เริ่มใหม่ รักให้เก่งขึ้น
ช่วงต้นปีแบบนี้เรามักรู้สึกถึงการเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ วิธีคิดใหม่ๆ แต่ในบางเรื่องเช่นความรัก บางส่วนเราอาจยังมีร่องรอย หรือความยืดเยื้อบางอย่างของความรักและปัญหาเรื่องความรัก ความสัมพันธ์ที่ยังคงคาราคาซัง บางคนอาจเริ่มมองว่า ปีนี้เป็นปีที่เราต้องรักให้ดีขึ้น อาจได้สละโสด เป็นคนมีความรักที่ดีกับเขาสักที
ในเรื่องความรัก แน่นอนว่าเป็นเรื่องยาก เรามีเลิฟโค้ช มีรายการ และบทความให้คำปรึกษาด้านความรัก ไปจนถึงบริการโหราพยากรณ์ โดยหนึ่งในดินแดนที่พยายามทำความเข้าใจความรักอย่างละเอียด มักมีมุมมองต่อความรักที่น่าสนใจ เป็นพื้นที่ของประสบการณ์และการครุ่นคิด นั่นก็คือโลกของวรรณกรรม
ในโอกาสที่เราอาจจะอยากทบทวนเรื่องความรัก อยากจะเป็นคนที่รักได้ดีขึ้นบ้างนิดหน่อย The MATTER จึงชวนไปสำรวจโลกของวรรณกรรมว่า เหล่านักเขียนผู้เจนจัดในการใช้ชีวิต ผู้ที่สร้างถ้อยคำและเรื่องราวที่ไร้กาลเวลา และได้จำลองชีวิต ไปจนถึงตั้งคำถามต่อเรื่องราวต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องความรักที่มักเป็นแกนของวรรณกรรม ของเรื่องสั้น และของนวนิยาย ว่าในเรื่องราวที่อวลไปด้วยรักนั้น พวกเขามองหรือแนะนำแนวทางเรื่องความรักไว้อย่างไรบ้าง
นี่คือถ้อยคำและคำแนะนำสั้นๆ เรื่องความรักจากนักเขียนสำคัญจากยุคสมัยต่างๆ จากข้อทบทวนกว้างๆ ที่ตัวละครมารดาผู้แข็งแกร่งแนะนำลูกชายก่อนเดินทางของเชคสเปียร์ ข้อเขียนครุ่นคิดที่ล้ำลึกว่าด้วยการเว้นระยะห่างในความสัมพันธ์ของนักคิดจากดินแดนตะวันออกกลาง ไปจนถึงบางส่วนในนวนิยายของตัวแม่ด้านความรักความสัมพันธ์จากยุควิคตอเรียน ข้อคิดเรื่องความรักเล็กๆ จากวรรณกรรมเด็ก และข้อคำนึงสุดท้ายที่ว่าเราเองก็อาจไม่ได้ปรารถนาแค่ความสัมพันธ์ แต่การอยู่ลำพังก็เป็นความปรารถนาอีกด้าน ไม่มีรัก ก็ไม่เป็นไร
รักทุกคน เชื่อใจบางคน และอย่าพยายามทำผิดต่อใคร
“Love all, trust a few, do wrong to none.”
─ All’s Well That Ends Well, William Shakespeare
บทเรียนแรกที่แสนจะกระชับค่อนข้างสั้น แต่ก็ลึกซึ้ง ข้อความนี้มาจากช่วงแรกของบทละครสุขนาฏกรรมของวิลเลียม เชกสเปียร์ (William Shakespeare) ตัวเรื่องพูดถึงการต้องเดินทางของตัวละครเอก ในเรื่องตอนลากัน แม่ของตัวละครก็ได้ทิ้งคำสอนสั้นๆ ว่าให้รักทุกคน แต่วางใจแค่บางคน และถ้าเป็นไปได้อย่าไปทำผิดต่อใคร ในเรื่องตัวละครผู้เป็นแม่ ค่อนข้างเป็นผู้หญิงแกร่งผ่านการฝากฝังที่คมคาย ทีนี้คำสอนนี้อาจเป็นเรื่องชีวิตในภาพรวม แต่ถ้าในมิติของความรัก อาจทำให้เราเห็นถึงการให้ความรักเป็นเรื่องพื้นฐานหนึ่ง แต่นอกจากความรักแล้ว เราอาจเผื่อใจหรือป้องกันความรู้สึกไว้ในเรื่องของความไว้ใจ ไปจนถึงเรื่องที่พื้นฐานที่สุดคือ เราไม่ควรทำผิดต่อใคร ทำทุกอย่างที่คิด และเชื่อว่าถูกต้องจริงๆ จะได้ไม่เสียใจภายหลัง ซึ่งจริงๆ เคาน์เตสค่อนข้างสอนหลายเรื่องที่น่าสนใจ เช่น การให้อยู่ในอำนาจ แต่ก็อย่าใช้อำนาจ ให้เราตรวจสอบสิ่งต่างๆ ด้วยความเงียบไม่โผงผางก่อน
ในความรักมีพื้นที่ของกันและกัน
“But let there be spaces in your togetherness,
And let the winds of the heavens dance between you
…
And stand together yet not too near together:
For the pillars of the temple stand apart,
And the oak tree and the cypress grow not in each other’s shadow.”
─ The Prophet, Kahlil Gibran
วัยรุ่นยุคเบบี้บูมเมอร์ หรือจริงๆ คือเจนวาย มักจะมีหนังสือนำชีวิตเล่มหนึ่งคือ หนังสือปรัชญาชีวิตของคาลิล ยิบราน (Kahlil Gibran) ซึ่งงานเขียนของเขามีความน่าสนใจด้วยบริบทที่เป็นกวีเลบานอน คำว่าปรัชญาชีวิตที่จริงๆ น่าจะได้อิทธิพลจากความคิดเก่าแก่ ทว่าความคิดของยิบรานกลับมีความล้ำสมัย เข้าอกเข้าใจ และใช้กับโลกสมัยใหม่ได้อย่างดีเยี่ยม
ตัวอย่างสำคัญเรื่องความรัก มาจากบทกวีที่ว่าด้วยการแต่งงาน คาลิลชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ของการรักษาความเป็นตัวเอง การมีพื้นที่และช่องว่างระหว่างคนสองคน ของความเป็นสามีภรรยา การเว้นที่ว่างให้กับความรัก และรักษาระยะห่างในความใกล้ชิด ก็ถือเป็นอีกหนึ่งศิลปะของความรักที่จะทำให้ความรักของคนสองคนไปจนถึงความรักในตนเองแข็งแรงยืนยาว
เรารู้สึกว่ารัก เมื่อเรารู้สึกห่วงใยมากเกินไป
“Some people care too much.” Said Pooh
“I think it’s called love.”
─ Winnie The Pooh, A. A. Milne
เราจะรู้ได้ยังไงว่าเรากำลังรักอยู่ไหม ในความวุ่นวายใจ การลงมือทำ หรือความหมกมุ่นสนใจอย่างที่เราไม่เคยเป็นมาก่อนนี้คืออะไร คำตอบจากป่าร้อยเอเคอร์ และการตอบความหมายของชีวิตที่เรียบง่ายอย่างที่เราหลงลืมไปแล้วของวินนี่ห์ เดอะ พูห์ อาจทำให้เรากลับมาเข้าใจตัวเองได้อีกครั้ง ในความรู้สึกแคร์ คิดถึง ห่วงใย ซึ่งบางครั้งเราอาจรู้สึกว่าเราเริ่มใส่ใจใครอีกคนมากเกินไป คำตอบที่ง่ายที่สุดจากพูห์คือ สิ่งที่เราเป็นนั้นน่าจะคือความรักนั่นแหละ ในความเข้าใจง่ายๆ นี้อาจทำให้เราเข้าใจทั้งภาวะที่กำลังรักใครอีกคนอยู่ และอาจทำให้เราเข้าใจและควบคุมความล้นเกินจากความรักนั้นได้อย่างเหมาะสม
ความรักคือการเป็นเรื่องดีๆ ในวันแย่ๆ ของใครอีกคน
“Prepare yourself to be a Rainbow in Someone Else’s Cloud”
— Maya Angelou
บางครั้งเราสงสัยว่าความรักคืออะไรในความสัมพันธ์ที่เรามีต่อผู้อื่น อะไรคือบทบาทของความรักความสัมพันธ์ ข้อคำนึงของมายา แอนเจลู (Maya Angelou) สุดยอดนักเขียนหญิงผิวดำที่ทรงอิทธิพลเป็นลำดับต้นๆ ของอเมริกันและของโลกในยุคนี้ ด้านหนึ่งพูดถึงบทบาทของเราที่มีต่อคนอื่นในภาพรวม คือมนุษย์เรามีวันที่แย่ มีสิ่งที่แย่ๆ เกิดขึ้น สิ่งที่เราจะทำได้โดยเฉพาะการเป็นคนรัก หน้าที่ของเราคือ การเตรียมตัว และทำตัวเองให้เป็นสายรุ้งที่พาดผ่านในวันที่หมองหม่นของใครอีกคน เป็นวันดีๆ ในช่วงปีที่ร้ายของกันและกัน
บางครั้งความหวังและการรอคอย เป็นเรื่องจำเป็น
“Know your own happiness. Want for nothing but patience – or give it a more fascinating name: Call it hope.”
─ Sense and Sensibility, Jane Austen
เจน ออสติน (Jane Austen) เป็นตัวแม่ด้านนิยายรัก เป็นต้นแบบของนวนิยายโรมานซ์ระดับโลกรวมถึงบ้านเราด้วย ในความรักมีความคิดหนึ่ง คือการที่เราต้องเข้าใจว่าอะไรคือความสุขของเรา เราปรารถนาอะไร ซึ่งเจน ออสตินถือว่าเป็นคนร้ายๆ ที่เข้าใจโลกเหมือนกัน ในบางครั้งการจะได้มาซึ่งอะไร สิ่งที่เราทำได้คือการอดทนรอ และการรอนั้นเธอก็บอกว่า ให้เราตั้งชื่อสวยๆ ให้มัน และเรียกมันว่าความหวัง ความหวังในแง่นี้จึงเป็นสิ่งหวานๆ ที่เรารักษามันไว้ ทั้งที่ลึกๆ แล้วเราอาจจะรู้ว่ามันมีความขมซุกซ่อนอยู่ในตอนสุดท้าย แต่ถ้าจะมีความรัก การอดทน การรอคอย และการมีความหวังอยู่ ย่อมเป็นหัวใจสำคัญขั้นพื้นฐานอย่างหนึ่งของการมีรัก
อย่ากลัวการสูญเสีย สิ่งที่ใช่มักกลับมาเสมอ
“And don’t worry about losing. If it is right, it happens—The main thing is not to hurry. Nothing good gets away.”
─ letter of fatherly advice to his son, John Steinbeck
จอห์น สไตน์เบ็ก (John Steinbeck) เป็นนักเขียนร่วมสมัย มีชื่อเสียงทั้งจากนวนิยายและเรื่องสั้น ข้อเขียนนี้มาจากจดหมายในทำนองคุณพ่อสอนลูก ซึ่งน่ารักมาก เพราะในจดหมาย คุณพ่อนักเขียนได้พูดถึงความเข้าใจเรื่องความรักและความสัมพันธ์ รวมถึงภาพรวมของชีวิต การที่เรารักหรือหวังจะได้อะไร การสูญเสียสิ่งต่างๆ หรือการไม่ได้สิ่งนั้นหรือความสัมพันธ์นั้นๆ มาเป็นความกังวลใจอย่างสำคัญ ในด้านหนึ่ง ถ้าเราอยู่ในความสัมพันธ์ที่เร่งร้อน รู้สึกว่าทุกอย่างจะหลุดมือ หรือต้องรีบหยิบฉวยอยู่ตลอดเวลา ก็อาจไม่ใช่สิ่งที่เรามองหาในระยะยาว ดังนั้นการเชื่อว่าสิ่งที่ใช่สุดท้ายจะอยู่กับเราเสมอ ก็อาจจะเป็นอีกมุมมอง หรือคำปลอบใจที่ดี ในทางกลับกันก็ไม่เชิงว่าทำให้ทุกอย่างเป็นเหมือนของตาย หรือใจเย็นจนเกินไปเนอะ
ความรักเป็นเรื่องของตัวเรา ทำสิ่งที่ถูก แม้จะทำให้คนอื่นเจ็บปวด
“You can’t live your life for other people. You’ve got to do what’s right for you, even if it hurts some people you love.”
─ Nicholas Sparks
หลายครั้งความรักเป็นเรื่องที่เรามักต้องเลือก ความรักอาจนำไปสู่ความขัดข้องใจและการไม่ยอมรับ นี่คือข้อคิดเห็นจากนวนิยายเรื่อง The Notebook งานเขียนที่ใส่สิ่งมหัศจรรย์ลงไปในความสัมพันธ์ร่วมสมัยของนิโคลัส สปากส์ (Nicholas Sparks) (ซึ่งยุคหนึ่งเรามีหนังรักจากนวนิยายของเขาเยอะและฮิตมาก) สิ่งที่น่าสนใจคือ ในนวนิยายที่ร่วมสมัยขึ้นมา เราจะเริ่มพูดถึงการเข้าใจชีวิตและเข้าใจความรักว่า บางครั้งการรู้จักตัวเองและการเลือกเส้นทางที่ถูกต้อง ในที่นี้คือถูกต้องในนิยามของเรา บางครั้งมันอาจไม่ถูกใจใครทุกคนได้ แต่ชีวิตเป็นของเรา เส้นทางเป็นของเรา จึงดูเหมือนว่าความคิดของนิโคลัส สปาร์กจะต่อเนื่องกับความคิดของเจน ออสติน
หัวใจถูกสร้างมาให้เจ็บ และเป็นส่วนหนึ่งของรสชาติความรัก
“The most terrible thing about it is not that it breaks one’s heart—hearts are made to be broken”
─ De Profundis, Oscar Wilde
ออสการ์ ไวลด์ (Oscar Wilde) นักเขียนสุภาพบุรุษที่ใช้ชีวิตโลดโผน ผลงานของไวลด์ก็ขึ้นชื่อเรื่องความคมคายและการจิกจัดสังคม ไปจนถึงความเป็นมนุษย์ได้อย่างเจ็บแสบ สิ่งที่น่าสนใจคือ ไวลด์พูดถึงบทบาทของความรัก โดยเน้นว่าการใช้ชีวิต หรือการเติบโต การยอมปล่อยใจไปกับความรัก ความเข้าใจแรกคือ การรักและหัวใจของเรามันเจ็บได้ มันมีแผลได้ และในทางเดียวกัน มันก็เยียวยาและแข็งแรงยิ่งขึ้นได้ คำว่าหัวใจสร้างขึ้นมาให้เจ็บ จึงเป็นอีกคำแนะนำที่ตรงใจเรื่องหัวใจ
การมีคู่เป็นความปรารถนาหนึ่ง การเป็นโสดก็เช่นกัน
“The desire to get married is a basic and primal instinct in women. It’s followed by another basic and primal instinct: the desire to be single again.”
─ Nora Ephron
ส่งท้ายด้วยผลงานของนอรา เอฟรอน (Nora Ephron) นักเขียนบทภาพยนตร์ผู้มีชื่อเสียงจากหนังแนวโรแมนติก-คอเมดี้ ในข้อคิดง่ายๆ ที่บางทีเราลืมไปอย่างชีวิตของเรามีโลก 2 ใบ โดยโลก 2 ใบในที่นี้คือการมีชีวิตคู่ และการมีชีวิตโสด ซึ่งทั้ง 2 ด้านมีความสุขสบายแตกต่างกัน เมื่อเรามีคู่ ลึกๆ เราก็นึกอยากเป็นโสดอีกครั้ง ตอนเป็นโสดก็อยากมีคู่ ในแง่นี้อาจทำให้เรานึกย้อนได้ว่า ไม่มีด้านไหนที่แย่ไปกว่ากัน ตอนนี้ถ้าเราเป็นโสด การเป็นโสดก็อาจเป็นยอดปรารถนาของคนมีคู่บางคน ในวันที่เราตามหาความรัก ก็อย่าลืมความหอมหวานของชีวิตที่เรามีอยู่ด้วย
อ้างอิงจาก