หากจะเอ่ยถึงภาพดอกบัวของโมเนต์ อาจต้องถามให้ละเอียดว่าชิ้นไหน เพราะเขามีภาพดอกบัวอยู่นับพัน ในผลงานภาพสีน้ำมัน 200 กว่าชิ้น ตลอดช่วงชีวิตการทำงาน
ดอกบัวของโคลด โมเนต์ (Claude Monet) ศิลปินไอคอนิกแห่งแวดวงอิมเพรสชั่นนิสต์ ยังคงเบ่งบานข้ามกาลเวลามาจนถึงปัจจุบัน ดอกแล้วดอกเล่า ภาพแล้วภาพเล่า ราวกับว่าเขาไม่เคยเบื่อหน่ายกับปทุมงามเหนือผืนน้ำนี้เลย จนทำให้ผลงานช่วงท้ายในชีวิตของเขามีเพียงทิวทัศน์ในบ่อบัวนี้เท่านั้น
แต่ดอกบัวที่สวยสดงดงาม เป็นดั่งมาสเตอร์พีซของอิมเพรสชั่นนิสต์ กลับถูกวาดขึ้นท่ามกลางความแตกแยกแสนสาหัสของสงครามโลกครั้งที่ 1 และช่วงเวลาทุกข์ทนขมขื่นในชีวิตโมเนต์

หลังจากผ่านพ้นความโศกเศร้าจากการสูญเสียกามีย์ ภรรยาคนแรกและแม่ของลูกทั้งสองไปในปี 1879 โมเนต์หันมาทุ่มแรงกายแรงใจให้กับการทำงานศิลปะ หวังว่าทั้งชื่อเสียงและเงินทองที่หลั่งไหลเข้ามา จะช่วยให้เขาและลูกๆ รอดพ้นจากความลำบาก และไม่ต้องกลับไปอยู่ในสถานะนั้นอีก
ตอนนั้น เขาอาศัยอยู่ในบ้านของเศรษฐีผู้อุปถัมภ์ศิลปิน แต่เมื่อเศรษฐีผู้นั้นล้มละลาย บ้านหลังนั้นจึงเหลือเพียงโมเนต์ ลูกชายทั้งสอง อลิซ ภรรยาของเศรษฐี และลูกๆ ของเธอ ทั้งสองครอบครัวที่เหลือจึงคอยช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ความพยายามของเขาไม่สูญเปล่า เมื่อมีเงินเก็บพอตั้งตัวได้ จึงวางแผนย้ายไปอยู่ที่อื่น จนสุดท้ายมาลงหลักปักฐานที่จีแวนี่ (Giverny) เมืองเล็กๆ ทางตอนเหนือของฝรั่งเศส ในปี 1883

บ้านของโมเนต์ ในเมืองจีแวนี
ทัศนียภาพในชนบท เป็นภาพโปรดที่เขามักเก็บมันไว้ในรูปแบบของภาพสีน้ำมัน ต้นไม้ ใบหญ้า ท้องฟ้า ฤดูกาล แปรเปลี่ยนไปเป็นผลงานชิ้นแล้วชิ้นเล่า เพียงไม่กี่ปีต่อมา โมเนต์ตัดสินใจซื้อบ้านและที่ดินฝั่งตรงข้าม เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่เขาตัดสินใจแต่งงานกับอลิซ เพื่อนคู่คิดในยามยาก เท่ากับว่าตอนนี้ทั้งสองครอบครัว ได้ผสานกลายเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว
โมเนต์แปรเปลี่ยนพื้นที่รกร้างให้กลายเป็นสวนแบบญี่ปุ่น จากลำธารเล็กๆ กลายเป็นสระน้ำขนาดใหญ่ แต่งแต้มด้วยดอกบัวเต็มพื้นที่ มีสะพานพาดผ่าน ต้นหลิวรายล้อมริมน้ำ พุ่มไม้ตามทางเดิน แม้จะวาดภาพทิวทัศน์มามาก แต่เขาก็ยังแสวงหาวิธีใหม่ๆ ในการนำเสนอความจากธรรมชาติได้เสมอ เขาละทิ้งคอมโพสแบบเดิมๆ อย่างเส้นขอบฟ้าตัดกับพื้นโลก แล้วหันมาให้ความสนใจกับผืนน้ำที่สะท้อนต้นไม้ใบหญ้าบนผืนดินแทน แสงระยิบระยับบนผิวน้ำ ภาพสะท้อนของเมฆและใบไม้ที่ซ้อนทับกันยิ่งทำให้ภาพดูเลือนลาง ฟุ้งฝัน ราวกับอยู่ในเทพนิยาย
ด้วยแรงบันดาลใจจากริมรั้ว ในปี 1909 โมเนต์ได้จัดแสดงภาพดอกบัวของเขาในนิทรรศการที่กรุงปารีส และได้รับคำวิจารณ์ในแง่บวกเป็นอย่างมาก เขากลับมามีชื่อเสียงและเข้าไปอยู่ใกล้ชิดกับคำว่าประสบความสำเร็จอีกครั้งหนึ่ง

แต่ชีวิตของเขากลับไม่สวยงามเหมือนภาพฝัน เพียงหนึ่งปีหลังจากนั้น เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ ทำให้สระบัวของเขาจมอยู่ใต้น้ำ อลิซเสียชีวิตลงในปีถัดไป เขาเศร้าใจกับการเป็นหม้ายครั้งที่สองของเขาได้ไม่นาน ก็พบว่าสายตาของเขาเริ่มมีปัญหา ดวงตาเป็นผัสสะหลักของศิลปิน บัดนี้ถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคต้อกระจก และไม่กี่ปีถัดมาลูกชายของเขาก็เสียชีวิตไปอีกคน
หลังจากประสบความสำเร็จ เขาคิดว่าชีวิตเขากำลังอยู่ในขาขึ้น แต่ตรงข้ามกัน มันกลับแย่ลงทุกปี อะไรที่คิดว่าเลวร้ายแล้วมันยังมีเรื่องแย่กว่านั้นรออยู่เสมอ ภายในระยะเวลา 5 ปี เขาสูญเสียลูก ภรรยาคนที่สอง และการมองเห็นของตัวเอง
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่มต้นขึ้น สมาชิกในครอบครัวและเพื่อนๆ ของโมเนต์ส่วนใหญ่ได้ย้ายออกจากเมืองจีแวร์นี แต่เขาเลือกที่จะอยู่ที่นี่ต่อ ในบ้านหลังเดิมที่เขาทุ่มเทแรงกายแรงใจ และมันได้มอบแรงบันดาลใจกลับมาให้ เขายังเลือกวาดภาพเพื่อช่วยปลอบประโลมใจจากข่าวร้ายเกี่ยวกับสงคราม และการสูญเสียเหลือคณานับที่เพิ่งเผชิญ
ในปี 1914 เขาเริ่มนำภาพดอกบัวชิ้นก่อนๆ มาปรับปรุงแก้ไข เริ่มทำงานชิ้นใหม่ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เมื่อถึงฤดูร้อนเขาจะวาดภาพกลางแจ้งบนผืนผ้าใบขนาดเล็ก และในฤดูหนาวเขาจะไปพักผ่อนที่สตูดิโอเพื่อทบทวนและดัดแปลงภาพวาด โมเนต์ทำงานบนแผงภาพหลายแผงพร้อมกัน โดยศึกษาและสลับไปมาระหว่างแผงเหล่านั้น เมื่อเทียบกับภาพวาดยุคก่อนๆ ของโมเนต์ ที่ถ่ายทอดภาพชนบทออกมาโดยตรง ภาพชุดดอกบัวในครั้งนี้ละทิ้งเส้นสายและขอบเขต หันเหไปสู่ศิลปะแบบนามธรรมมากขึ้น
โมเนต์สร้างสีสันและพื้นผิวอันชัดเจนบนฝีแปรง สอดประสานกันอย่างมีชีวิตชีวาบนพื้นผิวผืนผ้าใบ เขาสร้างสรรค์องค์ประกอบภาพนี้ขึ้นมาหลายครั้ง โดยซ้อนทับรอยพู่กันทีละชั้น บ้างปล่อยให้สีชั้นก่อนหน้าแห้ง บ้างทาทับลงบนสีที่เปียกโดยตรง ในบางจุด รอยพู่กันเก่าถูกกลบด้วยสีที่เพิ่งทาทับลงไปจนหมด เหลือเพียงพื้นผิวสีสุดท้าย ในขณะที่จุดอื่นๆ รอยพู่กันที่แผ่กว้างเผยให้เห็นสีสันอันสดใสจากชั้นสีที่อยู่ด้านล่าง
แสง สี การเคลื่อนไหว และเงาสะท้อนในสวนน้ำอันเป็นที่รักของเขา ยังคงถูกเฝ้ามองวันแล้ววันเล่า สายตาของเขายังคงทำงานอย่างหนัก แม้จะต้องต่อสู้กับโรคภัย เราอาจสังเกตเห็นความแตกต่างระหว่างดอกบัวในภาพแรกๆ กับดอกบัวในช่วงหลัง แต่ในที่สุด ภาพดอกบัวบนผืนผ้าใบขนาดใหญ่ ทอดยาวต่อกันหลายชิ้น เสร็จสมบูรณ์ในชื่อ ‘Grandes Décorations’

เมื่อสงครามสิ้นสุดลง โมเนต์ตัดสินใจบริจาคภาพเขียนสองภาพให้แก่ฝรั่งเศสเพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะของชาติ เขาและรัฐบาลจึงตกลงที่จะสร้างพื้นที่จัดแสดงนิทรรศการถาวรที่พิพิธภัณฑ์ ณ กรุงปารีส โดยเปิดให้สาธารณชนเข้าชมในปี 1927 น่าเสียดายที่เขาจากไปเพียงหนึ่งปีก่อนจะได้เห็นภาพนั้น
ภาพดอกบัวของเขาจึงเกิดขึ้นตั้งแต่ในช่วงที่เขากลับมายืนหยัดอีกครั้ง ช่วงเวลารุ่งโรจน์ที่สุดในชีวิต จนมาถึงช่วงเวลาหมองหม่นที่สุด ทั้งทางกายและทางใจ ภาพดอกบัวจึงไม่เพียงเป็นภาพของสระน้ำในสวนที่บ้าน แต่คือบันทึกของชีวิตที่ดำเนินผ่านแสงและเงา ทั้งวันที่ฟ้าเปิดและวันที่เมฆบดบังสายตา
ยามที่โลกภายนอกพร่ามัวลงจากโรคในดวงตา เขากลับมองเห็นโลกภายในชัดขึ้นกว่าครั้งไหนๆ และนั่นอาจเป็นเหตุผลที่ ดอกบัวของโมเนต์ไม่ได้อยู่แค่บนผืนผ้าใบ หากยังเบ่งบานอยู่ในสายตาผู้คนที่ได้เห็นจนวันนี้
อ้างอิงจาก