดนตรีแหละ แต่เราไม่รู้ว่าเราจะไปถึงจุดไหน อาจจะไปเป็นเบื้องหลังก็ได้ หรือตอนนั้นเราอาจจะเป็นเหมือนโมเดิร์นด็อกก็ได้ ใครจะไปรู้ เราก็ตอบไม่ได้ แต่คงอยู่ในวงการดนตรีต่อไป แต่ไม่รู้ว่าในฐานะอะไร
น้ำวน : คงมีอะไรทำเกี่ยวกับเจ้านี่ไปยาวๆ แหละ
Photo by Tim Jirawangso