โลกนี้อาจไม่ได้มอบทางเดินกลีบกุหลาบให้เราได้ทุกวัน อาจมีทั้งวันที่แสนเรียบง่าย วันว้าวุ่นใจ เศร้าสร้อย สนุกสนาน สับเปลี่ยนกันไปตามรสชาติของชีวิต แต่ด่านใหญ่อย่างการก้าวไปเป็นผู้ใหญ่ ทำให้หลายคนละล้าละลัง ไม่แน่ใจว่าการจะก้าวไปสู่อีกช่วงวัยของชีวิต เราจะสละทิ้งอะไรไว้เบื้องหลังบ้าง เพื่อให้เราหลุดออกจากดักแด้และสยายปีกได้อย่างสวยงาม
เมื่อใกล้ถึงวัยผู้ใหญ่เต็มตัว ต่างคนต่างมีเป้าหมายในใจ ถ้าทำสิ่งนี้ได้นะ ฉันจะได้เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว ตัดสินใจแบบนั้นแบบนี้นะ ยืดอกได้อย่างภาคภูมิใจแน่นอน แต่ระหว่างทางของการก้าวไปเป็นผู้ใหญ่นั้น เรายังต้องเจออีกหลายด่านที่เราไม่เคยผ่านมันไปได้ในตอนยังเป็นวัยรุ่น หนึ่งในนั้นคือ ‘การรู้จักปฏิเสธ’
ใครที่เชื่อมั่นในตัวเองอย่างเด็ดขาด อาจไม่ค่อยเจอปัญหานี้ แต่เชื่อว่ายังมีอีกหลายคน ที่ลังเลอยู่กับการเอ่ยปฏิเสธใครสักคนออกไป ไม่ใช่เพราะลังเลในคำตอบ ว่าจะไปซ้ายหรือขวา แต่เป็นความเกรงใจ ที่เรามีคำตอบในใจแล้วแต่กลับไม่กล้าขัดกับอีกฝ่าย จึงเหมือนโดนฉุดรั้งไว้ว่าเราจะตอบแบบไหนให้บัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่นที่สุด ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว เพื่อนร่วมงาน คนรู้จักห่างเหิน หรือแม้แต่คนสนิทใกล้ตัว เราอาจเคยเป็นคนที่ตามใจผู้อื่นเสมอ เพียงเพราะมองว่าสิ่งที่พวกเขาขอไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรง แต่ในวันที่เราโตขึ้น มีความคิดเป็นของตัวเอง และรู้แล้วว่าเราอยากทำสิ่งใดไม่อยากทำสิ่งใด เราจะยังใช้วิธีเดิมนั้นอยู่อีกหรือ
แม้เราจะรู้ว่าการเป็นฝ่ายถูกปฏิเสธจะรู้สึกแย่แค่ไหน แต่อย่าลืมว่าฝ่ายปฏิเสธเองก็ต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาด แน่วแน่ และเจ็บปวดไม่แพ้กัน การเติบโตเป็นผู้ใหญ่ไปอีกขั้น จึงรวมไปถึงการตัดสินใจอะไรแล้วจะไม่เสียใจในภายหลัง หรือรู้จักปล่อยความเสียใจนั้นไปได้
สำหรับใครที่ติดอยู่ในกับดักความเกรงใจ จนไม่กล้าปฏิเสธใครด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวที่กำหนดทางเดินที่เราไม่ได้อยากไป เพื่อนร่วมงานตัวร้ายที่ร้องขออะไรเอาเปรียบเราเสมอ หรือคนรู้จักห่างไกลที่ไม่จำเป็นอะไรต่อชีวิตเราแล้ว เรามีวิธีง่าย ๆ ที่ช่วยให้ไม่เสียใจทีหลังมาแนะนำ
ซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตนเอง
เราเองจะอยู่กับผลของการตัดสินใจไปตลอดเช่นกัน ดังนั้น เลือกทางที่ตรงกับใจของเรามากที่สุด ทางที่เราไตร่ตรองแล้วว่าจะส่งผลดีกับทุกฝ่าย ไม่ใช่แค่เพราะความต้องการของใครคนอื่น หากเรามีความต้องการในใจของเราอย่างแน่ชัดแล้ว ลองเสนอคำตอบของเราออกไปว่าเราต้องการสิ่งนี้นะ จะได้หรือไม่ได้ จะเจอกันตรงกลางหรืออย่างไร เป็นเรื่องที่สามารถต่อรองกันได้ในภายภาคหน้า แต่อย่าลืมว่าคำตอบของเราจะต้องอยู่บนพื้นฐานความต้องการจริงๆ จากใจของเราเสียก่อน
ไม้นวมหรือไม้แข็ง เราเลือกได้เอง
การสื่อสารเป็นอีกสิ่งที่สำคัญ เรามีคำตอบ มีธงในใจของเราแล้ว ถึงเวลาที่เราต้องสู้เพื่อคำตอบของตัวเอง ว่าแต่มันจะเป็นวิธีไหนกันล่ะ? ลองเริ่มจากทำความเข้าใจอีกฝ่าย เขาเป็นใคร ต้องรับมือแบบไหน แล้วเราจะใช้ไม้อ่อนหรือไม้แข็งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม ใช่ว่าเราจะต้องสู้ยิบตาหรือโอนอ่อนไปเสียทุกครั้ง รู้จักก้าวรู้จักถอย จะช่วยให้เราต่อรองได้ง่ายยิ่งขึ้น
เตือนตัวเองเสมอว่าการปฏิเสธไม่ใช่เรื่องแปลก
หากเรายังรู้สึกลังเลกับการปฏิเสธ นั่นหมายความว่าเรายังไม่มั่นใจในคำตอบของเรามากพอ เตือนตัวเองเสมอว่า บนโลกใบนี้ไม่มีใครได้ทุกอย่างที่ตัวเองอยากได้ เราไม่จำเป็นต้องเป็น people pleaser เพื่อความสบายใจของคน แต่หันมา please ความรู้สึกของตัวเองดูบ้าง
Never give false hope
นอกจากจะเรียนรู้ที่จะพูดปฏิเสธ ความเด็ดขาดก็ต้องตามมาด้วย อย่าให้ความหวังลมๆ แล้งๆ หรือเงื่อนไขใดๆ ที่เรารู้ว่ามันจะเกิดขึ้นได้ยาก เป็นจริงได้ยาก เพื่อให้อีกฝ่ายไม่จ็บช้ำน้ำใจจนเกินไป เพราะเมื่อถึงเวลาที่ความหวังลมๆ แล้งๆ นั้นกลับมาทวงสัญญา เราจะเป็นฝ่ายที่ปฏิเสธไม่ได้เสียเอง
การรู้จักปฏิเสธในสิ่งที่เราไม่เคยกล้าทำมาก่อน อาจช่วยให้เราได้ก้าวไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่อีกขั้น ไม่ใช่ในเรื่องอายุ แต่เป็นเรื่องของวุฒิภาวะ ในวันหนึ่งที่เรามองย้อนกลับมา เราจะไม่เสียใจกับการตัดสินใจครั้งไหนของเราอีก ตราบใดที่มันเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุด ณ เวลานั้นแล้ว
อ้างอิงจาก