การตัดสินใจเลือกเส้นทางในชีวิตไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งเป็นเรื่องงาน ยิ่งต้องคิดให้รอบคอบ แต่ตอนนี้เรากำลังเจอกับความยากในการเลือกนั้นอยู่ เพราะเราต้องเลือกระหว่างกลับไปทำธุรกิจของครอบครัว หรือทำงานประจำที่ตัวเองรัก ทางหนึ่งก็ครอบครัว อีกทางก็ความฝันตัวเอง ไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็อาจมีคนต้องเสียใจกับการตัดสินใจนี้
ลำพังแค่เลือกงานที่ตรงใจก็ใช่ว่าจะหากันได้ง่ายๆ ถ้าตัวแปรมีแค่ตัวเองชอบหรือไม่ชอบงานนั้นก็คงตัดสินใจได้เลย เพราะยังไงเราก็เป็นคนที่รู้จักตัวเองดีที่สุด แต่พอมีครอบครัวเข้ามาอยู่ในสมการด้วย จะให้เลือกง่ายๆ เหมือนเดิมคงไม่ได้แล้วสิ ไหนจะอนาคตของที่บ้าน หรืออายุที่ของพ่อแม่ที่เพิ่มขึ้นทุกวัน การสานต่อธุรกิจของที่บ้านดูเผินๆ จึงเหมือนเป็นสิ่งที่ควรทำ แต่ติดตรงที่เราก็ยังสนุกกับงานประจำอยู่ จะให้ลาออกตอนนี้เลย ใจหนึ่งอดเสียดายสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ไม่ได้
ก็เคยได้ยินมาว่าทำงานกับที่บ้านยังไงก็มั่นคงกว่า ได้ทำอะไรที่เป็นของตัวเองจริงๆ มีโอกาสลองผิดลองถูกเพราะยังไงก็มีครอบครัวคอยหนุนหลังให้ แต่ก็อาจไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป เพราะต้องแลกมากับความคาดหวังจากทุกคน จนเราต้องทำงานหนักแทบตลอดเวลา กลับกันลองมาดูงานประจำที่ทำอยู่ก็ไม่แย่ เราไม่ต้องกังวลเรื่องกำไรขาดทุน เพราะยังไงก็ได้เงินทุกสิ้นเดือน แถมยังมีเวลาแบ่งไปทำสิ่งที่ตัวเองสนใจ ถึงจะแลกมากับความไม่แน่นอน ที่ไม่รู้จะถูกเลย์ออฟวันไหนบ้างก็เถอะ
ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าทำงานประจำไปไม่ได้ตลอด แต่จะให้ออกมาช่วยงานที่บ้านเลยตอนนี้ก็ยังลังเล ไม่ว่าทางไหนก็มีทั้งข้อดีข้อเสียทั้งนั้น แล้วเราจะเลือกทางไหนดีละ งั้นเรามาลองดูจุดเด่นของแต่ละฝั่งกัน ว่าถ้าหากตัดสินใจเลือกทางนั้นเราอาจต้องเจออะไรบ้าง
งานแบบไหนที่ตรงใจเรา
ก่อนอื่นเราอยากชวนมาเปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสีย ของแต่ละทางเลือกกัน เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้นว่าถ้าเลือกทางใดทางหนึ่งไปแล้ว ชีวิตของเราจะมีหน้าตาเป็นยังไง จะใช่แบบที่เราต้องการจริงๆ หรือเปล่า เผื่อว่าถ้าเห็นแล้วว่าไม่ใช่สิ่งที่ต้องการแน่ๆ ก็ตัดตัวเลือกได้เลย หรือถ้าเป็นข้อเสียที่เรายอมรับได้ ก็อาจถือว่าเป็นทางเลือกที่ลองดูก็ไม่เสียหาย
ฝั่งแรกการทำธุรกิจของครอบครัว ทางเลือกนี้แทบจะเรียกว่าเป็นทางในฝันของใครหลายคน เพราะไม่ใช่ว่าใครจะมีธุรกิจครอบครัวกันได้ อย่างน้อยก็ช่วยรับประกันว่าเรามีงานรองรับแน่นอน แถมมีโอกาสได้เรียนรู้ก่อนใครเขา ส่วนถ้าเป็นบริษัทใหญ่หน่อย ถึงจะต้องเริ่มจากตำแหน่งเล็กๆ แต่ยังไงก็มีเส้นทางเติบโตชัดเจน เก้าอี้ตำแหน่งสูงๆ ก็ถูกปัดฝุ่นรอให้เราเข้าไปนั่งอยู่แล้ว หลังจากเข้าไปแล้วก็เรียกได้ว่าโดดเด่น เพราะรายล้อมไปด้วยคนที่รู้จักดี มีคนคอยสอนงาน บางเรื่องก็เป็นสิ่งที่เราคุ้นเคยดี เพราะเห็นมาตั้งแต่เด็กๆ และความคุ้นเคยนี่แหละจึงทำให้เรากล้าลองผิดลองถูก เพราะมีครอบครัวคอยสนับสนุนอยู่
แต่ช้าก่อน อย่าเพิ่งเซ็นใบลาออก เก็บข้าวเก็บของแล้วพุ่งกลับบ้านทันที เพราะถึงจะมีข้อดีมากมาย แต่ความท้าทายที่ลูกเจ้าของบริษัทต้องเจอก็หนักอึ้งไม่แพ้กัน จากการพูดคุยกับทายาทธุรกิจครอบครัว มอร์เทน เบนเนดเซ่น (Morten Bennedsen) ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ ที่เชี่ยวชาญด้านการดูแลบริษัทครอบครัวพบว่า ประเด็นที่มักเกิดขึ้นในธุรกิจครอบครัว ซึ่งปัญหาเหล่านี้ไม่สามารถแก้ไขได้ ก็อาจส่งผลต่อการอยู่รอดของธุรกิจครอบครัว ประกอบไปด้วย
- อัตลักษณ์ของครอบครัวกับตัวเรา: บางครั้งแนวคิดที่บริษัทของครอบครัวเชื่อ ก็อาจแตกต่างจากตัวตนของเรา จนทำให้เกิดความกดดันและความขัดแย้งได้ เช่น บริษัทครอบครัวมองว่าการรับช่วงต่อถือเป็นหน้าที่ แต่เราอาจพบว่ายังมีเรื่องอื่นๆ ที่เราสนใจมากกว่า สุดท้ายแม้จะได้เข้ามารับช่วงต่อจริงๆ ก็อาจไม่มีความสุขกับงานที่ทำ
- ค่านิยมและวัฒนธรรม: ค่านิยมและวัฒนธรรมที่ดีช่วยให้การทำงานมีความหมาย แต่หากค่านิยมของเรากับบริษัทครอบครัวไม่ตรงกันก็นำไปสู่บรรยากาศมาคุได้ เช่น เราอยากปรับวัฒนธรรมการทำงานให้ดีขึ้น ด้วยการให้ความสำคัญกับพนักงาน แต่บริษัทครอบครัวดันมีคำขวัญว่า ‘จงทุ่มเทและทำงานให้หนัก’ ลงเอยแบบนี้ก็อาจเป็นเราเองที่ไม่หมดกำลังใจจะทำงานต่อ
- การสื่อสาร: ในการทำงานปกติ การพูดคุยอย่างตรงไปตรงมาช่วยให้งานง่ายขึ้น บอกมาเลยว่าอยากให้ปรับตรงไหน แก้ยังไง โดยไม่ถือเป็นเรื่องส่วนตัว พอเป็นบริบทครอบครัว การจะพูดเรื่องที่ไม่ชอบออกไปเลยอาจไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่ โดยเฉพาะยิ่งเราถูกมองว่าเป็นเด็กที่เพิ่งเข้ามาช่วยงานด้วยแล้ว ความเห็นของเราก็อาจถูกปัดตกไปได้ หลายครั้งต้องหาวิธีการพูด ใช้วิชาชักแม่น้ำทุกสายให้อีกฝ่ายเข้าใจ ทั้งที่หากเป็นบริษัทอื่นก็คงเดินไปพูดให้จบๆ ได้ในไม่กี่นาที
- การควบคุมอารมณ์: สิ่งหนึ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยากเมื่อทำงานกับครอบครัว คือการแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกัน ทำให้การพูดคุยด้วยเหตุผล โดยไม่ใช่อารมณ์เป็นเรื่องยาก หากความขัดแย้งไม่มีทางแก้ไข ก็อาจส่งผลต่อธุรกิจได้
กลับมาที่ฝั่งงานประจำ ปัญหาที่มักเกิดขึ้นในธุรกิจครอบครัวกลายเป็นเรื่องเบาไปเลย เพราะอย่างน้อยเราก็เลือกได้ว่าจะอยู่ในสังคมการทำงานแบบไหน ถ้าไม่ชอบก็เปลี่ยนที่ได้เลย นอกจากนี้ด้วยตลาดงานที่กว้างใหญ่ ก็ทำให้เรามีโอกาสเจองานที่ชอบ ตำแหน่งที่ตรงใจได้ดีกว่า แถมยังช่วยการันตีความมั่นคงด้วย เพราะเราจะได้รับผิดชอบงานตามที่ได้รับมอบหมาย ในช่วงเวลาที่กำหนด และได้รับเงินเดือนตามที่ตกลงกันไว้ทุกๆ เดือน ที่สำคัญที่ทำให้หลายคนลังเล คือสังคมที่ได้จากการทำงานประจำ ที่เปิดโอกาสโอกาสให้เรารู้จักคนใหม่ๆ เชื่อมต่อกับคนได้ง่ายขึ้น ทั้งเพื่อนร่วมงานและผู้เชี่ยวชาญในแวดวงที่เราสนใจ ซึ่งช่วยให้เราเติบโตขึ้นในสายงานที่เรารัก
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ต้องแลกเมื่อเลือกทำงานประจำ คือความไม่แน่นอนเนื่องจากเราก็เป็นเพียงพนักงานตัวเล็กๆ คนหนึ่งในองค์กร หากเกิดวิกฤติขึ้นมา ก็คงเป็นพนักงานตัวจ้อยที่ต้องออกไปก่อนเพื่อน เพื่อลดค่าใช้จ่ายในบริษัท จากรายงานของ The Challenger บริษัทที่ปรึกษาด้านอาชีพ ระบุว่าเดือนมกราคมปี 2023 นายจ้างในสหรัฐฯ ประกาศเลิกจ้างพนักงาน 82,307 คน ถือว่าสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2009 จากสถานการณ์นี้ก็บีบให้พนักงานต้องทุ่มเทกับการทำงาน การแข่งขันที่สูงขึ้นยิ่งทำให้รู้สึกกดดันตัวเองให้พัฒนาตัวเองอยู่ตลอด นอกจากนี้ยังต้องเจอกับเรื่องน่าปวดหัวในที่ทำงาน ไม่ว่าจะเป็นเนื้องาน หัวหน้า หรือเพื่อนร่วมงานที่เราไม่สามารถควบคุมหรือเปลี่ยนโครงสร้างได้ แม้เราจะเลือกงานที่ชอบ แต่สภาพแวดล้อมที่เลือกไม่ได้ก็อาจทำให้เราต้องโบกมือบ้ายบายอยู่ดี
มีอะไรที่เราต้องรู้ก่อนตัดสินใจเลือกบ้างนะ
การเลือกงานถือเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญ เพราะนอกจากเราใช้เวลาถึง 1 ใน 3 ของชีวิตไปกับการทำงานแล้ว หลายครั้งงานก็ช่วยเติมเต็มคุณค่าให้เรามีแรงสู้ต่อไปด้วยเช่นกัน
แองเจลา โฮเวิร์ด (Angela Howard) นักจิตวิทยาองค์กรในชิคาโก อธิบายว่าในทางจิตวิทยา มนุษย์ชอบเชื่อมโยงกับจุดมุ่งหมายที่ยิ่งใหญ่กว่า โดยเฉพาะการผูกตัวตนกับงานที่ทำอยู่ หลายครั้งเราจึงเลือกงานที่ตรงกับเป้าหมายในชีวิตของตัวเอง เช่น หากให้ความสำคัญกับความสุข เราก็อาจเลือกงานที่ยืดหยุ่น สามารถแบ่งเวลาไปใช้ชีวิตส่วนตัว มากกว่างานที่เรียกร้องให้เราต้องทุ่มเททำงานหนักเพื่อประสบความสำเร็จ หรือหากให้ความสำคัญกับความเชี่ยวชาญ เราก็อาจพอใจกับงานที่ท้าทายและพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดก็ได้ ตรงกันข้ามถ้าเกิดว่างานที่เราทำดันขัดแย้งกับเป้าหมาย สุดท้ายก็อาจทำให้รู้สึกหมดกำลังใจ และหมดไฟในที่สุด
ดังนั้นไม่ว่าจะเลือกทางไหนคงไม่มีใครตอบได้ดีเท่ากับตัวเอง The fbcg บริษัทให้คำปรึกษาเกี่ยวกับธุรจกิจครอบครัว แนะนำให้คนที่อยู่ระหว่างการตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นการรับช่วงต่อจากธุรกิจครอบครัว หรืองานประจำของตัวเอง ถามตัวเองด้วยคำถามต่อไปนี้ เพื่อช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้น เช่น
- อะไรคือสิ่งที่เราสนใจมากที่สุด ไม่ใช่แค่เรื่องงาน แต่รวมถึงสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นจริงๆ
- ช่วงเวลาไหนที่รู้สึกว่าตัวเองทำได้ดีที่สุด? หรืออะไรที่รู้สึกภาคภูมิใจมากที่สุด?
- ช่วงเวลาที่รู้สึกแย่ที่สุดคือช่วงไหน? ข้อนี้หากคำตอบของคือการต้องใช้เวลานานๆ กับครอบครัวหรือการต้องเข้าไปในที่ทำงานของครอบครัว ก็อาจเป็นสัญญาณว่าธุรกิจครอบครัวไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเท่าไหร่
- ชีวิตนี้นิยาม ‘ความสำเร็จ’ สำหรับตัวเองอย่างไร?
- ถ้าสามารถทำอะไรก็ได้ในโลกนี้โดยไม่มีข้อจำกัดจะเลือกทำอะไร?
- หากทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน จะรับมือกับผลกระทบต่อความสัมพันธ์ในครอบครัวได้อย่างไร?
- อะไรคือเหตุผลที่แท้จริงที่อยากเข้าร่วมธุรกิจครอบครัว?
จากนั้นลองสังเกตดูว่าคำตอบของ หากในเห็นภาพตัวเองมีความสุขกับทางเลือกไหนมากที่สุด ทางเลือกนั้นอาจเป็นคำตอบที่เหมาะกับเราในเวลานี้ก็ได้
ท้ายที่สุดอาจไม่มีคำตอบที่ถูกต้องเสมอไป อย่างน้อยก็ช่วยให้เราได้รู้จักตัวเองมากขึ้นว่าสิ่งสำคัญในชีวิตของตัวเองคืออะไร แม้จะไม่เป็นอย่างที่หวัง แต่ก็อย่าลืมภูมิใจตัวเองที่ได้เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเองแล้วนะ
อ้างอิงจาก