เดินเข้ามาในออฟฟิศ มือถือกาแฟแก้วโปรด พร้อมเติมพลังให้เช้าวันทำงานอันสดใส แต่พอได้เดินผ่านแผนกนั้น เลี้ยวผ่านห้องประชุมมุมนี้ เหมือนมีบรรยากาศไม่น่าไว้ใจปกคลุมไปทั่วออฟฟิศ แล้วก็ต้องร้องอ๋อเมื่อเห็นการจับกลุ่ม ล้อมวงพูดคุยในระดับเสียงที่เหมือนมีป้ายเตือนว่า ‘ประชุมลับ’ แปะอยู่ตัวเบ้อเริ่ม แม้ก่อนหน้านี้จะดูเคร่งเครียดกันขนาดไหน แต่ทุกคนก็พร้อมใจโบกมือยิ้มแย้มเมื่อมีใครสักคนเดินผ่าน การเปลี่ยนสีหน้าอันรวดเร็วนี้มันอะไรกัน
หรือว่านี่จะเป็นส่วนหนึ่งของโลกการทำงานที่ใครๆ ก็พูดถึงอย่าง ‘เกมการเมืองในออฟฟิศ’ พอมีใครหรือกลุ่มไหนไม่ลงรอยกัน ก็พลันแบ่งออฟฟิศแยกเป็น 2 ส่วน อยู่ที่เราจะเลือกอยู่ข้างไหน หรือจะลอยตัวเหนือปัญหา เป็นคนกลางไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวแสนวุ่นวายนี้ ก็มาทำงานนี่ จะหาเรื่องปวดหัวเพิ่มให้ตัวเองทำไมกัน คน 2 กลุ่มทะเลาะกันก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของพวกเขาไป
การเมือง (ในออฟฟิศ) อาจไม่ใช่แค่เรื่องคนทะเลาะกัน
ตามความเข้าใจของเรา การเมืองในออฟฟิศ มันเป็นเรื่องแสนน่าเบื่อ แค่คนทะเลาะกันแล้วหาพวกให้เข้าข้างตัวเอง เพื่อกดดันอีกฝ่ายว่าฉันนี่แหละ คือคนที่ทุกคนเลือก เป็น Mastermind ของออฟฟิศนี้ การเมืองที่ว่านั้นจึงเป็นเรื่องของการเล่นตุกติก จับกลุ่มนินทา น่าหงุดหงิด และสร้างแต่บรรยากาศเป็นพิษให้คนรอบข้าง ก็ไม่ผิดนัก ส่วนหนึ่งเป็นแบบนั้นจริง แต่อีกส่วนหนึ่ง มีการเมืองที่แยบยลกว่านั้น และอยู่รอบตัวเราเสมอแม้จะไม่อยากเข้าร่วมเลยก็ตาม
การเมืองในออฟฟิศ สามารถเป็นเรื่องของความเคลื่อนไหวที่เรามองไม่เห็น เป็นการจัดการเบื้องหลัง วางแผนเพื่อให้ตัวเองบรรลุเป้าหมาย อาจเพื่อความสำเร็จของตัวเองหรือเพื่อขัดขาคนอื่น เป็นเหมือนคลื่นใต้น้ำที่ก่อตัวอย่างเงียบเชียบ กว่าเราจะรู้ตัว อาจถูกพัดพาไปไกลถึงกลางมหาสมุทรอ้างว้างแล้วก็ได้
มันจึงไม่ได้ออกมาในรูปแบบของการจับกลุ่มนินทา แซะกันไปมาบนโซเชียลมีเดีย เพียงเท่านั้น แต่สามารถเป็นการใช้อำนาจ ใช้เส้นสาย แผนตุกติกบางอย่าง เพื่อให้ไปถึงเป้าหมาย เป็นได้ทั้งเรื่องสีเทาจางๆ อย่างการเลือกใช้คนที่เรารู้ว่าเป็นที่รักของหัวหน้าที่มีส่วนร่วมในการอนุมัติโปรเจ็กต์นี้ ไปจนถึงเรื่องเทาเข้มอย่างการตั้งตนเป็นศัตรูกับใครสักคนอย่างเปิดเผย
ปลายทางของการเมือง ไม่ได้มีเพียงทับถมอีกฝ่าย แต่อาจเป็นบันไดก้าวขึ้นไปสู่อำนาจ ทำทุกหนทางเพื่อให้บันไดของเรานั้นแข็งแกร่ง โดยมีเป้าหมายเดียวคือความสำเร็จของตัวเอง
เราหลีกเลี่ยงการเมืองได้จริงหรือเปล่า?
แม้ความตั้งใจของเราจะเลือกแล้วว่า การไม่กระโจนเข้าสู่ปัญหาความขัดแย้งใดๆ จะเป็นผลดีกับเราทั้งในแง่ความสัมพันธ์และหน้าที่การงานมากกว่า แต่โลกการทำงานอาจไม่อนุญาตให้เราลอยตัวได้ง่ายขนาดนั้นน่ะสิ
ด้วยความเป็นสัตว์สังคมของมนุษย์ เรามีความสัมพันธ์ต่อกันเป็นใยแมงมุมล่องหน ซ่อนเส้นใยความสัมพันธ์ไว้มหาศาล อำนาจในความสัมพันธ์จึงเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ เพราะมันถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อก้าวไปในความสัมพันธ์นั้นๆ หรือใช้เพื่อเป้าหมายบางอย่างเสมอ
หากจะให้เห็นภาพมากขึ้น สมมติว่าเราเห็นว่าสงครามก่อตัวขึ้นในออฟฟิศ ตัวต้นเรื่องทั้ง 2 ต่างเป็นคนที่เราไม่เคยมีปัญหาใดๆ ด้วย รู้จักกันเพียงผิวเผิน เข้าฝั่งไหนไปก็ไม่รู้จะได้อะไรขึ้นมา เราเลยเดินชิลอยู่ท่ามกลางสนามเพลาะสงครามโดยหวังว่าจะไม่โดนลูกหลงอีกด้วย แต่วันหนึ่ง เราอาจโดนซื้อใจด้วยการเอ่ยชมในที่ประชุม ยกเครดิตการทำงานให้ ฝั่งตรงข้ามเห็นแบบนั้นก็คิดว่าเราคงเข้าร่วมอีกฝั่งไปแล้ว แม้ฝั่งเราเองจะไม่ได้อยากเข้าร่วมใคร แต่ก็เกรงใจอยู่ไม่น้อยที่อยู่ดีๆ ก็มีคนมาช่วยบวกคะแนนการทำงานให้แบบนี้ ก็กลายเป็นน้ำท่วมปากทั้งที่ยังไม่ทันเลือกข้างด้วยซ้ำ
หรือแม้กระทั่งวันหนึ่งที่เราทำงานจนหัวหกก้นขวิด เราก็อยากให้หน้าที่การงานของเราก้าวไปข้างหน้า หากผลงานของเรายังไม่สามารถพูดด้วยตัวมันเองได้ เราก็ต้องหาคนที่จะพูดให้คนมาเห็นงานของเราได้ ถ้าเราพูดด้วยตัวเองได้ก็ดีไป แต่ถ้าเราเริ่มหยิบยืมมือคนมาพูดแทนเมื่อไหร่ ดูเหมือนว่าเราก็ก้าวขาเข้ามาในการเมืองไปแล้วครึ่งหนึ่ง
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า การเมืองในที่ทำงานมีทั้งสีเทาอ่อนไปยันเทาเข้ม แม้เราจะหลีกเทาเข้มที่ชัดเจนแจ่มแจ้งได้ แต่เราก็อาจต้องเข้าร่วมในเทาอ่อนเข้าสักวัน และได้แต่ปลอบใจตัวเองว่ามันรู้ผิดน้อยกว่ากัน เราไม่ได้ทะเลาะกับใครเสียหน่อย ไม่ได้ทำใครเสียหาย เพียงแต่มันเป็นทริกเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้เราก้าวต่อได้ต่างหาก
เมื่อใดที่เราเริ่มถามตัวเองว่าเรากำลังตุกติกอยู่หรือเปล่า นั่นแปลว่าเราเริ่มตุกติกเข้าให้แล้วล่ะ
หลบลูกหลงในสงครามนี้ยังไงดี?
ถึงอย่างนั้น ถ้าเราตั้งใจจะไม่เป็นคนก่อสงครามเสียเอง ก็น่าจะเพียงพอแล้วมั้ง ส่วนที่เหลือจะต้องเดินไปตามหมากตามเกมไหน ก็ขอให้เป็นเรื่องของผลประโยชน์ในอนาคตไปแล้วกัน แต่ตอนนี้สำหรับใครที่ยืนอยู่ท่ามกลางสงคราม แล้วรู้สึกว่าอยากเดินก้าวข้ามไปแบบไม่โดนกับระเบิดเข้า ก็อาจลองใช้วิธีเหล่านี้ ให้เป็นประโยชน์กับตัวเองได้
- รักษาความสัมพันธ์กับทุกฝ่าย เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกแปะป้ายว่าเข้าร่วมกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปแล้วหรือเปล่า เราควรรักษาความสัมพันธ์อันดีหรืออย่างน้อยก็ควรอยู่ในระดับเดิมของเราเอาไว้ ถ้าเคยสนิทสนมเท่านี้ ก็ให้มันเท่านี้ไปตลอด แม้ว่าจะโดนซื้อใจด้วยอะไรก็ตาม เพื่อแสดงให้ฝั่งที่พยายามดึงเราเข้าไปเห็นว่า แม้จะได้รับผลประโยชน์แล้ว แต่เราจะยังทิ้งระยะห่างไว้เท่านี้อยู่ดี และให้ฝ่ายตรงข้ามเห็นด้วยว่า เราไม่ได้เข้าร่วมเพราะเห็นแค่ประโยชน์เหล่านั้น เพียงแค่ไม่ตอบรับตามเกมเท่านั้นก็พอ ไม่ต้องเลือกเอาอกเอาใจทั้ง 2 ฝ่าย ไม่เช่นนั้นเราเองนี่แหละที่จะโดนป้ายต่อไปว่าเป็นน้องนกที่พร้อมอยู่ข้างพี่ตาทั้งคู่
- ประเมินสถานการณ์อยู่เสมอ แม้จะฟังดูโหดร้ายไปเสียหน่อย ก็ต้องยอมรับว่าทุกองค์กรมีโครงสร้างของมัน ใครมีอำนาจมากกว่า ใครทำผลงานได้มากกว่า ใครมีโอกาสได้ไปต่อ เราควรรู้เท่าทันสถานการณ์ก้าวต่อไปอยู่เสมอ แม้เราจะไม่มีส่วนรู้เห็นในวันที่เขาตีกันวันนี้ แต่วันหน้ามันต้องมีผู้ชนะเข้าสักคน อย่างน้อยก็เพื่อเตือนตัวเองเสมอว่าอย่าไปขัดคอ ขัดขาใครอย่างไม่ตั้งใจ
- หลีกเลี่ยงการพบปะนอกเวลางาน โดยเฉพาะในช่วงสงครามกำลังปะทุ การออกไปใช้เวลาหลังเลิกงานด้วยกัน มันยิ่งสร้างภาพความสนิทสนมกับฝั่งใดฝั่งหนึ่งอย่างชัดเจน แม้ใครจะไปกินดื่มกับใคร ออกจะเป็นเรื่องส่วนตัวเสียหน่อย แต่อย่าลืมว่าการเมืองก็คือเกมส่วนตัวที่มีเดิมพันเป็นหน้าที่การงานด้วยเหมือนกัน เกมนี้มันไม่ละเว้นให้เรื่องไหนทั้งนั้น
แม้เราจะรู้สึกว่าเกมนี้ไม่ใช่ปัญหาของเรา แต่การลอยตัวเหนือปัญหา ไม่ได้การันตีว่าเราจะกลายเป็นตัวกลางแสนดีของเรื่อง อาจกลายเป็นหมากตัวจ้อยที่ถูกบงการในสักวัน หรือถูกแปะป้ายว่าเป็นนกสองหัวที่เจื้อยแจ้วไปกับทั้ง 2 ฝ่าย ทางออกที่ดีของเรื่องนี้ อาจเป็นการรู้เท่าทันเกมและปรับตัวเพื่อให้เราอยู่รอดได้
อ้างอิงจาก