คนดูแลก็เหนื่อยเหมือนกันนะเข้าใจบ้างไหม
หากใครไม่ได้ดูแลคนป่วยด้วยตัวเอง ก็อาจจะนึกภาพได้ยากว่าหน้าที่นี้ต้องแบกรับความรู้สึกกดดันไว้มากขนาดไหน แต่สำหรับคนที่ผ่านประสบการณ์ดูแลผู้ป่วยมาก่อน น่าจะเข้าใจดีว่าหน้าที่นี้ดูดกลืนพลังงานได้มากกว่าที่คิด โดยเฉพาะเมื่อผู้ป่วยเป็นคนในครอบครัว หลายคนยิ่งรู้สึกว่าต้องทุ่มเทแรงกาย แรงใจ เสียสละทั้งเงินและเวลาเพื่อจะดูแลพวกเขาให้ดีสุด แต่ถึงจะเตรียมตัวเตรียมใจไว้ดีแค่ไหน ก็ใช่ว่าการดูแลผู้ป่วยจะราบรื่นเสมอไป
เพราะการดูแลไม่ได้หมายถึงการจัดแจงแต่งตัว อาบน้ำ ป้อนข้าวผู้ป่วยเพียงอย่างเดียว แต่บางครั้งยังอาจต้องพ่วงมากับภาระอื่นๆ ไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นงานบ้าน เรื่องเงิน หรือเป็นธุระพาไปโรงพยาบาลอีก เหนื่อยกายยังไม่เท่าไหร่ แต่เหนื่อยใจอาจยากเกินทนไหว เพราะคนดูแลต้องเสี่ยงกับสุขภาพใจที่ย่ำแย่ขึ้นทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นความสิ้นหวัง การรองรับอารมณ์ของผู้ป่วยในภาวะที่ไม่มั่นคง และสุดท้ายยังต้องเป็นตัวแบกรับความคาดหวังจากคนรอบข้าง จนตัวตนของตัวเองเริ่มหายไปทีละน้อย
เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าใจความรู้สึกของคนดูแล วันนี้เราเลยอยากชวนทุกคนรู้จักกับ caregiver burnout หรือภาวะการหมดไฟในฐานะผู้ดูแล พร้อมไปดูจะมีวิธีไหนรับมือกับสถานการณ์นี้ได้บ้าง

คนดูแลก็เหนื่อยล้าได้เหมือนกัน
ใช่ว่าคนดูแลจะสามารถรับมือกับผู้ป่วยได้ดีเหมือนกันทุกคน โดยเฉพาะคนดูแลผู้ป่วยที่ไม่ได้ศึกษามาด้านนี้โดยตรง อย่างคนในครอบครัว เช่น ลูกหลาน หรือคู่ชีวิตอาจต้องเผชิญกับความยากลำบากได้มากกว่าคนดูแลทั่วไป เพราะนอกจากจะไม่ได้รับค่าจ้างอย่างจริงจังแล้ว ความใกล้ชิดกับผู้ป่วยยังมีส่วนทำให้เกิดความเครียดได้มากขึ้นด้วย
แน่นอนว่าการเป็นครอบครัว จะทำให้เราต้องคอยดูแลกันและกัน แต่พอเป็นเรื่องของการเจ็บป่วย การดูแลอีกฝ่ายกลับไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด นอกจากการดูแลด้านร่างกายแล้ว ยังต้องพร้อมรับมือกับอารมณ์และอาการที่ไม่มั่นคงของผู้ป่วยด้วย จึงส่งผลต่อร่างกายและจิตใจของผู้ดูแลอย่างเลี่ยงไม่ได้
ข้อมูลจาก Family Caregiver Alliance หน่วยงานช่วยเหลือครอบครัวที่ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลผู้ป่วยที่บ้าน ชี้ว่าการดูแลผู้ป่วยส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตและสุขภาพร่างกายของผู้ดูแลอย่างรุนแรง โดย 17% ของผู้ดูแลรู้สึกว่าสุขภาพโดยทั่วไปของพวกเขาแย่ลง นอกจากนี้ ราว 40 – 70% ยังพบว่าพวกเขามีอาการซึมเศร้าจากการดูแลผู้ป่วยด้วย
จะเห็นว่าเกินครึ่งของผู้ดูแลมักเผชิญกับปัญหาสุขภาพจิต คำถามต่อมาคืออะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ดูแลเหล่านี้ต้องเจอกับปัญหาเหล่านี้กันนะ? มีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Archives of Gerontology and Geriatrics วารสารด้านสุขภาพ ศึกษาเกี่ยวกับภาระจากการดูแล (caregiver burden) พบว่าสาเหตุที่ส่งผลต่อจิตใจของผู้ดูแลหลักๆ เลยคือ จำนวนชั่วโมงที่พวกเขาต้องดูแล การสนับสนุนทั้งทางอารมณ์ รวมถึงภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ

ลองนึกดูว่าหากผู้ดูแลต้องดูแลผู้ป่วยด้วยตัวคนเดียว ตลอดทั้งวันโดยไม่มีคนที่คอยรับฟังปัญหา หรือคอยสับเปลี่ยนดูแลเพื่อให้พวกเขาได้พักผ่อนเลย ก็เป็นไปได้ว่าอาจทำให้พวกเขารู้สึกเหนื่อยล้า และส่งผลต่อสุขภาพใจได้ เพราะอย่าลืมว่าการดูแลผู้ป่วยก็ถือเป็นงานที่หนักหนาอีกงานหนึ่งเหมือนกันนะ
ไม่เพียงแต่ภาระหน้าที่ของการดูแลเท่านั้น แต่บทบาทที่ซ้อนทับกันระหว่างผู้ดูแลและคนในครอบครัว ก็อาจยิ่งทำให้สถานการณ์นี้เลวร้ายลงไปอีก จากที่เคยเป็นแค่ลูกหลาน หรือสามีภรรยา แต่จู่ๆ วันหนึ่ง เรากลับต้องกลายเป็นผู้ดูแลคนใกล้ชิดแบบปุบปับ อาจทำให้รู้สึกสับสนและรับมือกับสถานการณ์นี้ไม่ถูก จนทำให้รู้สึกเครียดได้
นอกจากนี้คนดูแล ยังอาจต้องเจอกับความคาดหวังหลากหลายรูปแบบที่ไม่สามารถควบคุมได้ เพราะแม้จะเชื่อว่าตัวเองดูแลผู้ป่วยได้อย่างดี แต่ก็ไม่สามารถการันตีได้เลยว่าสุดท้ายอีกฝ่ายจะหายดีในเร็ววัน ซ้ำยังอาการยังอาจทรุดลงได้ทุกเมื่อ ทั้งยังต้องแบกรับความคาดหวังจากคนนอกที่ไม่เข้าใจความหนักหนาที่เราเผชิญอยู่ ทั้งหมดนี้ล้วนแต่ทำให้นำไปสู่ความเครียด และความเหนื่อยล้าจากการแบกรับอารมณ์เชิงลบหลายด้าน ทั้งความโกรธ ความกังวล ความรู้สึกผิด และความโดดเดี่ยวที่ปะทุอยู่ในใจ จนสุดท้ายนำไปสู่ภาวะ caregiver burnout ในที่สุด
ดังนั้นนอกจากผู้ป่วยแล้ว การให้ความสำคัญกับผู้ดูแลก็เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กัน เพื่อไม่ให้เหล่าผู้ดูแลต้องกลายเป็นผู้ป่วยเสียเอง
เมื่อคนดูแลต้องเยียวยาใจให้ตัวเอง
คนดูแลผู้ป่วยนอกจากต้องแบกรับความกดดันอันหนักอึ้งแล้ว ขณะเดียวกันก็ยังเป็นคนเสียสละความสุขหลายอย่างในชีวิตไปด้วย เราอาจต้องสละทั้งงาน ความฝัน หรือความสัมพันธ์ที่เคยมีลงไป และแม้จะเป็นเรื่องยากที่เราต้องทิ้งหลายอย่างไว้ข้างหลัง แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังจำเป็นต้องหันกลับมาดูแลตัวเองบ้างเหมือนกันนะ เพราะเราก็เป็นคนสำคัญของตัวเองเหมือนกันนี่นา
หลายคนอาจคิดว่าการดูแลผู้อื่นหมายถึงการยกความต้องการของอีกฝ่ายให้เป็นที่หนึ่ง แล้วเก็บความต้องการส่วนตัวของตัวเองไว้เป็นลำดับท้ายๆ ผู้ดูแลหลายคนจึงมักไม่กล้ามีความสุขให้คนอื่นเห็น เพราะอาจหมายถึงว่าเรากำลังบกพร่องในหน้าที่ของตัวเอง
แต่อันที่จริงแล้ว การดูแลผู้อื่นไม่ได้หมายความว่าต้องเก็บกดความรู้สึกของตัวเองเสมอไป เพราะการทำให้คนอื่นมีความสุข มักเริ่มต้นจากตัวเองที่ต้องมีพึงพอใจก่อนเสมอ เพื่อให้เราเผื่อแผ่กำลังใจนี้ไปให้ผู้ป่วยได้
ดังนั้น หากเรารู้สึกเหนื่อยล้าจากการดูแล หรือประสบกับภาวะ caregiver burnout อย่าลืมหันกลับมาดูแลตัวเองก่อนเสมอนะ โดย HelpGuide องค์กรที่ให้บริการข้อมูลด้านสุขภาพจิต ก็ได้ให้คำแนะนำสำหรับคนที่กำลังรู้สึกท่วมท้นจากภาระการดูแลผู้ป่วย เพื่อเรานำไปปรับใช้ ดังนี้
สร้างความหวังให้ตัวเอง: เมื่อเรารู้สึกหมดไฟจากการดูแลผู้ป่วย ความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้นในใจ มักเป็นความรู้สึกสิ้นหวัง และไร้พลังที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องทำให้ตัวเองกลับมามีความหวังอีกครั้ง ซึ่งสามารถทำได้หลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นปล่อยวางสิ่งที่ตัวเองควบคุมไม่ได้ แล้วกลับมาจัดระเบียบชีวิตตัวเอง เพื่อให้รู้สึกว่ายังมีบางอย่างที่เราก็สามารถทำได้เหมือนกัน นอกจากนี้อย่าลืมเตือนตัวเองเสมอว่าสิ่งที่เราทำมีคุณค่า ถึงแม้จะไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายหายป่วยทันที แต่อย่างน้อยก็ช่วยให้เขารู้สึกปลอดภัยที่มีเราอยู่ข้างๆ นะ

รับรู้ถึงคุณค่าตัวเอง: การดูแลผู้ป่วยหรือผู้สูงอายุมักกินเวลาหลายเดือนหรือหลายปี มีความเป็นไปได้สูงว่าความพยายามของเราอาจไม่เป็นผลสำเร็จเสมอไป จึงทำให้รู้สึกหมดหวังหรือท้อแท้ได้ง่าย แต่ก็ไม่ได้แปลว่าสิ่งที่เราทำอยู่เป็นเรื่องเสียเวลานะ เพราะการทำเพื่อคนอื่นคือสิ่งที่มีคุณค่าในตัวเองอยู่แล้ว แม้จะไม่ได้ยินคำขอบคุณจากคนรอบข้างก็ไม่เป็นไร แต่เราอาจเตือนใจตัวเองเสมอได้ เช่น ชื่นชมความพยายามของตัวเองบ้าง เพราะหากไม่มีเราทุกอย่างคงยากลำบากกว่านี้แน่ๆ หรือลองพูดคุยกับคนที่เข้าใจเรา เพื่อให้คนรอบข้างช่วยยืนยันว่าสิ่งที่เราทำมีความหมายสำหรับใครบางคนเช่นกัน
ขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง: การแบกทุกอย่างไว้คนเดียว มักเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เรา ในฐานะผู้ดูแลรู้สึกหมดไฟได้ การรับผิดชอบผู้ป่วยเป็นเรื่องสำคัญก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าเราต้องทำเองคนเดียวทั้งหมดนี่นา เราเองก็มีสิทธิพึ่งพาและขอร้องให้คนอื่นช่วยด้วยเหมือนกันนะ ไม่ว่าจะเป็นการไหว้วาน ขอให้ญาติช่วยทำธุระ หรือจ้างคนดูแลชั่วคราวมาช่วยบ้าง กระจายงานให้คนในบ้านมีส่วนรับผิดชอบบ้างตามความเหมาะสม และสุดท้าย แม้จะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เปิดใจพูดสิ่งที่เราต้องการให้ชัดเจนก็เป็นสิ่งสำคัญที่เราควรทำ เพื่อให้คนอื่นๆ เข้าใจมุมมองของเรา และเข้ามาช่วยเหลือได้อย่างที่เราต้องการ
ปล่อยให้ตัวเองได้หยุดพักและดูแลตัวเอง: สุดท้ายต่อให้เราดูแลคนอื่นดีแค่ไหน แต่สิ่งที่ห้ามละเลยเด็ดขาดก็คือการให้เวลาตัวเองได้พักผ่อนนะ เพราะจะช่วยให้เรารักษาความสัมพันธ์กับคนรอบข้างได้ดีขึ้น รวมถึงเป็นการรักษาขอบเขตและตัวตนของตัวเองไม่ให้หายไปกับบทบาทการดูแลเพียงอย่างเดียว เราเองก็ควรได้ทำสิ่งที่รัก เช่น อ่านหนังสือ ทำอาหาร ดูหนังตลก หรือหัวเราะได้อย่างเต็มเสียงเช่นกัน รวมไปถึงการดูแลร่างกายตัวเอง อย่างการนอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มอิ่ม ได้ทานอาหารอร่อยๆ โดยไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดเลย
เพราะสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการดูแลคนอื่น ก็คือการดูแลตัวเอง การยอมรับความรู้สึกด้านลบของตัวเอง ไม่ได้เป็นความเห็นแก่ตัว แต่เป็นประตูที่ทำให้เราได้เยียวยาใจตัวเองไม่ให้รู้สึกเหนื่อยล้าจนเกินไปนะ
อ้างอิงจาก