ถึงกับตั้งตารอไม่ไหว หลังจากมีข่าวงาน Bangkok Art Book Fair ออกมาเมื่อช่วงกลางปี โดย Studio 150 จับมือกับหอศิลป์ Bangkok City City จัดเวิร์กช็อปทำซีนและประกาศให้จับจองพื้นที่ปล่อยของกันจ้าละหวั่น จากโต๊ะโล่งๆ ก็กลายเป็นเต็มหมดในพริบตาเดียว จนเราต้องติดต่อหา เป้—ปิยกรณ์ ชัยวีรพันธ์เดช หนึ่งในทีมออร์แกไนเซอร์จาก Studio 150 มาช่วยบอกเล่ากันสักหน่อยว่างานสุดฮอตนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร
ส่วนตัวเป้เอง อาชีพหลักของเขาคือกราฟิกดีไซเนอร์ ซึ่งดูเหมือนว่าเป้จะปูทางให้ตัวเองมาตั้งแต่ตัดสินใจเลือกเรียนปริญญาโทในสาขา Graphic Design and Visual Communication ที่สาธารณรัฐเช็กแล้ว โดยประเด็นที่เขาสนใจเป็นพิเศษคือบทบาทของกราฟิกดีไซน์ในโลกปัจจุบัน และง่วนอยู่กับการริเริ่มโปรเจ็กต์ต่างๆ เกี่ยวกับกราฟิกดีไซน์ให้จับต้องได้ขึ้นมา
และ art book ก็เป็นหนึ่งในพื้นที่น่าสนใจสำหรับงานกราฟิกดีไซน์และศิลปะให้มาอยู่ร่วมกัน
“กราฟิกดีไซเนอร์เป็นผู้จัดการกับข้อมูลโดยตรง และต้องดีลกับการแปลงข้อมูลในรูปแบบต่างๆ ให้สามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งหนังสือหรือหนังสือศิลปะเอง ก็เป็นสื่อหนึ่งที่ต้องอาศัยกราฟิกดีไซน์ และถ้ามองว่า ศิลปะคือการสื่อสารรูปแบบหนึ่ง แสดงว่ากราฟิกดีไซเนอร์ก็สามารถทำงานอาร์ตได้ไม่ต่างกัน”
แน่นอนว่า art book สักเล่มหรือสองเล่มคงไม่เพียงพอหรือสาแก่ใจคนทำงานและคนเสพอาร์ต ดังนั้นสิ่งที่เมืองไทยต้องการอาจเป็นงานสักงานหนึ่งที่เราจะไปเยือนเพื่อสิ่งนี้โดยเฉพาะ และเป้ได้เล่าถึงจุดกำเนิดของงาน Bangkok Art Book Fair นี้ว่า
“สื่อหนึ่งที่เรามักใช้บ่อยๆ ในการตั้งต้นโปรเจ็กต์ก็คือ art book แล้วช่วงไปเรียนต่อต่างประเทศ ก็ได้ไปดูงาน art book fair ของที่นู่น ซึ่งชอบมากเลย มีแต่หนังสือสวยๆ พอกลับมาก็เลยทำรีเสิร์ชเรื่องนี้ แล้วก็พบว่ามีหลายคนที่ทำหนังสือแบบเราหรือสนใจเหมือนกับเรา แต่ว่าไม่มีพื้นที่ในการเผยแพร่ไอเดีย เพราะหนังสือหัวเล็กๆ ในบ้านเราก็ทยอยปิดตัวลง ส่วนหนังสือหัวใหญ่ก็ผูกขาดกับสายส่งหลักๆ ส่วน indie publisher ที่นี่แม้จะมีคนทำ แต่ก็เบาบางมาก ไม่มีการรวมกลุ่มให้เห็นชัด”
เป้เท้าความให้ฟังว่า งานในครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อเป็นการเปิดพื้นที่หรือเป็นแพลตฟอร์มให้กับศิลปินหรือใครก็ตามที่มีคอนเทนต์ ได้มาโชว์ของและพบปะกับผู้ที่สนใจโดยตรง แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกในไทย แต่เป้ก็คิดว่าครั้งนี้น่าจะมีความแตกต่างกับครั้งก่อนเพราะ Bangkok Art Book Fair 2017 เน้นไปที่กลุ่ม indie publisher เป็นหลัก ในขณะที่งานครั้งก่อนจะเน้นหนังสือของศิลปินเสียมากกว่า
ซึ่งจากปากคำของเป้ หนังสือในงานจะเป็นเสมือนการทำงานศิลปะในบริบทที่ต่างกันออกไป แต่อาศัยสื่อเป็น ‘ตัวเล่มหนังสือ’ เหมือนๆกัน ดังนั้น ในงานนี้เราจะได้เจอกับ ‘สิ่งพิมพ์’ ในหลากหลายหัวข้อจากหลากหลายมุมมอง ที่ทุกเล่มสวยชวนทรัพย์จางตั้งแต่ต้นเดือนกันเลยทีเดียว
เป้เล่าให้ฟังว่า แม้จะเปิดกว้างไม่ได้กำหนดธีมหนังสือ แต่งานนี้ก็ดูเหมือนจะรวมเอากลุ่มคนอย่าง ช่างภาพ ดีไซเนอร์ นักวาดภาพประกอบ และนักเขียน เข้าไว้ด้วยกันโดยมิได้นัดหมายราวกับรู้ตัวกันโดยอัตโนมัติว่า นี่แหละคือโปรเจ็กต์ที่ใช่!
ประเดิมงานแรก ถึงไม่รู้ว่าจะออกมาเหมือนกับ art book fair ของประเทศอื่นๆ รึเปล่า แต่เป้ก็เชื่อว่า ความแตกต่างที่มีแน่ๆ คือ “มุมมองที่มีต่อสิ่งต่างๆ – คอนเทนต์ก็จะเป็นเรื่องของภูมิภาคนี้ ประเทศนี้ แม้ว่าความแข็งแรงและปริมาณของ indie publisher ในบ้านเราอาจจะยังสู้เขาไม่ได้ แต่ในมุมมองไม่ใช่ว่าเราจะด้อยกว่าเขา เป็นความแตกต่างที่น่าสนใจอยู่ ตอนแรกคิดว่าจะเชิญ publisher มาจากเมืองนอก แต่พอคุยกันไปกันมาแล้ว คิดว่าครั้งนี้ควรจะเน้นไปทางคนไทย เพื่อให้เห็นว่าบ้านเรามีคนทำพวกนี้อยู่”
เห็นงานนี้จัดที่แกลเลอรี่หรือมีคำว่า Art ประกอบอยู่ในชื่องาน แต่บอกเลยว่าไม่ได้ตั้งใจจะมีพันธะหรือหน้าที่มาเสิร์ฟต่อวงการศิลปะใดๆ ทั้งสิ้น เป้เพียงแต่มองว่า ด้วยความเปิดกว้างและหลากหลายของคอนเทนต์ มันจะต้องมีสักจุดหรือหลายๆ จุด ที่จุนเจือเกื้อหนุนหรือว่าเชื่อมโยงกับวงการศิลปะไปเองแหละน่า และพอถามทิ้งท้ายให้เป้เลือกเล่มที่ถูกใจหรือ publisher ที่สะดุดตามาแนะนำให้เราหน่อย เป้บอกว่า “ยากมากกก เพราะคัดมา (งึมงำๆ) หลายคนมากเลย…มันเยอะอะ”
โอเค ตามนั้น งั้นก็ต้องไปดูกันเอาเองแล้วล่ะ…
Text by แมวกุหลาบดำ
cover photo by BKKABF
ชมงาน 2017 ได้ที่ Bangkok City City Gallery
ตั้งแต่วันที่ 7 – 10 กันยายน นี้ รายละเอียดและเวลาชมงานในแต่ละวัน
ติดตามเพิ่มจาก http://bangkokartbookfair.info/