หากเราเห็นรอยกรีดขนาดใหญ่กลางผืนผ้าใบ ความรู้สึกแรกในใจของเราคิดว่ารอยกรีดนั้นเกิดขึ้นด้วยเจตนาใด
หวังฉีกขาดให้เหลือเพียงบางส่วน อยากทำลายภาพนั้นทิ้งเสีย อะไรก็ตามที่ไม่ใช่ความรู้สึกทางบวกกับงานชิ้นนั้นแน่ๆ และมันอาจมีเจตนาเหล่านั้นเกิดขึ้นจริงกับรอยกรีดบนงานสักชิ้นในโลกใบนี้ แต่ไม่ใช่บนผืนผ้าใบของ ลูซิโอ ฟอนทานา (Lucio Fontana)
เจ้าของนามนั้น เป็นศิลปินลูกครึ่งอิตาลี-อาร์เจนตินา มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนผ่านของศิลปะสมัยใหม่ในศตวรรษที่ 20 ชีวิตของเขาย้ายถิ่นฐานสลับสับเปลี่ยนไปตามเชื้อชาติที่ไหลเวียนในตัว เขาเกิดที่อาร์เจนตินา ย้ายไปอิตาลีหลังครอบครัวแยกทางกันตั้งแต่ยังเล็ก ก่อนจะกลับรันวงการศิลปะที่อาร์เจนตินาในวัยที่ไฟแห่งฝันลุกโชน จนได้มีนิทรรศการแรกเป็นของตนเอง และกลับมาพักพิงยังมิลาน ประเทศอิตาลี
อาจด้วยเกิดมาในครอบครัวศิลปินที่มีพ่อเป็นประติมากร ในช่วงเริ่มต้นเส้นทางนี้ เขาก็เริ่มจากการเป็นประติมากรเช่นกัน เขาได้ขับเคี่ยวฝีมืออยู่กับพ่อในช่วงหนึ่งตอนอยู่อิตาลี นั่นอาจทำให้เขาคุ้นชินกับขนบเดิมๆ ของศิลปะ เรียนรู้แนวคิด รับรู้คอนเซ็ปต์จากผู้เป็นพ่อจนมีพื้นฐานที่มั่นคงในงานศิลปะคลาสสิก
เมื่ออิ่มตัวกับเส้นทางเดิมที่มี เขาได้แยกตัวมาทำงานของตัวเองกับกลุ่มศิลปินอาร์เจนตินาเลือดใหม่ ในเมืองโรซาริโอ เด ซานตาเฟ แต่ก็ไม่เคยยึดติดกับรูปแบบเดิมที่เรียนรู้มา เขาสนใจความเป็นไปได้ใหม่ๆ ที่ไม่หยุดอยู่แค่เรื่องของความสุนทรี คุณค่าความงาม แต่ออกจะใฝ่รู้ในเรื่องประยุกต์ศิลปะไปสู่ศาสตร์อื่นๆ ด้วยเช่นกัน
เมื่อย้ายกลับมายังอิตาลี เขาได้เข้าศึกษาต่อที่ Brera Academy เกี่ยวกับประติมากรรมเช่นเคย เขาได้รับคำชมเชยล้นหลามจากนักวิจารณ์สำหรับผลงานชุด Homo Nero (1930) ซึ่งนำเอารูปร่างของมนุษย์มาถ่ายทอดเป็นรูปร่างนามธรรมด้วยวัสดุแปลกประหลาดในแบบที่ไม่ได้เห็นกันบ่อยๆ
แล้วตอนไหนกันเล่าที่ศิลปินผู้เอกอุด้านประติมากรรม ได้หันมากรีดผ้าใบจนกลายเป็นทิศทางลมใหม่ในโลกศิลปะ?
เรื่องราวอาจเริ่มขึ้นหลังปี 1940 ในช่วงที่เขาไปเป็นอาจารย์สอนประติมากรรม ช่วงนั้นเป็นช่วงที่มีการค้นพบทางวิทยาศาสตร์เกิดขึ้น เขาจึงปิ๊งไอเดียในฐานะอาจารย์ศิลปะว่าศิลปะรูปแบบใหม่นั้นก็ควรจะสะท้อนโลกสมัยใหม่ด้วย เขาจึงสนับสนุนให้นักเรียนนำแนวคิดใหม่ๆ มาใช้ในการสร้างสรรค์งานศิลปะ อย่างงานฉายภาพ (projecting light) สอนไปสอนมาเริ่มติดใจ นี่สิทางที่ใช่ของเรา จนเขาเริ่มปฏิเสธขนบเก่าๆ และวางรากฐานแนวคิดใหม่นี้ในปี 1946 ซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักในชื่อ Spatialism
“I do not want to make a painting; I want to open up space, create a new dimension, tie in the cosmos, as it endlessly expands beyond the confining plane of the picture.”
แนวคิดเบื้องหลัง Spatialism คือการสร้างรูปแบบศิลปะที่ผสมผสานเสียง สี การเคลื่อนไหว และพื้นที่ เขาหลงใหลในศิลปะที่ผสมผสานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มองว่าศิลปะไม่ควรเป็นเพียงเรื่องของความงาม ในเชิงสุนทรียศาสตร์เท่านั้น แต่สามารถเป็นเครื่องมือสำหรับการวิจัย ศึกษา ในศาสตร์อื่นได้ด้วย
หลังจากนั้นไม่นาน เขาได้สร้างสรรค์ผลงานบนผืนผ้าใบที่เปลี่ยนชีวิตเขาไปโดยสิ้นเชิง นั่นคือผลงานในชุด ‘Concetto Spaziale’ เขาได้กรีดมีดโกนบนผ้าใบเพื่อสร้างมิติที่แท้จริงของพื้นที่ โดยเขาจะกรีดผ้าในขณะที่สียังเปียกอยู่ จากนั้นจึงกรีดให้มีรูปร่างมากขึ้น และใช้ผ้าโปร่งสีดำเพื่อเติมเต็มช่องว่างด้านหลังรอยกรีด เพื่อสื่อถึงความไม่มีที่สิ้นสุดของพื้นที่
จะเห็นได้ว่าไอเดียของการกรีดบนผืนผ้าใบของเขานั้น เน้นไปที่แนวคิดเกี่ยวกับพื้นที่ในผ้าใบหนึ่งผืน ที่จะไม่ได้เป็นเพียงภาพจิตกรรมในมิติแบนราบอย่างที่คุ้นเคย แต่จะทำให้ผู้ชมรู้สึกได้ถึงความเงียบสงบในเชิงพื้นที่ ความเข้มข้นของจักรวาล และความสงบที่ไม่มีที่สิ้นสุด เพิ่มมิติให้เห็นพื้นที่จริงด้วยรอยกรีดนั้นนั่นเอง
รอยตัดหนึ่งรอยขึ้นไป คมชัด สม่ำเสมอ ทะลุผ่านพื้นผิวผ้าใบ ได้เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ในคอลเล็กชั่นเดียวกันนี้ ขยับขยายไปถึงคอลเล็กชั่นอื่นๆ ที่มีการเจาะรู ฉีกขาด ด้วยเทคนิคอื่นๆ จนในขวบปีท้ายท้ายของอาชีพการงาน เขายังคงทุ่มเทให้กับการเพิ่มมิติบนผืนผ้าใบ และจากไปในปี 1968 ปีที่เขายังคงสานต่องานในชุด ‘Holes’ และ ‘Slashes’ จนวาระสุดท้าย
ผลงานของเขาจึงไม่ได้เป็นรอยกรีดที่สร้างความเสียหาย แต่เป็นรอยกรีดที่เปิดประตูให้มิติบนผืนผ้าใบ ได้เพิ่มเรื่องราวของพื้นที่ ความเป็นวิทยาศาสตร์ และรอยกรีดนั้นก็เป็นเหมือนประตูให้ศิลปะบนผืนผ้าใบเดิมได้ก้าวออกนอกขนบไปสู่ศาสตร์อื่นๆ บนโลกใบนี้ด้วยเช่นกัน
อ้างอิงจาก