พูดถึงการไว้ทุกข์ทุกคนนึกถึงสีอะไรกัน
สีที่หลายคนน่าจะนึกถึงเป็นสีแรกๆ ก็คงหนีไม่พ้น ‘สีดำ’ เพราะเป็นสีที่ให้ความรู้สึกแตกต่างไปจากสีอื่นๆ ด้วยคุณสมบัติที่สามารถดูดซับทุกสีเข้ามาอยู่ในตัวเองได้ ราวกับสามารถดูดกลืนได้ทุกสรรพสิ่ง ที่ผ่านมามันจึงเป็นสีที่สะท้อนถึงความเศร้า และความลึกลับมาตลอด
ด้วยสีที่เต็มไปด้วยพลังงานของความเศร้าและการระลึกถึง จึงไม่แปลกหากเรามักหยิบชุดสีดำมาสวมใส่ เพื่อแสดงความเคารพและการให้เกียรติผู้วายชนม์ แต่สงสัยกันไหมว่าทำไมสีดำจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของงานศพไปเสียได้ ทั้งที่ยังมีสีอื่นอีกมากมายที่ทำหน้าที่นี้ได้ไม่แพ้กัน อย่าง สีกรมท่า หรือสีเบจ ที่เรามักเห็นในงานพิธีอยู่บ่อยๆ
ทำไมสีดำจึงกลายเป็นสีของการไว้ทุกข์ได้ วันนี้เราชวนย้อนกลับไปดูที่มาของสีดำกัน ว่าอะไรทำให้ชุดดำกลายเป็นภาพจำในงานสำหรับผู้ล่วงลับ แล้วในวัฒนธรรมอื่นๆ ยังมีสีไหนที่สามารถสวมใส่เพื่อไว้อาลัยกันได้บ้าง
สีดำและการไว้ทุกข์
ในบรรดาสีทั้งหลายที่เรามองเห็น คงจะไม่มีสีไหนอธิบายถึง พลังแห่งความลึกลับและทรงอำนาจ ได้ดีไปกว่า ‘สีดำ’ นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันสีดังกล่าว กลายเป็นสัญลักษณ์แทนอารมณ์อันซับซ้อนของมนุษย์ โดยเฉพาะความโศกเศร้าต่อผู้ที่ล่วงลับ
แม้ในทางจิตวิทยาสี สีดำจะให้ความรู้สึกถึงความเคารพ ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งในงานไว้อาลัย แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลเดียวที่ทำให้ชุดสีดำเป็นชุดประจำพิธีงานศพอย่างแพร่หลาย เพราะการเปลี่ยนแปลงของสังคม และความก้าวหน้าของสิ่งทอ ก็มีส่วนไม่น้อยที่ทำให้สีดำกลายเป็นภาพจำของงานสำคัญนี้ไปด้วย
อันที่จริงการสวมใส่สีดำเพื่อไว้ทุกข์สามารถย้อนไปได้ไกลถึงยุคจักรวรรดิโรมัน ที่มีธรรมเนียมสวมเสื้อผ้าเรียกว่า ‘toga pulla’ ซึ่งทำจากผ้าขนสัตว์สีเข้ม แต่ถึงอย่างนั้น สีดำก็ยังไม่ใช่สีแห่งการไว้ทุกข์สำหรับคนทั่วไปในยุโรป เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วพวกเขามักสวมชุดสีขาว เนื่องจากเป็นผ้าที่หาได้ง่ายและมีราคาถูกกว่า เหมาะอย่างยิ่งสำหรับสวมไปงานที่ไม่มีใครคาดเดาไว้ล่วงหน้าได้ อย่างงานศพเช่นนี้

แล้วเมื่อไหร่ที่คนทั่วไปต้องสวมใส่ชุดดำไปงานศพ? คงต้องย้อนกลับไปฝั่งยุโรปในช่วงสมัยวิคตอเรีย หรือราวศตวรรษที่ 19 ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง ความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมและวิทยาศาสตร์ค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละน้อย จนทำให้สิ่งที่เคยไกลกลายเป็นใกล้ ไม่ใช่เพียงแค่ระยะทาง แต่ยังหมายถึงความห่างระหว่างชนชั้นที่เริ่มขยับเข้าหากันอย่างไม่ทันตั้งตัวด้วย
นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 สิ่งหนึ่งที่แบ่งแยกชนชั้นได้ดีตั้งแต่แรกเห็น คงเป็นเสื้อผ้า ในอดีตมีเพียงชนชั้นสูงเท่านั้นที่จะได้สวมใส่อาภรณ์สีดำ ด้วยเพราะไม่ใช่สิ่งที่หาได้ง่ายทั่วไป แต่เป็นสิ่งที่ต้องใช้เทคนิคการย้อมแบบพิเศษ ดังนั้นเสื้อผ้าสีดำจึงมักสงวนไว้สำหรับราชวงศ์และขุนนางสวมใส่เท่านั้น
อย่างข่าวการสิ้นพระชนม์ของคาร์โรไลน์แห่งอันสบาค สมเด็จพระราชินีแห่งสหราชอาณาจักร ในปี 1738 ช่วงเวลานั้นก็ได้มีคู่มือการสวมใส่ชุดไว้ทุกข์ที่ตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์อย่างละเอียดยิบสำหรับผู้หญิงและผู้ชาย
คู่มือการใส่ชุดไว้ทุกข์ก็ไล่เรียงไปตั้งแต่ชุด เนื้อผ้า ผ้าคลุม รองเท้า ถุงมือ หมวก หรือแม้แต่กระดุมว่าควรเป็นสีดำอย่างไร นอกจากนี้ยังมีคำสั่งเพิ่มเติมว่ารถม้าและเก้าอี้นั่งยังต้องคลุมด้วยผ้าดำ รวมถึงให้บ่าวรับใช้สวมสายแพรไหล่สีดำทำจากริบบิ้นไหมด้วย แน่นอนว่าคนที่จะสามารถทำตามคำแนะนำเหล่านี้คงไม่ใช่ตาสีตาสาที่ไหน แต่ย่อมต้องเป็นคนชนชั้นสูงที่มีเงินมากพอเท่านั้น
จนกระทั่งสมัยวิกตอเรียที่ถือเป็นยุคแห่งการไว้ทุกข์ ช่วงเวลานี้การสวมใส่ชุดดำเพื่อไว้ทุกข์ไม่ได้จำกัดเฉพาะราชวงศ์อีกต่อไป แต่ยังแพร่หลายมาถึงประชาชน ในช่วงสมัยสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ผู้ทรงเป็นที่รู้จักในฐานะที่มีความรักมั่นคงต่อเจ้าชายอัลเบิร์ต พระสวามี พระองค์ไว้ทุกข์ต่อการจากไปคนรักด้วยการสวมใส่ชุดหม้ายสีดำตลอดเวลา นานถึง 40 ปี ตลอดพระชนม์ชีพ

ความรักอันลึกซึ้งนี้ก็ได้กลายเป็นบรรทัดฐานใหม่สำหรับการไว้ทุกข์สำหรับคนทุกชนชั้น โดยมีการกำหนดกฎระเบียบอย่างชัดเจนเกี่ยวกับการไว้ทุกข์ ตั้งแต่ระยะเวลา รวมถึงการแต่งกายสีดำ เช่น สำหรับคู่สมรสต้องมีการไว้ทุกข์ยาวไปไม่น้อยกว่า 2 ปี รวมถึงการเปลี่ยนมาใส่เสื้อผ้าสีอื่นก่อนครบกำหนดจะถือว่าไม่ให้เกียรติผู้ล่วงลับ โดยเฉพาะหญิงหม้ายที่อายุน้อย อาจถูกมองว่าเป็นคนที่สำส่อน ซึ่งถือเป็นเรื่องร้ายแรงมากในสมัยนั้น
นอกจากมุมมองต่อการไว้ทุกข์ที่เปลี่ยนไปแล้ว สิ่งที่ทำให้คราวนี้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงชุดดำอันหรูหรา ซึ่งเคยเป็นเครื่องแบบเฉพาะของชนชั้นสูงได้ ก็คงต้องยกความดีความชอบให้กับความก้าวหน้าของสิ่งทอ ที่ได้คิดค้นสีดำสังเคราะห์ รวมถึงผ้าเครป ที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการไว้ทุกข์ เพราะเนื้อมีคุณสมบัติไม่สะท้อนแสง แถมยังทำจากผ้าไหมเหลือ ด้วยความที่ต้นทุนต่ำ จึงทำให้สามารถผลิตได้จำนวนมาก เพียงพอต่อความต้องการ จนถึงขนาดมีการผลิตเสื้อผ้าไว้ทุกข์สำเร็จรูปออกมาขายในร้านค้า จนถึงห้างสรรพสินค้า อย่าง Lord & Taylor ก็มีแผนกไว้ทุกข์โดยเฉพาะ
ความนิยมของเสื้อผ้าไว้ทุกข์สีดำได้รับความนิยมในกลุ่มหญิงสาวไม่นาน จนกระทั่งช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ช่วงเวลาแห่งความสูญเสียจากสงคราม ผู้คนเริ่มเศร้าหมอง เมื่อความสูญเสียถูกขับเน้นให้ชัดขึ้นจากชุดดำที่ผู้คนสวมใส่ ดังนั้นหลายคนจึงเริ่มหันมาใส่เสื้อผ้าสีสดใสแทน เพื่อเรียกขวัญกำลังใจคนในชาติกลับมา ประจวบกับการขาดแคลนแรงงานผู้ชาย จึงทำให้ผู้หญิงที่เริ่มก้าวเข้าสู่การทำงานมากขึ้น ยิ่งไม่สามารถทำตามกฎการไว้ทุกข์อย่างเคร่งครัดได้ สุดท้ายการไว้ทุกข์จึงค่อยๆ ผ่อนคลายลง และปิดฉากไปพร้อมสมัยวิกตอเรียนั่นเอง
ความหมายของอาภรณ์เริ่มไม่จำกัดอยู่เพียงแค่การไว้ทุกข์อีกต่อไป สีดำถูกนำมาใช้ในโลกของแฟชั่นอย่างกว้างขวาง จนถึงช่วงปลาย 1950 สีดำไม่ได้สื่อถึงความตายอย่างที่เคยเป็นมา แต่หมายถึงความสง่างาม อย่างผลงานของ Coco Chanel ที่นำเสนอ the little black dress หรือชุดกระโปรงสั้นสีดำที่สามารถสวมใส่ได้หลายโอกาส โดยไม่จำเป็นต้องเป็นต้องงานไว้อาลัยเพียงอย่างเดียว

สีไหนที่เราใช้ไว้ทุกข์กันอีกบ้าง
แม้สีดำจะยังคงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับงานที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเราจำเป็นต้องใส่สีดำเสมอไป อย่างที่บอกว่าสีดำไม่ได้ผูกโยงกับความสูญเสียเพียงอย่างเดียว ดังนั้นปัจจุบันเราจึงสามารถสวมเสื้อผ้าสีอื่นๆ เพื่อแสดงความเคารพเช่นกัน อย่างเสื้อผ้าสีเข้ม เช่น สีกรมท่า สีเทา หรือเขียวเข้มได้
แต่นอกจากสีที่ว่ามานี้ ในบางวัฒนธรรม ก็อาจสีที่ใช้สำหรับการไว้อาลัยที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็น สีขาว สีม่วง หรือแม้แต่สีแดง ซึ่งสีเหล่านี้ล้วนสะท้อนความเชื่อของคนในสังคมได้อย่างดี โดยเราได้รวมรวมสีสำหรับการไว้ทุกข์แต่ละวัฒนธรรมมาไว้ เพื่อพาทุกคนไปสำรวจว่าแต่ละสีมีความหมายอย่างไรบ้าง
สีขาว: สีขาวเป็นสีที่ใช้ในการไว้ทุกข์ในทั้งวัฒนธรรมตะวันตกและตะวันออก เช่น จีน เกาหลี ญี่ปุ่น รวมถึงในพิธีฮินดู โดยสีขาวมักเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา และการเกิดใหม่ในศาสนาพุทธ เช่นเดียวกับฮินดู ที่เป็นตัวแทนของแสงสว่าง และความดี ในประเทศไทยสมัยโบราณเอง คนที่มีอายุน้อยกว่าผู้เสียชีวิตก็มักมีสวมใส่ชุดสีขาวในงานศพเช่นกัน
สีแดง: แม้สีแดงจะดูเป็นสีสดใส เกินกว่าจะสวมใส่ในงานแห่งความโศกเศร้า แต่สีนี้ก็เป็นสีที่คนสวมใส่เพื่อไว้ทุกข์ โดยเฉพาะในประเทศแถบแอฟริกาใต้ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนความเสียใจอย่างสุดซึ้ง ราวกับเลือดที่ไหลออกมาจากหัวใจ เช่น ประเทศกานา มีเพียงคนในครอบครัวหรือคนใกล้ชิดผู้ล่วงลับเท่านั้นที่สามารถสวมใส่ชุดสีแดงที่จับคู่กับสีดำ เพื่อแสดงการไว้ทุกข์ ในขณะที่คนอื่นๆ อาจสวมสีดำหรือสีขาวแทน
สีม่วง: สีม่วงมักเป็นสีที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณและราชวงศ์มาอย่างยาวนาน เนื่องจากในอดีตเป็นสีที่ผลิตได้ยากและมีราคาแพง นอกจากนี้ยังมีความหมายทางศาสนา โดยเฉพาะคริสเตียนด้วย โดยเชื่อว่าสีม่วงเป็นสีที่ผสมระหว่างสีฟ้าซึ่งหมายถึงความสัตย์จริง และสีแดงที่หมายถึงความรัก อันเป็นตัวแทนของพระผู้เป็นเจ้าที่เสด็จลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ และยอมทนทรมานจนสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ดังนั้นสีม่วงจึงเป็นสีแห่งความทุกข์ทรมาน ดังนั้นชาวคาทอลิกจำนวนมาก อย่างในบราซิล กัวเตมาลา และประเทศอื่นๆ ในอเมริกากลางหรืออเมริกาใต้จึงจับคู่สีม่วงกับสีดําในช่วงเวลาที่เศร้าโศก เพื่อระลึกถึงผู้ล่วงลับได้ผ่านช่วงเวลาแห่งความเจ็บปวดและมืดมน ไปสู่แสงสว่างในมือของพระเจ้าแล้ว
ท้ายที่สุด แม้สีดำจะสะท้อนถึงการระลึกของผู้ที่ล่วงลับ แต่ใช่ว่าจะเป็นสีเดียวที่ผูกโยงกับความเศร้าต่อผู้เสียชีวิตเสมอไป ยังมีอีกหลายวิธีที่ทำให้เรายังแสดงความเคารพเพื่อเยียวยาจิตใจตัวเองต่อไปได้เหมือนกันนะ
อ้างอิงจาก