“I cut my hair because you don’t care my heart”
เคยสงสัยกันบ้างไหมว่า ทำไมเวลาต้องเผชิญกับปัญหาชีวิตอันเฮงซวย ไม่ว่าจะเป็นสอบตก เจ้านายด่า สิ้นเดือนสิ้นใจเงินไม่พอใช้ หรือกระทั่งอกหัก เราถึงเลือกแก้ปัญหาด้วยการสะบั้นปลายผมออก ทั้งๆ ที่ดูจะไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องที่เราประสบพบเจอเลย แต่อ้าวเฮ้ยพอผมหาย หัวก็เบาและโล่งขึ้น แถมเรายังรู้สึกสบายใจขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึง นี่มันเพราะอะไรกันนะ?
ถ้าคิ้วคือมงกุฎของใบหน้า ทรงผมก็คงเป็นสายสะพายบนตัวเรา เพราะมันคือสิ่งที่อยู่บนสุดเหนือร่างกาย อยู่เหนือใบหน้า อยู่เหนือคิ้ว และอยู่เหนือหัว (ของแท้) ไปอีก แถมมันยังช่วยเปลี่ยนแปลงและปรับเปลี่ยนใบหน้าที่ไม่มั่นใจบางมุมของเราได้ ช่วยส่งเสริมบุคลิกที่แสดงออก และช่วยซัปพอร์ตการแต่งกายของเราในแต่ละลุคได้อีกด้วย เรียกง่ายๆ ว่า นอกจากใบหน้าและการแต่งตัว ก็มีทรงผมนี่แหละเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เราเปิดเผยมันให้กับคนทั่วไปเห็น
ไม่ว่าจะเป็นเพศไหนๆ ในปัจจุบัน การมีทรงผมที่ตัวเราเองพึงพอใจ มักมาควบคู่กับการเสริมความมั่นใจในตัวเองอยู่เสมอ ใครหลายคนอาจจะเคยมีประสบการณ์ในวัยเด็กจากโรงเรียน (โดยเฉพาะโรงเรียนหลายๆ แห่งในไทย) ที่มีกฎระเบียบบังคับเรื่องทรงผม ก่อนจะมาพบว่าตัวเราเองจริงๆ แล้วก็เป็นหนึ่งในคนที่สวย หล่อ และดูดีได้ก็ตอนที่มีอิสระในการเลือกทรงผมให้กับตัวเอง หรือมีสิทธิเหนือทรงผมและร่างกายของเราในตอนที่โตมาแล้ว แต่เรื่องนี้ไม่ได้พูดขึ้นมาลอยๆ นะ เพราะมีงานวิจัยหลายชิ้นเลยที่มีการศึกษาและได้ผลลัพธ์ออกมาอย่างเป็นทางการว่า ทรงผมนั้นสามารถสร้างความมั่นใจ และสร้างการเคารพตัวเองได้ด้วย
วิเวียน ดิลเลอร์ (Vivian Diller) นักจิตวิทยาและผู้เขียนหนังสือ Face It: What Women Really Feel As Their Looks Change เป็นอีกหนึ่งคนที่ได้แจงรายละเอียดเรื่องจิตวิทยาเบื้องหลังทรงผมที่ส่งผลต่อการเคารพนับถือตัวเอง ย้อนกลับไปในอดีตสมัยกรีกและโรมันมีความเชื่อว่า วิกผมที่ประณีตสวยงามสะท้อนถึงความมีสถานะและความมั่นคง หรือฟาโรห์คนสุดท้ายแห่งอียิปต์อย่างคลีโอพัตรา ก็มีชื่อเสียงเรื่องผมดำหนาอันเป็นธรรมที่แสดงถึงความแข็งแกร่ง ทั้งนี้ทรงผมยังมีบทบาทในทางชีววิทยาคือ ทำให้เห็นถึงการเจริญเติบโตของสุขภาพที่ดี และพัฒนาการของร่างกายที่แข็งแรงได้อีกด้วย
ดิลเลอร์ยังบอกอีกว่า ทรงผมเป็นหนึ่งในการสร้างความประทับใจแรกพบ (First Impression) ที่ดีได้ เหมือนกับที่เรากล่าวไปแล้วในข้างต้นว่า มันเป็นหนึ่งในปราการหน้าที่เราแสดงออกให้คนอื่นเห็นอย่างเปิดเผย และทรงผมยังสร้างความมั่นใจและความภูมิใจในตัวเองให้กับตัวเรา เมื่อเรามั่นใจและกล้าแสดงออก ความคิดในเชิงบวกต่อการใช้ชีวิตก็จะตามมา ก็มนุษย์เป็นสัตว์สังคมนี่นา การอยากได้รับการยอมรับและการชื่นชมจากคนอื่นๆ จึงทำให้ต้องคอยหมั่นดูแลตัวเองที่สะท้อนออกมาผ่านความงามในด้านต่างๆ
ด้วยเหตุผลข้างต้นอาจทำให้เราเลือกที่จะตัดผมเป็นสิ่งแรกในวันที่ปัญหารุมเร้า เรื่องไม่ดีเข้ามาแทนที่อยู่ในใจ ความมั่นใจที่เคยมีหดหาย หันซ้ายหันขวาไม่รู้จะระบายความทุกข์ใจนี้ที่ไหนหรือกับใครดี งั้นเป็นเส้นผมเราก็แล้วกัน ตัดๆ มันให้หายไปพร้อมกับเรื่องราวต่างๆ ที่ต้องเผชิญซะที
ตัวอย่างเช่นโดจา แคต (Doja Cat) เธอโกนผมและคิ้วจนกลายเป็นที่พูดถึงกันอย่างกว้างขวางต่อสภาพจิตใจ ก่อนจะออกมาตอบข้อสงสัยผ่านอินสตราแกรมของเธอว่า “เธอไม่ชอบมีผม และเธอก็ไม่เคยชอบมีผมเลยด้วย” เพราะการมีเส้นผมทำให้เธอต้องคอยบำรุงดูแล นั่นทำให้เธอรู้สึกเหนื่อย และประเด็นนี้ยังย้อนกลับไปมองบริทนีย์ สเปียร์ส (Britney Spears) กับการโกนผมของเธอในปี 2007 ได้ด้วย เพราะเธอบอกเล่าผ่านหนังสือ The Women In Me ว่า “…การที่ฉันลุกขึ้นมาโกนผมตัวเอง และทำตัวบ้าๆ ในตอนนั้น เป็นวิธีโต้กลับของฉันอย่างหนึ่งต่อพวกปาปารัสซี่”
เห็นได้ว่าการตัดสินใจเลือกสละเส้นผม ซึ่งเป็นหนึ่งในสิ่งที่ช่วยเสริมบุคลิกและความมั่นใจของเราอยู่เสมอ บางครั้งมันก็เป็นหนึ่งในการปลดเปลื้องอารมณ์และความรู้สึกในแง่ลบ หรือความเจ็บปวดภายในใจ ทั้งยังเป็นการกอบกู้ความมั่นใจและความรู้สึกภาคภูมิใจต่างๆ ที่เราเคยมีในตัวเองให้กลับมา
เช่นเดียวกันกับการเลิกราหรือเวลาที่เราอกหัก เราน่าจะเคยเห็นกันมาบ้างตั้งแต่คนใกล้ตัว ไปจนถึงดาราดังหลากช่อง ข่าวออกกันโครมครามพร้อมพาดหัวว่า “ทรงผมใหม่สุดจี๊ด หลังเลิกรากับXX” เพราะงั้นแล้วนอกจากเราจะได้ละทิ้งความเจ็บปวดในใจไปกับเส้นผมที่ถูกหั่นออกไปแล้ว มันก็อาจเป็นสัญญาณที่ดีว่าเรากำลังจะก้าวเดินต่อไปข้างหน้า ไปสู่การเริ่มต้นใหม่ที่ดีๆ ได้เหมือนกันนะ
ดร.เทอร์รี ออร์บุช (Terri Orbuch) ศาสตราจารย์จาก Oakland University ในรัฐมิชิแกน และผู้เขียน Finding Love Again: 6 Simple Steps to a New and Happy Relations ให้ความเห็นไว้ในเว็บไซต์ Mane Addicts ว่า “เมื่อผู้คนเลิกรากัน สิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้ทิ้งอดีต หรือแยกออกไปจากคู่ครองและความสัมพันธ์ได้คือ การกำจัดสิ่งกระตุ้นทางอารมณ์ที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์นั้นๆ อย่างผู้คน สิ่งของ สถานที่ และทรงผมที่สามารถกระตุ้นให้ย้อนกลับไปสู่ความทรงจำและความรู้สึกที่เคยมี ทรงผมจึงอาจเป็นหนึ่งในสิ่งที่เตือนให้เรานึกถึงอดีต หรือความสัมพันธ์ครั้งก่อนๆ ได้ เมื่อเปลี่ยนทรงผมหลังเลิกรากันไป ก็เท่ากับว่าเราจะไม่มีสิ่งเตือนใจให้นึกถึงอดีตอีกต่อไป”
ความเห็นดังกล่าวเป็นไปในทิศทางเดียวกับดร.อดาไลน์ อึง (Adaline Ng) นักจิตวิทยาคลินิกประจำ Better Life Psychological Medicine Clinic ที่ให้เหตุผลถึงสาเหตุของการตัดสินใจตัดผมหลังจากเราจบความสัมพันธ์กับใครบางคนว่า
“สำหรับบางคน การตัดผมถือเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นใหม่ ผมทรงใหม่ ตัวฉันคนใหม่ และสำหรับคนอื่นๆ การตัดผมยังช่วยให้พวกเขากลับมามีความรู้สึกว่าสามารถควบคุมชีวิตของตัวเองได้อีกครั้ง”
นั่นหมายความว่าแม้แรกเริ่ม เราอาจจะเบี่ยงเบนความเสียใจของเราไปโฟกัสอยู่ที่เส้นผม แต่ท้ายที่สุดเราจะเห็นว่าตัวเราเองไม่จำเป็นต้องติดอยู่ในเรื่องเก่าๆ เราสามารถละทิ้งเรื่องราวต่างๆ ไปกับทรงผมเก่า เสมือนทิ้งสิ่งเตือนใจที่ทำให้เรานึกย้อนกลับไปคิดถึงอดีต แล้วดึงความมั่นใจและความภาคภูมิใจในตัวเองกลับมา ผ่านการแสดงออกเหนือร่างกายตัวเอง ด้วยผมทรงใหม่สุดเฉิดฉาย ด้วยจริต New Hair, New Me
แน่นอนว่าหลายครั้งที่เราเผชิญหน้ากับปัญหาต่างๆ ในชีวิต แล้วเลือกจะไปตัดผมจนกลายเป็นมีมตลกที่ใครหลายคนก็รู้สึกรีเลตได้ไม่ยากด้วยประสบการณ์ร่วมนั้น คงไม่ใช่แค่เรื่องที่เรารู้สึกไปเองเพียงคนเดียวเสียแล้ว เพราะเส้นผมสัมพันธ์ต่อความรู้สึกในใจเรามากกว่าที่คิด แม้อาจจะเป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ภายนอก แต่ก็ยากจะปฏิเสธว่ามันกลับเป็นหนึ่งในวิธีการบรรเทาความเจ็บปวดบางอย่าง และช่วยกอบกู้ความรู้สึกของเราให้กลับมาเป็นคนเฉิดฉายอย่างมั่นใจได้ไม่มากก็น้อย
แล้วคนเราส่วนใหญ่มักเลือกตัดผมกันในช่วงไหนนะ? หากยึดตามความเชื่อดั้งเดิมของคนไทย เรามักรู้กันว่าจะตัดผมวันไหนก็ได้ แต่ไม่ควรตัดผมวันพุธ เพราะไม่เป็นมงคลอาจทำให้ทะเลาะเบาะแว้งกับผู้อื่น แต่ในปัจจุบันความเชื่อนี้ก็ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ว่าจริงแท้แค่ไหน ส่วนถ้าเป็นความเชื่อของจีน วันที่ดีที่สุดสำหรับการตัดผมคือ วันพฤหัสบดีและวันอาทิตย์ เพราะมีความเกี่ยวข้องกับธาตุไม้และกับธาตุทอง แต่หากเป็นความเชื่อด้านโหราศาสตร์สากลแล้ว การตัดผมที่ดีที่สุดคือวันพระจันทร์เต็มดวง เพราะจะช่วยเสริมพลังที่ทำให้ชีวิตเราเริ่มต้นใหม่ด้วยสิ่งดีๆ และเป็นการปลดปล่อยสิ่งไม่ดีหรือสิ่งไม่มีประโยชน์ออกไปจากตัวเรา
ทั้งนี้จากข้อมูลสำมะโนประชากรของสหรัฐอเมริกาและการสำรวจผู้บริโภคแห่งชาติของ Simmons (NHCS) กับการสำรวจความถี่ของการตัดผมภายใน 6 เดือน ตั้งแต่ปี 2021-2022 ยังพบว่าชาวอเมริกัน 59.02 ล้านคน ตัดผมมากกว่า 4 ครั้งขึ้นไปในระยะเวลา 6 เดือน นั่นอาจเป็นตัวสะท้อนให้เห็นว่า มีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่ยังคงรักและดูแลเส้นผมของตัวเอง เฉกเช่นเดียวกับส่วนอื่นๆ ของร่างกาย
ท้ายที่สุดนี้ บางปัญหาอาจละทิ้งไปได้พร้อมกับเส้นผม บางปัญหาอาจยังคงติดอยู่ในใจ ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องหาวิธีแก้ปัญหาและเรื่องราวที่ค้างคาใจให้ตรงจุด สำหรับบางคนเวลาคือทางออก บางคนผู้คนใหม่ๆ คือทางออก บางคนสภาพแวดล้อมใหม่คือทางออก เพียงแค่เราต้องหามันให้เจอ
ให้อดีตพัดผ่านไปพร้อมกับเส้นผมที่ถูกสะบั้นออก ผ่านสีผมที่เฟดไป ผ่านความร้อนที่เข้ามาดัดลอน และเราจะเริ่มต้นเรื่องราวใหม่ในชีวิตไปพร้อมกับเส้นผมที่ยาวขึ้น ไปกับการลงสีสดใหม่ ไปกับความร้อนที่ยืดมันให้เรียบตรงอีกครั้งหนึ่ง เพราะตอนนี้เราขอแคร์มายฮาร์ทก่อนก็แล้วกันนะ!
อ้างอิงจาก