เดี๋ยวติดต่อกลับไปภายในสัปดาห์หน้านะ ประโยคคลาสสิกหลายครั้งอาจแปลได้อีกอย่างว่าเสียใจด้วย คุณไม่ (น่าจะ) ได้งานนี้
ในโลกของการทำงาน สิ่งหนึ่งทำที่ให้เราสูญเสียความมั่นใจไปไม่น้อย คงเป็นการถูกปฏิเสธจ้างงาน ที่ไม่ว่าจะเจอเมื่อไหร่ก็รู้สึกเจ็บปวดทุกครั้ง
ช่วงที่ยังพอมีความหวัง ก็ตั้งใจส่งใบสมัครไปเป็นสิบ กะว่ากระสุนของเรามันตกไปตกสักที่หนึ่งบ้างแหละ แต่ปรากฏว่าส่วนใหญ่ไม่ปฏิเสธตั้งแต่ใบสมัคร ก็เป็นช่วงสัมภาษณ์งาน ส่วนที่เหลือเงียบหายไปดื้อๆ เจอแบบนี้บ่อยเข้าก็อดสงสัยในความสามารถตัวเองไม่ได้ หรือว่าเรายังไม่เก่ง หรือยังไม่ดีพอกันนะ
ก็เข้าใจแหละว่าการโดนปฏิเสธเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าความต้องการของคนจ้างกับคนสมัครงานไม่ตรงกัน ก็ต้องแยกย้าย ตำแหน่งงานหนึ่งเดียวกับแคนดิเดตอีกหลายสิบคนยังไงก็ต้องมีคนเสียใจ แต่ทำไงได้ โดนปฏิเสธซ้ำๆ มันก็เจ็บนี่นา แถมยังโดนทุบความมั่นใจจนไม่เหลือพอที่จะสมัครงานใหม่ นี่เราไม่มีโอกาสได้งานเหมือนใครเขาด้วยหรือเปล่า
แต่ก่อนจะดิ่งดาวน์ไปมากกว่านี้ เราอยากชวนทุกคนมาทำความเข้าใจความรู้สึกของการถูกปฏิเสธให้มากขึ้น ว่าทำไมถึงมีผลกับใจเรามากขนาดนี้ แล้วถ้าอยากจะรวบรวมความกล้าเพื่อสมัครงานอีกครั้งควรทำยังไงดี
เพราะการปฏิเสธคือความเจ็บปวด
หลายคนคงจำความรู้สึกเศร้าหลังถูกปฏิเสธงานกันได้ ยิ่งช่วงแรกที่ยังไม่มีประสบการณ์มากเท่าไหร่ อาจจะรู้สึกเสียใจเป็นพิเศษ แม้เราจะพยายามแสดงด้านดีๆ ออกมา ทั้งในเรซูเม่ ทั้งตอนสัมภาษณ์ แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้การันตีว่าเราจะได้งาน ยิ่งไปกว่านั้นเราอาจได้รับการตอบกลับแสนเย็นชา อย่างการเงียบหายไปไม่ติดต่อกลับ ทิ้งเราไว้กับคำถามที่ไม่มีวันได้รู้คำตอบว่าทำไมเราจึงไม่ได้รับเลือก
อันที่จริงก็มีหลายเหตุผลที่ทำให้เราถูกปฏิเสธงาน ตั้งแต่เรื่องทักษะ ความเหมาะสม จังหวะเวลา โหงวเฮ้ง ถูกชะตาหรือไม่ถูกชะตา ไปถึงการกีดกันโดยตั้งใจ ทั้งเรื่องเพศ อายุ หรือเชื้อชาติ ด้วยปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้มากมายนี่เอง เราเลยบอกได้ยากว่าทำไมเราจึงไม่ได้งานนั้น
อย่างไรก็ตาม แม้การสมัครงานแล้วถูกปฏิเสธก็ยังเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน ด้วยเหตุผลที่ต่างกันออกไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะทำใจได้ง่ายๆ เพราะการถูกปฏิเสธซ้ำๆ ก็ส่งผลกับใจเราไม่น้อย โดยสิ่งที่ตามมาเกือบทุกครั้งหลังจากถูกปฏิเสธ คือความรู้สึกเจ็บปวด
มีการศึกษาปี 2015 เกี่ยวกับการถูกปฏิเสธกับการทำงานของสมอง พบว่าความเจ็บปวดทางสังคม เช่น การถูกกีดกันหรือปฏิเสธ ไม่ได้เป็นความเจ็บปวดที่เราคิดขึ้นเองในสมอง แต่ก็ทำให้ร่างกายรู้สึกเจ็บปวดได้จริงเช่นกัน โดยอธิบายว่าความเจ็บปวดนี้ก็เป็นวิวัฒนาการหนึ่งของมนุษย์เพื่อใช้รับมือกับภัยคุกคาม โดยทำให้เรารู้สึกถึงอันตรายกับสถานการณ์นี้ เพราะการถูกปฏิเสธออกจากกลุ่ม ในแง่หนึ่งก็อาจหมายถึงการรอดชีวิตน้อยกว่าด้วย
เช่นเดียวกับการถูกปฏิเสธงาน การที่สมองตีความว่าเป็นภัยต่อชีวิต ยังส่งผลต่อความมั่นใจด้วย นาธาน ดีวอลล์ (C. Nathan DeWall) นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐเคนตักกี้ อธิบายไว้ในวารสาร Current Directions in Psychological Science ปี 2011 ว่าการถูกปฏิเสธ มักตามมาด้วยหลากหลายอารมณ์ เช่น อาจทำให้เรารู้สึกโกรธ วิตกกังวล หดหู่ อิจฉา หรือเศร้า ซึ่งอารมณ์เหล่านี้ทำให้เราไม่สามารถแก้ไขปัญหายากๆ ได้ ลองนึกภาพว่าหากเราเศร้าจากการถูกปฏิเสธ เราคงรู้สึกกังวลและโทษตัวเองว่าไม่ดีพอหรือเปล่า จนไม่มั่นใจว่าตัวเองจะทำงานที่กำลังสมัครได้
ความรู้สึกนี้ก็ตรงกับผลสำรวจของ Joblist เว็บไซต์หางาน โดยสอบถามความเห็นจากผู้สมัครงานบนเว็บไซต์จำนวน 1,000 คน และพบสถิติที่น่าสนใจเกี่ยวกับคนโดนปฏิเสธงาน คือ โดยเฉลี่ยผู้ตอบแบบสอบถามจะเริ่มสูญเสียความมั่นใจในตัวเองหลังจากการปฏิเสธครั้งที่ 5 และประมาณ 64% ตัดสินใจเปลี่ยนประเภทงานที่สมัครหลังสูญเสียความมั่นใจ เช่น หากเราอยากลองเปลี่ยนสายงานไปสมัครตำแหน่งเกี่ยวกับด้านไอที แล้วปรากฏว่าไม่ผ่าน เราก็อาจจะหันไปสมัครงานที่ใกล้เคียงกับงานเดิม นอกจากนี้ยังพบว่าคนที่สูญเสียความมั่นใจ 34% หยุดหางานไปเลยหลังจากเจอการปฏิเสธซ้ำๆ และ 30% เลือกกลับไปเรียนต่อแทน
จากผลสำรวจนี้ก็สะท้อนว่าการถูกปฏิเสธงานส่งผลต่อการเลือกงานครั้งต่อไปของหลายๆ คนไม่น้อยเลย ดังนั้นการถูกปฏิเสธงานจนสูญเสียความมั่นใจก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรถูกมองข้าม เพราะอาจทำให้เราพลาดโอกาสที่ได้ลองสมัครงานในฝันก็ได้
กอบกู้ตัวเองให้กลับมามั่นใจอีกครั้ง
แม้การถูกปฏิเสธจะสร้างความเจ็บปวดให้เรา แต่หากเรายังมีบิลที่ต้องชำระทุกสิ้นเดือน และความฝันอีกหลายอย่างที่ยังจำเป็นต้องใช้เงินในช่วงนี้ ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องร่อนใบสมัครงานอีกครั้ง แต่จะมีวิธีไหนที่ช่วยกอบกู้ความมั่นใจของเรากลับคืนมาได้บ้างนะ
ไหนๆ ก็จะต้องลงสนามอีกครั้ง จีนา ชไนเดอร์ (Gina Simmons Schneider) นักจิตบำบัดและผู้ฝึกอบรมองค์กร ก็ได้แนะนำวิธีที่ทำให้เรารับมือกับความผิดหวังจากการถูกปฏิเสธงานไว้ดังนี้
ลองมองหาเรื่องดีในเหตุการณ์นี้: พูดถึงการไม่ได้งาน ดูยังไงก็ไม่น่าจะมีเรื่องดีได้เลย แต่ถึงอย่างนั้นผู้เชี่ยวชาญก็อยากให้เราลองปรับมุมมองจากเหตุการณ์นี้สักหน่อย เพราะจะช่วยให้เราไม่รู้สึกเศร้าและจมดิ่งไปกับความเสียใจ แต่หากมองดีๆ การไม่ได้งานครั้งนี้อาจทำให้เราได้รู้จักตัวเองมากขึ้นก็ได้ว่าเราต้องการงานแบบไหน มีอะไรที่เราต้องเตรียมตัวเพิ่มอีกบ้าง หรืออย่างน้อยก็ยังดีที่เราได้ซ้อมสัมภาษณ์ในงานที่เรายังไม่อยากได้จริงๆ ก็ได้
ให้รางวัลตัวเอง: รางวัลของการหางานไม่จำเป็นต้องเป็นการ ‘ได้งาน’ เสมอไปนี่นา เพราะระหว่างทางเราเองก็ใช้ความพยายามไปไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นการส่งใบสมัคร เขียนเรซูเม่อย่างตั้งใจ ออกแบบพอร์ตฟอลิโอให้โดดเด่น ซ้อมสัมภาษณ์ หรือทำข้อสอบอย่างเต็มที่ ทั้งหมดนี้ก็ควรค่าแก่การถูกชื่นชมเหมือนกันนะ แม้ครั้งนี้จะไม่ได้งานอย่างที่หวัง แต่การรักษาแรงจูงใจให้เราพยายามแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็ช่วยให้เรามีแรงสมัครงานต่อไปได้เหมือนกัน
ลองอะไรใหม่ๆ: บางทีการใช้วิธีการเดิม เพื่อหวังผลลัพธ์ที่แตกต่างก็อาจเป็นเรื่องยาก หากเรายังใช้การส่งจดหมายสมัครงานแบบเดิมที่ไม่ผ่าน หรือใช้บทสัมภาษณ์ที่เหมือนกันทุกที่ ก็เป็นไปได้ว่าวิธีการเหล่านี้ยังไม่ได้ผล ดังนั้นครั้งต่อไปอาจจะลองขอความช่วยเหลือจากคนรอบๆ ตัวดู หรือศึกษาจากคนที่เคยได้งานที่เราต้องการดูว่าเขาทำอะไรบ้าง บางทีอาจช่วยเปิดมุมมองและเพิ่มโอกาสสำเร็จมากขึ้น การลองวิธีใหม่ๆ ก็เป็นแรงผลักดันให้เราเดินหน้าสมัครงานต่อได้นะ
ลองเชื่อทฤษฎีขนมปังไหม้ดูสิ: เคยได้ยินทฤษฎีขนมปังไหม้หรือเปล่า ใช้พูดถึงความผิดพลาดที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องไม่ดีตอนแรก แต่สุดท้ายก็กลายเป็นสิ่งที่ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรบางอย่าง เหมือนขนมปังไหม้ ที่อาจทำให้เราพลาดนัด แต่กลายเป็นว่าคนที่นัดอาจเป็นมิจฉาชีพ กลายเป็นว่าโชคดีที่เราไม่ได้ไปตามนัดเพราะขนมปังแผ่นนั้นนั่นเอง เช่นเดียวกันกับการสมัครงาน มีปัจจัยภายนอกมากมายที่ทำให้ผู้ว่าจ้างตัดสินใจแบบนั้น แต่การไม่ได้งานอาจไม่เกี่ยวอะไรกับความสามารถของเราเลยก็ได้
ยอมรับความเศร้า: ไม่แปลกถ้าเราจะรู้สึกแย่หลังจากถูกปฏิเสธงาน โดยเฉพาะงานที่เราตั้งใจเตรียมตัวมาอย่างดี ถ้าอยากร้องไห้หรือเศร้าก็สามารถทำได้เลย แต่ระวังอย่าให้ความเศร้านั้นกัดกินตัวเองเกินไปนะ เพราะการสมัครงานครั้งนี้ยังไม่ใช่ครั้งสุดท้าย ถ้ารู้สึกไม่ไหว ก็อาจจะใช้เวลานี้ดูแลร่างกายและจิตใจตัวเอง ทานอาหารดีๆ ออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ พบปะผู้คน และทำกิจกรรมที่มีความสุข แล้วค่อยเริ่มต้นใหม่เมื่อพร้อมก็ยังไม่สาย
แม้การถูกปฏิเสธงานซ้ำๆ จะทำให้เราท้อแท้ แต่ก็ไม่ได้หมายความเราจะไม่ดีพอ บางทีอาจเป็นสัญญาณให้เราเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ที่เหมาะกับตัวเองมากกว่าก็ได้นะ
อ้างอิงจาก