ในวันที่เราสามารถจิ้มสีทุกเฉดได้ดั่งใจจากวงล้อสี ยุคหนึ่ง สีน้ำเงินในแวดวงศิลปะเคยมีมูลค่าต่อน้ำหนักมากกว่าทองคำเสียอีก
ย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 17 ตอนปลายของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการต่อเนื่องถึงบาโรกตอนต้น ศิลปะ สถาปัตยกรรม การเมือง วิทยาศาสตร์ และวรรณกรรมเฟื่องฟูในช่วงนั้นเป็นอย่างมาก เมื่อสอดส่องเข้าไปในวงการศิลปะฝั่งยุโรป หากเราอยากรู้ว่าศิลปินคนไหนเป็นไฮโซท่านหนึ่ง หรือมีผู้สนับสนุนกระเป๋าหนักอยู่เบื้องหลัง ให้ลองดูผลงานของเขาสิว่ามีสีน้ำเงินอยู่ในนั้นหรือเปล่า
ยิ่งสีน้ำเงินสดแม่สี ไม่มีเฉดสีอื่นเจือปน อย่าง ‘Ultramarine Blue’ ยิ่งแสดงถึงความมั่งมีของศิลปิน เพราะเม็ดสีน้ำเงินที่ว่านี้ได้มาจาก ‘ลาพิส ลาซูลี’ (Lapis lazuli) อัญมณีสีน้ำเงินสดที่ได้จากเหมืองในอัฟกานิสถาน ก่อนจะนำมาบดเป็นรงควัตถุเพื่อใช้ในงานศิลปะ ลำพังตัวอัญมณีนี้ก็มีมูลค่าสูงด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว ยิ่งเอามาผลิตให้เป็นรงควัตถุจึงยิ่งทวีมูลค่าขึ้นไป ด้วยความยากในการผลิตให้ได้สีน้ำเงินสดที่ไม่มีสีอื่นเจือปน จนทำให้มูลค่าต่อน้ำหนักของมันมากกว่าทองคำในยุคนั้นเสียอีก
หากใครยังนึกไม่ออกให้ลองนึกถึงสีน้ำเงินแม่สีดูสิ นั่นน่าจะใกล้เคียงกับสีน้ำเงินแพงระยับที่สุดแล้ว ด้วยมูลค่าสูงลิบดังกล่าวจึงทำให้สีน้ำเงินถูกนิยมใช้ในงานที่เกี่ยวข้องกับความศักดิ์สิทธิ์ อย่างภาพพระแม่มารี หรือถ้าจะใช้ในงานทั่วไปก็ใช้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ศิลปินแห่งยุคอย่าง คาราวัจโจ้ หรือ มิเกลันเจโล เมรีซี ดา คาราวัจโจ (Michelangelo Merisi da Caravaggio) และ ปีเตอร์ พอล รูเบนส์ (Peter Paul Rubens) ก็ใช้สีนี้ในงานของเขาเช่นกัน ส่วนศิลปินตัวเล็กตัวน้อยจะได้ใช้เพียงสีน้ำเงินเฉดอื่นที่ซีดจางลงไปตามกำลังทรัพย์ที่พอจะหาซื้อได้
ในขณะที่ฝั่งยุโรปจิ้มสีน้ำเงินใช้กันทีละนิด แต่หากเราขยับย้ายสายตาไปฝั่งเม็กซิโกกันบ้าง ผลงานศิลปะในยุคเดียวกันอย่าง โฮเซ่ ฮัวเรซ (José Juárez), คริสโตบัล เดอ วิลปัลปันโด (Cristóbal de Villalpando) กลับเต็มไปด้วยสีน้ำเงินสวยงามหลากหลายเฉด ตั้งแต่น้ำเงินสด น้ำเงินอมเขียว ฟ้าน้ำทะเล กระจายเต็มทั่วทั้งผืนผ้าใบราวกับมีสีน้ำเงินใช้เหลือเฟือ โดยเฉพาะ บัลตาซาร์ เดอ เอชาเบ (Baltasar de Echave) ที่ไม่ได้มีสีน้ำเงินแค่ในผลงานชิ้นเอกอย่าง ‘The Inmaculate Conception’ เท่านั้น แต่ผลงานชิ้นอื่นๆ ของเขาก็ยังแต่งแต้มไปด้วยสีเดียวกันนี้ จนได้ฉายาว่า ‘the Echave of the Blues’
เคล็ดลับของศิลปินในฟากฝั่งเม็กซิโกคืออะไรกันนะ ทำไมถึงได้รุ่มรวยสีน้ำเงินแสนแพงนี้ได้?

The Inmaculate Conception, Baltasar de Echave
Maya Blue น้ำเงินที่มาก่อนเขาก่อนใคร
ย้อนกลับไปให้ไกลขึ้นอีกหน่อย ก่อนหน้าศตวรรษที่ 17 หลายศตวรรษ พื้นที่ประเทศเม็กซิโกในปัจจุบันเดิมเป็นดินแดนดั้งเดิมของอาณาจักรมายา ชนเผ่าที่เปี่ยมไปด้วยอารยธรรมอันรุ่งโรจน์ โดดเด่นในศาสตร์หลายด้าน มีวิทยาการก้าวหน้าจนเราต้องอึ้งเมื่อเทียบกับขวบปีที่นับย้อนกลับไป ทั้งสิ่งปลูกสร้าง คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ การเกษตร เผ่านี้เขาเก็บเรียบ
ต่อมาสเปนได้เข้ามาผลัดมือเป็นเจ้าของดินแดน ตั้งอาณานิคมและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่หลงเหลือ ซึ่งดูเหมือนว่าสิ่งที่เจ้าดินแดนเดิมทิ้งไว้ไม่ได้มีเพียงซากปรักหักพัง แต่กลับหลงเหลืออารายธรรมเอาไว้ให้ชนรุ่นหลัง รวมถึงสีน้ำเงินที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายในศตวรรษที่ 17 นี้ด้วย
ใครจะบดหิน บดอัญมณี นำเข้าสีมาแพงแค่ไหนก็โนสนโนแคร์ เมื่อชาวมายาบอกว่าฉันมีสิ่งนี้ใช้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วจ้า คิดค้นเอง พัฒนาเอง จนใช้อย่างแพร่หลาย จะเป็นงานอยู่บนถ้วยโถโอชาม บ้านเรือน ฝาผนังก็มีให้เห็น กรรมการไม่ต้องอึ้ง เพราะในปี 1931 นักโบราณคดีที่ศึกษาซากปรักหักพังในเม็กซิโกยุคก่อนโคลัมบัสเคยอึ้งไปแล้ว หลังได้เห็นจิตรกรรมฝาผนังบริเวณเลียบชายหาดมายาและจิตรกรรมฝาผนังที่วิหาร ถึงได้รู้ว่าชาวมายามีสีน้ำเงินใช้มาก่อนเขาก่อนใคร จนเรียกสีนี้ว่า ‘Maya Blue’
ลองนึกดูว่าในศตวรรษที่ 17 ฝั่งยุโรปที่สถาปนาตนว่าเป็นเจ้าแห่งวิทยาการ ยังใช้สีน้ำเงินกันอย่างจำกัดจำเขี่ย แต่ชาวมายากลับใช้ระบายสีผนังกันมาแต่ยุคไหน แม้อาจจะไม่ใช่สีน้ำเงินในเฉดเดียวกันเป๊ะ แต่ลองนึกว่าอารยธรรมโบราณขนาดนั้นสามารถสรรหาสีน้ำเงิน สีฟ้า ได้หลากหลายเฉดและใช้กันอย่างแพร่หลาย ก็ถือเป็นเรื่องน่าประหลาดใจพอสมควร นอกจากชาวมายาจะมีสีน้ำเงินใช้มานานแล้ว คุณภาพก็ยังคงทนจนถึงวันนี้ด้วย เพราะอย่าลืมว่าสีน้ำเงินของชาวมายานี้เพิ่งถูกค้นพบในหลายพันปีให้หลัง ซึ่งหมายความว่ามันคงทนผ่านวันเวลาผ่านยุคสมัยมานับไม่ถ้วน
หลังจากการค้นพบดังกล่าว เหล่านักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกจึงพยายามไขปริศนาเบื้องหลังองค์ประกอบและการผลิตสี Maya Blue คือต้นคราม ซึ่งกลายมาเป็นข้อสันนิษฐานแรกๆ ของเหล่านักโบราณคดี ด้วยพื้นที่แถบนี้มีต้นครามขึ้นอย่างหนาแน่น แต่ข้อนี้ก็ถูกตีตกไปเมื่อครามที่ได้จากพืชเหล่านี้เป็นได้เพียงสีย้อมเท่านั้น แถมยังจืดจางหากถูกแสงแดดอีกด้วย ไม่มีทางที่มันจะฝังแน่นบนผนัง ผ่านสภาพอากาศ ความชื้น ความเป็นกรดด่าง ผ่านกาลเวลามาได้ยาวนานขนาดนี้
ต่อมานักโบราณคดีได้สันนิษฐานว่า เม็ดสีน้ำเงินนี้ประกอบด้วยสารอนินทรีย์ที่เกิดจากหิน แต่สืบสาวราวเรื่องไม่นานก็พบว่า Maya Blue เป็นผลิตภัณฑ์ลูกผสมที่ประกอบด้วยส่วนประกอบออร์แกนิกและสารอนินทรีย์
จนกระทั่งช่วงปลายทศวรรษ 1960 จึงค้นพบว่า มีการนำดินเหนียวหายากไปผสมกับสีย้อมจากต้นครามก่อนจะนำไปผ่านความร้อน เลยทำให้เม็ดสีครามเข้าไปติดอยู่ในเส้นใยของแร่ดินเหนียว และใช้โคปอล (Copal) วัสดุที่เป็นยางจากต้นไม้เคลือบทับทำให้เม็ดสีอยู่ยงคงกระพันอย่างที่เห็น ซึ่งวิธีการนี้สามารถเรียกว่าเป็น ‘nanocomposite’ หรือวัสดุเชิงประกอบนาโนแห่งยุคโบราณได้เลยล่ะ ไม่แปลกเลยที่ในระหว่างการตั้งอาณานิคมจะมีการหยิบยืมวิทยาการจากมายามาใช้ รวมถึงสีน้ำเงินของชาวมายาที่ทำให้ศิลปินยุคหลังในดินแดนแถบนี้มีเฉดสีแสนแพงนี้ประดับบนผืนผ้าใบ
อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้เข้ามาเป็นอีกหนึ่งข้อสันนิษฐานถึงที่มาของสีน้ำเงินในผลงานของศิลปินยุคบาโรกจากฝั่งเม็กซิโกเท่านั้น ว่าน่าจะมีการหยิบยืมวิทยาการมาจากสีน้ำเงินของชาวมายามาใช้ และเป็นที่แน่นอนว่าอาจไม่ใช่เฉดสีเดียวกับน้ำเงินสดที่ศิลปินฝั่งยุโรปใช้ แต่ข้อสันนิษฐานนี้ก็ช่วยคลายข้อสงสัยได้บ้างว่า สีน้ำเงิน–สีฟ้าหลากหลายเฉดของศิลปินในยุคเดียวกันนั้นมีที่มาจากไหน
หลังจากฝั่งยุโรปใช้สีน้ำเงินแพงระยับกันมานาน จนถึงปี 1826 ก็มีผู้คิดค้นสีน้ำเงินสังเคราะห์ขึ้นมา จนทำให้สีน้ำเงินถูกใช้ในแวดวงศิลปะอย่างแพร่หลายมากขึ้น แต่ถึงอย่างนั้น สีน้ำเงินสดจากอัญมณีก็ยังคงมูลค่าสูงไม่ลดถอยลงแต่อย่างใด
สีน้ำเงินของมายาจึงอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้จิตรกรรมฝาผนังและผลงานยุคบาโรกจากศิลปินในเม็กซิโก ยังคงความสดผ่านห้วงเวลาจนกระทั่งถึงวันนี้ได้
อ้างอิงจาก