เคยมีคำกล่าวว่า ขอเป็นตัวเราที่ดีขึ้น เก่งขึ้นกว่าตัวเราในเมื่อวาน
ในภาพรวม ถ้าเรามองว่าตัวเราอาจพัฒนาขึ้นครั้งละเล็กละน้อย โดยที่เราไม่ต้องกดดันในการฝึกฝนหรือปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นอย่างมากมาย ในระดับที่เราไม่กดดันตัวเองมากนัก ก็เป็นเรื่องที่ดี แนวคิดเรื่องการพัฒนาตัวเอง หรือการก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ได้มีปัญหาอะไรในตัวเอง
ทว่า ด้วยกรอบความคิดแบบโลกสมัยใหม่ คือเรามองเส้นเวลาในชีวิตของเราเป็นเส้นตรง เป็นเหมือนกราฟที่ขยับไปข้างหน้าตามอายุที่มากขึ้นเรื่อยๆ แน่นอน เวลาที่มีเหลือน้อยลงเรื่อยๆ มุมมองต่อโลกแบบเป็นเส้นตรง และมองว่าเส้นตรงนั้นๆ ควรจะต้องยกหัวขึ้นไปเรื่อยๆ
เราต้องมีความมั่นคงในชีวิตที่มากขึ้น มีรายได้ที่มากขึ้น มีความสามารถที่ดีขึ้น เพิ่มพูนขึ้น และเราเอง มองตัวเองในอนาคต โดยเปรียบเทียบกับตัวเราเองในเมื่อวาน ท้ายที่สุด บางครั้งเมื่อเราผ่านเวลาที่ยาวนานมากขึ้นจริงๆ การที่เราไล่ตามตัวเองที่ดีกว่าอยู่เสมอ พอถึงจุดหนึ่ง ความรู้สึก ‘อยากดีขึ้น’ ที่มาขับเคลื่อนเราอยู่ อาจไม่ใช่คำตอบเดียวในการใช้ชีวิต และการเฆี่ยนตีตัวเองเสมอ ก็อาจไม่ใช่วิธีการใช้ชีวิตที่ดีนัก
บางความรู้สึกเราอาจจะพบว่า มุมมองหรือตัวตนของเราในวันนี้เปลี่ยนแปลงไปจากช่วงเวลาก่อนหน้า แต่เราก็อาจไม่จำเป็นต้องเก่งกาจหรือฉลาดเฉลียวจนแตกต่างตากตัวเราในหลายวัน หลายเดือนหรือหลายปีก่อน เราอาจไม่จำเป็นต้องมีความรู้สึกว่า เราต้องมองเห็นข้อเสียและมุ่งมั่นแก้ข้อเสีย หรือมีรายชื่อสิ่งที่เราควรเป็นที่ยาวเป็นหางว่าวอีกต่อไป
พัฒนาตน หรือทุบทำลายตน
ประเด็นเรื่องการพัฒนาตัวเอง มีหลายข้อคิดเห็นว่า การพัฒนาตัวเองหลายครั้งนำมาสู่การทุบทำลายตน(Self sabotage) เรื่องการพัฒนาตัวเองถือว่าเป็นอีกปรัชญาการมองโลกและการใช้ชีวิตที่ค่อนข้างซับซ้อน และอันท่ีจริง เป็นความพยายามในการวัด กะเกณฑ์สิ่งที่เป็นนามธรรมและจับต้องได้ยาก ทั้งแนวคิดเรื่องชีวิต- เวลา และ ตัวตน
หมายความว่า แนวคิดเรื่องการพัฒนาตัวเอง เป็นความพยายามประเมินค่าความหมายในตัวตนของเรา เราอยู่ตรงไหน มีศักยภาพแค่ไหน และเป็นการตีความชีวิตที่แสนวกวน รวมถึงตัวตนของเราด้วยกรอบที่เรียบง่ายขึ้น คืออาจเป็นการใส่รายชื่อความสามารถ หรือวางหมุดหมายอย่างเรียบง่าย รวมถึงการลากเส้นตรงของชีวิตที่ยุ่งเหยิง เข้าสู่เส้นเวลาและกราฟที่เป็นเส้นตรง
ถ้าเราอธิบายด้วยกรอบความคิด คือเรากำลังมองเวลาและตัวตนของเราด้วยวิธีแบบสมัยใหม่ มองว่าเรากำลังเติบโตไปข้างหน้า รุดไปข้างหน้าเหมือนเวลาที่เดินไปข้างหน้า ทว่า ตัวตนของเราอาจไม่ได้เติบโตเป็นเส้นตรง ตัวตนของเรา มุมมองของเราอาจแผ่กิ่งก้านสาขา มีความเปลี่ยนแปลง มีการสูญหาย โยนทิ้ง งอกขึ้นใหม่เหมือนกับต้นไม้ที่ทั้งมีบาดแผลและเติบโตเยียวยาตัวเอง
ปัญหาของการพัฒนาตัวเอง ส่วนใหญ่เป็นมุมมองจากนักจิตวิเคราะห์ ซึ่งอันที่จริง พื้นฐานของจิตใจอันซับซ้อนของเรา มักมี ‘ตัวตนอันสัมบูรณ์(ideal-self)’ สถิตอยู่ที่ไหนซักแห่งอยู่เสมอ แต่ความน่าปวดหัวของตัวตนและจิตใจของเราคือ ตัวตนที่สมบูรณ์ของเรา ไม่เคยอยู่กับเราในปัจจุบัน ตัวตนที่ดีที่สุด มักเป็นตัวตนของเราในวันอื่น ไม่อยู่ในอดีตก็เป็นตัวเราในอนาคต
เราอาจมองว่าเราเคยแข็งขันที่สุด ช่วงเวลาเฉิดฉายของเรา เป็นสิ่งที่เรา ‘เคยเป็น’ อีกทีเราก็มองว่า ตัวตนของเราที่มีศักยภาพ ดำรงอยู่ในอนาคต ในวันที่เราได้เรียนรู้ ได้อ่านหนังสือตามที่วางไว้ ได้ทำงาน เดินทางท่องเที่ยว เป็นภาพที่เราไขว่คว้า ติดตามอยู่เสมอ
เส้นทางของการแก้ไข และการอยากจะดีขึ้น
การอยากจะเติบโต การจะไขว่คว้าตัวตนที่เรามีในอนาคต อาจนำมาซึ่งความเจ็บปวด ในบางความคิด การอยากจะเก่งขึ้นหรือดีขึ้น อาจสัมพันธ์กับการมองชีวิตในฐานะเส้นทางของการแก้ไข (redemption) คำว่าแก้ไขคือการที่เรามองว่า ปัจจุบันของเราประกอบขึ้นจากการที่เรามีปัญหา หรือข้อขาดพร่องต่างๆ เรามีหน้าที่แก้ไขตนเองจากข้อผิดพลาดนั้นๆ
เป็นการใช้ชีวิตโดยที่เรามีความผิดพลาด
และการแก้ไขความผิดพลาดเป็นศูนย์กลาง
ในหนังสือชื่อ On Getting Better ของ อดัม ฟิลลิปส์ (Adam Phillips) นักจิตวิเคราะห์ ชื่อของหนังสือเอง ถ้าใคร่ครวญให้ดี ถือว่ามีนัยที่เรากลับมาทบทวนการมองชีวิตของเราได้ เราอยากจะดีขึ้น เป็นเรื่องธรรมดา และตัวของอดัมเองก็ชี้ว่า ความอยากจะดีขึ้นของเราเป็นแรงผลักดันในการใช้ชีวิตโดยพื้นฐาน เราจินตนาการการใช้ชีวิตที่มองอนาคตแล้ว ‘เราไม่ดีขึ้น ไม่มีการพัฒนา’ ไม่ได้ ถ้าพูดแบบนี้แล้วเราคิดว่า ความคิดแบบที่ว่าพรุ่งนี้ก็เหมือนเดิม สิบปีก็เท่าเดิม เราย่อมมองว่าเป็นชีวิตที่ไร้ค่า
แต่คำว่า การ ‘ดีขึ้น’ ที่ว่า ในมุมมองทางการแพทย์ มันคือการเยียวยาให้หาย และการเยียวยาหรือรักษาให้หาย (getting better) คือการที่เราหายจากการป่วยไข้ แขนขาของเราหายจากความเสียหาย เรามีปลายทาง มีความรู้สึก ความเข้าที่ชัดเจนว่าเราหายแล้ว เราดีขึ้นแล้ว
ทางกลับกัน การใช้ชีวิตที่เรามองตัวเองในวันพรุ่งนี้ เราไม่มีวันที่จะไปถึงความรู้สึกที่เราจะบอกว่า วันนี้เราดีขึ้นแล้ว ตัวตนอันเยี่ยมยอดที่พร่าเลือนนั้น อาจเป็นตัวตนที่สุดท้าย แม้แต่เมื่อเรามองตัวตนในวันสุดท้าย ตัวตนที่เราจะบอกว่าวันนี้เราดีแแล้วนั้น ยังคงอยู่ในวันพรุ่งนี้ซึ่งไม่มีอยู่จริงอีกต่อไป
ปัญหาของการอยากดีขึ้นในวันพรุ่งนี้ อดัม ฟิลลิปส์จึงนิยามว่ามันอาจกลับมาทำลายตัวเราก็ได้ เป็นการทำลายตัวเราจากการ ‘รู้มากจนเกินไป’ และรู้หรือสนใจอนาคตที่มากเกิน (too knowing of the future)
ข้อสังเกตที่คมคาย คือการที่เรารู้อนาคตหรือหวั่นเกรงต่ออนาคต ซึ่งนำมาสู่การพัฒนาตัวเองอย่างไม่รู้จบ ส่วนหนึ่งคือการตีความอดีต และคาดหวังว่าการเตรียมตัวนั้นจะเป็นการรับมือกับอนาคต ซึ่งแท้จริงแล้ว อนาคตคือความไม่รู้โดยแท้ คือเราไม่มีวันรู้อะไรเลยในอนาคต แต่เราคาดหวังว่าตัวตนที่ขึ้น จะนำไปสู่อนาคตที่ดีกว่าเดิม
โอเค ตรงนี้ผู้เขียนเป็นมุมมองเชิงจิตวิเคราะห์และค่อนไปทางปรัชญา คือในที่สุดแกชี้ว่าไอ้ระบบกฎเกณฑ์ การที่เราวางแผนต่างๆ ทำตัวเองให้เป็นระเบียบ พัฒนาตัวเองอย่างสม่ำเสมอ ในรูปในรอย แท้จริงแล้ว สิ่งที่เรามองไว้ว่าเป็นเป้าหมายของชีวิต ไอ้การที่เราคิดว่าเรารู้ว่าเราต้องการอะไร ในทางจิตวิเคราะห์ เราอาจไม่รุ้เลยก็ได้ว่าเราต้องการอะไรกันแน่
และชีวิตหรืออนาคต ก็จะไม่ใช่สิ่งที่จะเป็นภาพจำลองจากอดีต ไม่ใช่สิ่งที่เราคาดได้ว่า ชีวิตจะนำพาอะไรมาสู่เรา ดังนั้น ภาพทั้งตัวตนของเราที่ดีขึ้น อนาคตที่เราคาดไว้ มันอาจไม่มีอะไรที่เป็นรูปธรรมโดยแท้จริง และที่สำคัญคือ คำว่าการพัฒนาตัวเอง
ข้อเสนอที่ซับซ้อนหน่อย คือ การที่เรามองว่า เราทำตัวเองให้เก่งขึ้นดีขึ้น เรามองว่าเรากำลังก้าวไปสู่ชีวิตหรืออนาคตที่เรารู้สึกมั่นคงปลอดภัย ซึ่งอาจเป็นวิถีชีวิตที่เรามองเห็นได้ จับต้องได้ เรามีสิ่งที่เราจะทำ มีรายชื่อการเติบโตของเรา และเรามีแนวโน้มจะรู้สึกว่า ชีวิตเราจะปลอดภัย ถ้าเราพัฒนาและไล่ตามตัวเองในวันพรุ่งนี้
ซึ่งอาจไม่จริงก็ได้ ชีวิตของเราไม่มีวันแน่นอน และข้อสังเกตสำคัญคือ การพัฒนาตัวเอง หรือการอยากจะดีขึ้น ไม่ควรผูกติดกับความรู้สึกว่า เราจะการันตีว่าชีวิตของเราจะแน่นอนปลอดภัย แต่คือการเปิดมุมมองและโอกาสต่อความเสี่ยงที่ขยายแง่มุม และรับความเสี่ยงได้มากขึ้น ไปสู่ความเสี่ยงในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
อดัม ฟิลลิปส์บอกว่า เราไม่ได้เรียนรู้อะไรจากอดีต อดีตไม่ได้สอนอะไรใหม่กับเรา การเรียนรู้จากประสบการณ์ คือการเรียนรู้จากสิ่งที่ประสบการณ์ของเราไม่ได้สอน (Learning from experience means learning what your experience can’t teach you)
ฟังแล้วรู้สึกว่าวกวน แต่ข้อเขียนทั้งหมดค่อนข้างว่าด้วยการที่เรามองการพัฒนาตัวเอง มองการวางเป้าหมาย และมองตัวตนของเรา ในมุมที่แน่นิ่ง ตายตัว ทั้งอนาคตและตัวตน และในที่สุด เมื่อเราพยายามวางกรอบให้มัน ในที่สุดแล้ว ธรรมชาติของสิ่งที่เราพยายามกำกับมันในกรอบ กลับเต็มไปด้วยความไร้ระเบียบ และกรอบที่เราวางไว้ อาจไม่นำไปสู่อะไรอย่างที่เราคาดหวัง
สุดท้าย ข้อเขียนทั้งหมด อาจเป็นอีกมุมมอง ที่พยายามชี้ให้เห็นอีกแง่มุมของการใช้ชีวิต แน่นอนว่าการที่เราพยายามจัดการชีวิตให้มีระบบ มีระเบียบ มีเส้นทาง มีเป้าหมาย เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง แต่อนาคตที่ไร้ทิศทาง เต็มไปด้วยความน่าประหลาดใจ และการเตรียมใจรับมือกับความไม่คาดหวัง ก็อาจเป็นอีกเงื่อนไขสำคัญ ของคำว่าการเป็นตัวเราที่ดีขึ้น ที่อาจจะยืดหยุ่นขึ้น มองเห็นตัวเองในทุกวันนี้ และพร้อมกับสิ่งใหม่ๆ ที่อาจอยู่นอกจินตนาการของเรา
ในที่สุดคำว่าตัวตนของเราดีขึ้น หรือเปลี่ยนไป อาจเกิดขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว และเราเองก็ไม่ทันมองเห็น หรือไปกำกับกะเกณฑ์ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
อ้างอิงจาก