ใครจะคิดว่าภาพวาดสีพาสเทลอันนุ่มนวลของศิลปะแบบอิมเพรสชันนิสม์ ครั้งหนึ่งเคยเป็นทั้งการต่อต้านศิลปะขนบดั้งเดิม และสนามรบของศิลปินผู้หญิงยุคก่อน
พูดถึงการแหกขนบ บางครั้งอาจไม่ใช่การต่อสู้อย่างห้าวหาญของผู้กล้าหรือผลงานที่ซ่อนสัญญะไว้มากมาย แต่เพียงแค่ภาพวาดแสงแดดอ่อนๆ ทาบลงบนผิวของผู้คนสามัญธรรมดา ก็เพียงพอจะเขย่าวงการศิลปะได้เช่นกัน
ย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 19 ศิลปะแบบอิมเพรสชันนิสม์ เป็นขบวนการศิลปะที่ถูกนักวิจารณ์ดูถูกดูแคลน นับตั้งแต่ครั้งแรกที่เปิดตัว ทั้งไม่สมจริงบ้างละ ไม่มีคำสอนยิ่งใหญ่ มีแต่ภาพวิวและคนธรรมดาบ้างละ เส้นก็หยาบเกินกว่าจะเรียกว่าเป็นเทคนิคที่ดี เหมือนภาพวาดที่ยังไม่เสร็จยังไงยังงั้น ภาพแบบนี้จะเหมาะกับใครไปไม่ได้ นอกจาก ‘ผู้หญิง’ เพราะไม่สามารถใช้เทคนิคอันเฉียบคมได้เท่ากับผู้ชาย
แม้จะถูกกล่าวว่าเป็นศิลปะของผู้หญิง แต่เมื่อมานั่งนึกชื่อศิลปินในศิลปะแนวนี้แบบเร็วๆ ชื่อแรกๆ ก็มักเป็นผู้ชาย ไม่ว่าจะเป็น โมเนต์, มาเนต์, เดอกาส, เรอนัวร์ หรือแวนโก๊ะ ไม่ใช่เพราะไม่มีผู้หญิงคนไหนวาดภาพแนวนี้ เพราะที่จริงก็ยังมีศิลปินยุคนั้นอีกหลายคน แต่ทำไมเราจึงไม่ค่อยรู้จักผลงานของพวกเธอกันนะ
หากจะหาคำตอบว่าเพราะอะไรชื่อของพวกเธอจึงจางหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ คงต้องย้อนอดีตกลับไปที่ฝีแปรงหยาบๆ เส้นแรก จุดตั้งต้นของอิมเพรสชันนิสม์

The Maid of Honor (1879), Eva Gonzalès (credit: getty.edu)
การลุกขึ้นสู้กับขนบภาพวาดแบบดั้งเดิม
ช่วงกลางศตวรรษที่ 19 อิมเพรสชันนิสม์ถือกำเนิดขึ้นเพื่อทำลายความเชื่อแบบดั้งเดิม ที่ศิลปะในสังคมฝรั่งเศสยังให้คุณค่ากับความสมจริง
ในยุคนั้นที่ศิลปะยังถูกครอบงำจากชนชั้นปกครอง เมื่อพูดถึงภาพวาดที่งดงามก็ต้องหมายถึงภาพสมจริง ยิ่งเหมือนเท่าไหร่ยิ่งดี รูปร่างได้สัดส่วน ถูกต้องตามหลักสรีระศาสตร์เป๊ะ เพื่อการนี้ศิลปินส่วนใหญ่จึงใช้เวลาวาดภาพในสตูดิโอ รังสรรค์ผลงานอันมีคุณค่า ยกระดับจิตใจของผู้ชม
ขณะที่ศิลปินส่วนใหญ่ทุ่มเทแรงกายแรงใจให้ความงามเพียงหนึ่งเดียวอยู่นั้นเอง ศิลปินกลุ่มหนึ่ง ก็ตั้งใจทำสิ่งที่ต่างออกไป พวกเขาหอบขาตั้งเฟรม ผ้าใบ และจานสีออกจากสตูดิโอ แล้วอออกมาวาดในกลางแจ้งซะเลย เก็บภาพผู้คนธรรมดาทั่วไป แทนที่จะเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ กษัตริย์ผู้พิชิต หรือพระเจ้าผู้เปี่ยมเมตตา ทั้งยังเก็บแสงและเงาที่เปลี่ยนไปทุกขณะด้วยฝีแปรงหยาบๆ อย่างรวดเร็ว สีสว่างปะปนกัน จนได้ภาพฟุ้งเบลอเหมือนความฝัน แม้จะไร้รายละเอียด แต่ก็เต็มไปด้วยความรู้สึก กลายเป็นศิลปะแบบอิมเพรสชันนิสม์
การแหกขนบการวาดภาพนี่เอง ทำให้การเปิดตัวครั้งแรกในนิทรรศการที่กลุ่มศิลปินรวมตัวกันจัดขึ้นในปี 1874 เกิดเสียงวิจารณ์อย่างร้อนแรง และถูกแปะป้ายว่าเป็นศิลปะแบบ ‘ผู้หญิง’ เพราะใช้สีพาสเทสที่จืดจางเกินไป ฝีแปรงไม่เฉียบคม แถมยังเป็นภาพในชีวิตประจำวัน เช่น ทะเล สวน หรือภาพแม่ลูก แทนที่จะเป็นภาพประวัติศาสตร์หรือภาพศาสนาที่สั่งสอนศีลธรรมผู้คน
การเปรียบเทียบว่าเหมือนการวาดภาพของผู้หญิง แปลความง่ายๆ ก็คือการดูถูกฝีมือศิลปินนั่นแหละ เพราะยุคนั้นผู้หญิงไม่ใช่คนที่สร้างงานศิลปะที่ดี พวกเธอถูกห้ามไม่ให้เข้าเรียนในโรงเรียนศิลปะ เนื่องจากมองว่าการเห็นภาพเปลือยเป็นเรื่องไม่สมควร แถมการศึกษาเรื่องสรีระศาสตร์ก็อาจหาญเกินไป สำหรับคนที่ถูกคาดหวังให้เป็นแม่บ้าน พวกเธอจึงไม่ใช่คนสร้างงานศิลปะ แต่เป็นเพียงแค่คนที่ใช้เวลาตกแต่งงานศิลปะ (ที่ถูกผลิตโดยคนอื่น) ในบ้านกับผู้หญิงคนอื่นๆ เท่านั้น
แนวคิดของคนในสังคมช่วงนี้เอง อย่าว่าแต่โอกาสให้ผู้หญิงได้เป็นศิลปินเลย เพียงแค่วาดให้ต่างจากภาพวาดแบบเดิมยังเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ยาก
ผู้หญิงกับอิมเพรสชันนิสต์
แม้จะมีคนไม่ชอบใจ แต่ใครละจะต้านทานความสดใหม่นี้ได้
เวลาต่อมาอิมเพรสชันนิสม์ดันไปโดนใจกลุ่มนักปฏิวัติ ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมฝรั่งเศสขณะนั้นพอดี ทำให้ภายใน 12 ปี ตั้งแต่ 1874 – 1886 กลุ่มศิลปินมีการจัดนิทรรศการถึง 8 ครั้ง และแต่ละครั้งก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
ในขบวนการนี้ไม่ได้มีแต่ผู้ชายเป็นแกนนำอย่าง โคลด์ โมเนต์ (Claude Monet) ปีแยร์ ออกุสต์ เรอนัวร์ (Pierre-Auguste Renoir), เฟรเดริก บาซีย์ (Frédéric Bazille) หรืออัลเฟรด ซิสลีย์ (Alfred Sisley) เท่านั้น ยังมีผู้หญิงเข้าร่วมขบวนการนี้ด้วย แต่ก็มีเพียง 5 คนเท่านั้นที่ได้เข้าร่วมนิทรรศการครบทุกครั้ง แถม 2 ใน 5 คนนี้ยังต้องใช้นามแฝง
แม้จะน่าเสียดาย แต่การแสดงนิทรรศการก็ยังถือเป็นโอกาสที่ทำให้โลกรู้จักพวกเธอมากขึ้น ในปี 1894 อองรี โฟซิลลอน (Henri Focillon) นักวิจารณ์ศิลปะได้ยกย่องสตรี 3 คนในขบวนการศิลปะนี้ว่าเป็น “สามสุภาพสตรีผู้ยิ่งใหญ่” ได้แก่ เบอร์ธ มอริโซต์ (Berthe Morisot), แมรี่ คาสแซตต์ (Mary Cassatt) และ มารี บราคมองด์ (Marie Bracquemond)
การลุกขึ้นมาปฏิวัติครั้งนั้นก็ไม่เสียเปล่า เพราะทำให้พวกเธอได้ถ่ายทอดเรื่องราวและความรู้สึกภายใน ที่ผู้ชายไม่เคยรับรู้มาก่อน อย่างประเด็นที่ผู้หญิงเผชิญอยู่ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นงานประจำวันของผู้หญิง หรือการตีความสัมพันธ์ของแม่ลูกในมุมมองใหม่
อย่างไรก็ตาม แม้ผลงานของพวกเธอจะก้าวหน้าแค่ไหน หลายครั้งก็มักถูกนักวิจารณ์มองข้าม และตีความให้เป็นเพียงแค่ภาพวาดที่แสดง ‘ความเป็นผู้หญิง’ เท่านั้น ทำให้นักประวัติศาสตร์ศิลปะหลายคนจัดให้พวกเธอเป็นเพียงบุคคลรองในขบวนการอิมเพรสชันนิสต์ จนในที่สุดผู้คนก็รู้จักศิลปินชายไม่กี่คน
เพื่อให้ชื่อของพวกเธอยังไม่หายไป เราเลยขอแนะนำผู้หญิงที่มีบทบาทสำคัญในขบวนการอิมเพรสชันนิสม์กัน

In the Garden at Maurecourt (1884), Berthe Morisot (Credit: Toledo Museum of Art)
เบอร์ธ มอริโซต์ (1841–1895) – เธอเป็นอิมเพรสชันนิสต์หญิงที่มีชื่อเสียงที่สุด โมริโซต์แต่งงานกับสนิทสนมกับมาเนต์ หรือ เอดัวร์ มาแน (Édouard Manet) จนได้แต่งงานกับน้องชายของเขา แถมยังเป็นเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ได้รับเชิญให้จัดแสดงผลงานในนิทรรศการอิมเพรสชันนิสต์ครั้งแรก จากนั้นก็ได้เข้าร่วมนิทรรศนี้มากที่สุดถึง 7 ครั้ง
ด้วยความที่เธอไม่สามารถออกไปข้างนอกอย่าง บาร์ คาเฟ่ หรือโรงละครอย่างที่ศิลปินชายทำได้ ทำให้งานของโมริซาร์ตมักเป็นภาพภายในบ้าน ภาพพอร์ตเทรย์ผู้หญิง และความเป็นแม่ในมุมมองของผู้หญิง ที่มีอารมณ์เหนื่อยล้าถึงขั้นเบื่อหน่าย อย่างภาพ In The Garden at Maurecourt (1884) ที่นำเสนอความสัมพันธ์แม่ลูกในอีกมุมหนึ่งอย่างที่ไม่เคยเห็นมาตลอด ผลงานของโมริโซต์ใช้ฝีแปรงหยาบและหนา แสดงถึงความกล้าหาญและความตรงไปตรงมาอย่างจริงใจ

Little Girl in a Blue Armchair (1878), Mary Cassatt (Credit: national gallery of art washington dc)
แมรี่ คาสแซตต์ (1844–1926) – แมรี่ คาสแซตต์ เธอเป็นศิลปินที่เชื่อมั่นในตัวเอง และเป็นศิลปินชาวอเมริกันคนเดียวในขบวนการอิมเพรสชันนิสต์ ซึ่งถูกชักชวนโดยแอดการ์ เดอกา (Edgar Degas) แม้คาสแซตต์จะประสบความสำเร็จในการจัดงานของตัวเองใน Salon หรือนิทรรศการศิลปะแห่งปารีสมาก่อนหน้านี้ แต่เพราะความหลงใหลในศิลปะอิมเพรสชันนิสม์ ทำให้เธอตัดสินใจตั้งรกรากอยู่ที่ปารีส
ภาพวาดของคาสแซตต์โดดเด่นที่การจับอารมณ์ภายในที่เกิดขึ้นจริงของมนุษย์ อย่างภาพ Little Girl in a Blue Armchair (1878) เด็กหญิงที่นั่งบนเก้าอี้นวมสีฟ้าด้วยอารมณ์บูดบึ้ง หรือการวาดผู้หญิงทั่วไปออกมาได้อย่างงดงาม แม้ไม่ได้ใช้นางแบบสวยๆ อย่างภาพ Young Women Picking Fruit (1892) คาสแซตต์ต่างจากมอริโซต์ก็ตรงที่ เธอพยายามวาดใบหน้าหรือรูปร่างของแบบออกมาอย่างชัดเจน ด้วยเป้าหมายว่าอยากวาดผู้หญิงให้เป็นตัวละคร ไม่ใช่เพียงแค่วัตถุในภาพ

On the Terrace at Sèvres (1880), Marie Bracquemond (Credit: Obelisk Art History)
มารี บราคมองด์ (1840–1916) – เธอไม่ได้เป็นศิลปินที่ร่ำรวยเหมือนคนอื่นๆ ในกลุ่ม จึงต้องเรียนรู้ด้วยตัวเองเป็นส่วนใหญ่ แถมครั้งเดียวที่เขาไปเรียน ยังได้ไปเรียนกับจิตรกรชื่อดังที่ไม่ได้ให้คุณค่ากับนักวาดภาพหญิง อย่าง ฌอง-ออกุสต์-โดมินิก แองกรส์ (Jean-Auguste-Dominique Ingres) เธอจึงตัดสินใจลาออก และมาวาดภาพแบบที่เธอต้องการ
บราคมองด์หันมาวาดภาพขนาดใหญ่ ที่สวนกลางแจ้ง ด้วยเทคนิค en plein air หรือการวาดภาพนอกสถานที่แบบอิมเพรสชันนิสม์ งานของเธอเต็มไปด้วยภาพผู้หญิงที่พักผ่อนอยู่ในสวนด้วยอริยาบทต่างๆ แม้ยังติดเทคนิคจากที่เคยไปร่ำเรียนอยู่บ้าง แต่เธอก็ถ่ายทอดแบบให้โดดเด่นด้วยฝีแปรงเล็กละเอียด แสงเงาที่นุ่มนวล อย่างภาพ On the Terrace at Sèvres (1880) บราคมองด์เคยร่วมนิทรรศการกับกลุ่มอิมเพรสชันนิสม์ 3 ครั้ง แต่สุดท้ายก็ถูกสามี อย่าง เฟลิกซ์ บราคเกอมอนด์ (Félix Bracquemond) ช่างแกะสลักชื่อดังสั่งห้ามไม่ให้เข้าร่วมอีก จนเธอก็ต้องละทิ้งอาชีพศิลปินไปอย่างน่าเสียดาย
นับตั้งแต่อดีตที่ผู้หญิงถูกกีดกันจากเฟรมผ้าใบ การเติบโตในวงการศิลปะจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งกับศิลปะอิมเพรสชันนิสม์ที่ท้าทายกับความเชื่อเดิมด้วยแล้ว ยิ่งทำให้พวกเธอถูกมองข้ามไป แต่เพราะการยืดหยัดถ่ายทอดความเป็นจริงตรงหน้า จึงทำให้ผลงานของพวกเธอยังคงโดดเด่นเหนือกาลเวลา แม้สุดท้ายต้องถูกทำให้เลือนหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์อีกครั้งก็ตาม
ภาพอิมเพรสชันนิสต์ถึงจะไม่ได้มีความหมายยิ่งใหญ่ แต่ภาพเหล่านี้ก็ช่วยย้ำเตือนเราว่าครั้งหนึ่งฝีแปรงหยาบๆ สักหนึ่งเส้น ต้องอาศัยความกล้าหาญมากขนาดไหนเพื่อท้าทายขนบเดิม
อ้างอิงจาก