จากที่เคยฝันว่าอยากทำงานที่ชอบ แต่ตอนนี้จะเป็นงานอะไรก็ได้ ขอแค่ได้เงินก็พอแล้ว
ตอนเด็กๆ เราอาจเคยโดนถามทำนองว่าโตขึ้นอยากทำงานอะไรอยู่บ่อยๆ ราวกับว่างานในฝันเป็นเป้าหมายเดียวที่เราต้องไขว่คว้ามาให้ได้ ที่ผ่านมาเราจึงถูกพร่ำสอนให้ขยัน อดทน ไต่เต้าขึ้นมาเป็นเจ้าคนนายคน มีเงินเดือนสูงๆ ทางเดินแบบนี้เท่านั้นจึงจะถือว่าเป็นชีวิตที่สมบูรณ์แบบ
แต่ความจริง งานที่ฝันก็ใช่ว่าจะหาเจอได้ง่ายๆ ในเมื่อทุกวันนี้ตำแหน่งงานว่างเหลือน้อยลงเต็มที แถมความทุ่มเทในวันนี้ไม่ได้การันตีว่าค่าตอบแทนจะคุ้มค่าเสมอไป จึงไม่แปลกเลยที่หลายคนจะเปลี่ยนจากงานที่มีคุณค่าทางใจมาเลือกทำงานธรรมดาๆ ขอแค่ได้เลิกงานตรงเวลา ไม่ต้องแบกงานกลับมาทำที่บ้าน มีเวลาว่างไปทำสิ่งที่ชอบก็พอใจแล้ว
ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่งานในฝันไม่น่าดึงดูดใจเราอีกต่อไป วันนี้เราชวนมาดูเหตุผลที่คนรุ่นใหม่ไม่เลือกงานในฝัน แล้วหันไปหางานที่เรียบง่ายแทน

เหตุผลที่คนเลือกงานเรียบง่าย มากกว่าความฝัน
ใครบางคนเคยเปรียบเทียบการหางานไว้ว่าเหมือนกับเหมือนกับการเลือกคู่ เราต้องคิดให้รอบคอบ นอกจากความชอบพอกันแล้ว ยังอาจต้องกลับมาดูด้วยว่าอีกฝ่ายเข้ากับเราได้มากแค่ไหน
เมื่อการเลือกงานไม่ต่างจากการเลือกคู่เดต แม้จะอยากเลือกงานในฝันมากแค่ไหน แต่ก็อาจต้องพิจารณาองค์ประกอบอื่นๆ เข้าไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าตอบแทน เวลา หรือโอกาสในความก้าวหน้า เมื่อเร็วๆ นี้จึงมีคำศัพท์ที่ใช้ในการเลือกงาน คือคำว่า ‘Shrekking’ จาก Fast Company สื่อด้านธุรกิจจากอเมริกา หมายถึงการเลือกงานที่ต่ำกว่ามาตรฐานของตัวเอง
คำว่า Shrekking มาจากตัวละครยักษ์ตัวเขียวที่ใครหลายคนคุ้นเคยจากอนิเมชันเรื่อง Shrek ว่าด้วยเรื่องราวของยักษ์ตนหนึ่งที่แม้รูปไม่งาม ทว่าจิตใจดี จนเจ้าหญิงฟิโอน่าผู้งดงาม เลือกตกลงปลงใจด้วย เดิมทีคำนี้มักใช้กับการเลือกคู่เดต เพื่ออธิบายการเลือกคบคนที่ไม่ตรงกับความชอบของตัวเอง (ส่วนใหญ่มักหมายถึงรูปร่างหน้าตาภายนอก) เพื่อหวังให้อีกฝ่ายปฏิบัติกับตัวเองดุจดั่งเจ้าหญิง เพราะเชื่อว่าตัวเองมีแต้มต่อมากกว่านั่นเอง
ต่อมาคำนี้ถูกขยายให้กว้างขึ้นมาถึงบริบทการทำงานด้วย Sherkking ในที่นี้จึงถูกนิยามไว้ว่าเป็นการเลือกงานที่ดูธรรมดา จืดชืด หรือไม่โดดเด่นนัก หรืออาจต่ำกว่าความสามารถของตัวเอง เพื่อหวังสิ่งตอบแทนที่ดีกว่าแทน เช่น เงินเดือนดีกว่า สวัสดิการดีกว่า หรือความมั่นคงมากกว่า แม้ว่าจะไม่ใช่งานที่เราเคยฝันไว้ก็ตาม
เมื่อก่อนหลายคนอาจมองว่าคนรุ่นใหม่ น่าจะเลือกงานตามหัวใจตัวเอง ลุยทำสิ่งรักให้สุดกำลัง เพราะยังเป็นวัยที่เต็มไปด้วยความสดใหม่ และไฟแห่งแพชชั่นกำลังพลุ่งพล่าน แต่ทุกวันนี้ความเชื่อนี้เริ่มเปลี่ยนไป คนรุ่นใหม่เลือกหันมามองความเป็นจริงมากขึ้น และลดเป้าหมายของตัวเองให้เล็กลงที่ดูจับต้องได้มากกว่า
จากงานวิจัยล่าสุดของ Randstad บริษัทด้านการสรรหาบุคลากรระดับโลก พบว่าตั้งแต่มกราคม 2024 ที่ผ่านมา การประกาศรับสมัครงานระดับเริ่มต้นทั่วโลกลดลงถึง 29% เมื่อตำแหน่งงานน้อยลง การแข่งขันก็ยิ่งสูงมากขึ้น ทำให้คนที่กำลังหางานในยุคนี้รู้สึกสิ้นหวัง เมื่อต้องเจอกับการถูกปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากรายงานยังระบุอีกว่าเกือบครึ่งหนึ่งของการสำรวจ บอกว่ากำลังทำงานที่ตัวเองไม่ได้อยากทำจริงๆ

รายงานยังชี้ให้เห็นเพิ่มเติมอีกว่า นอกจากตำแหน่งงานไม่เพียงพอ ซึ่งทำให้โอกาสได้ทำงานในฝันเราน้อยลงไปแล้ว อุปสรรคใหญ่ที่คนรุ่นใหม่ต้องฝ่าฟันอีกอย่าง คือเรื่องเงิน บางคนอาจต้องออกค่าใช้จ่ายเอง เนื่องจากไม่มีคนที่บ้านคอยสนับสนุน หรือแม้กระทั่งต้องเป็นเสาหลักคอยส่งเงินให้ครอบครัว ทำให้คนรุ่นใหม่ไม่สามารถทำอาชีพในฝันได้อย่างที่หวัง
ความเหนื่อยล้าที่ต้องทำให้ตัวเองเป็นผู้ถูกเลือกตลอดเวลา หรือภาระจนล้นมือทำให้คนรุ่นใหม่ มีมุมมองต่อความสำเร็จเปลี่ยนไป จากการสํารวจของ Glassdoor เว็บไซต์หางานจากต่างประเทศ ระบุว่า 68% ของคน Gen Z ไม่อยากเลื่อนตำแหน่ง เพราะไม่อยากแลกกับภาระงานที่เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้คนรุ่นใหม่ยังไม่ได้มองว่ารางวัลของคนทำงานหนักจะได้ผลตอบแทนเป็นความมั่นคงเสมอไป ในเมื่อที่ผ่านความเชื่อเหล่านี้ถูกทำลายไปครั้งแล้วครั้งเล่า จากการเลิกจ้างพนักงานครั้งใหญ่ หรือการเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างไม่ทันตั้งตัว พวกเขาจึงหันมาทำงานแบบเรียบง่าย รับผิดชอบหน้าที่ตัวเองให้ผ่านไปแต่ละวัน แล้วเอาเวลาไปทำสิ่งที่ชอบหลังเลิกงานแทน
แม้ว่าอาจจะฟังดูน่าเบื่อ จนเหมือนไร้ซึ่งความทะเยอทะยาน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเก้าอี้ทำงานตอนนี้แม้จะนั่งไม่สบาย แต่ก็ดีกว่าต้องตกงานเป็นไหนๆ เพราะคงไม่มีใครอยากกังวลเรื่องเงินไปทั้งเดือน แถมยังไม่ต้องเจอการปฏิเสธจากผลสัมภาษณ์ซ้ำๆ จนเสียความมั่นใจด้วย
ดังนั้น การเลือกงานที่ดูจืดชืด แม้ว่าจะห่างไกลจากงานในฝัน แต่อย่างน้อยงานนี้ก็ยังเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้เรา ในโลกที่ไม่ว่าอะไรๆ ก็เปลี่ยนแปลงไปรวดเร็วเช่นนี้
งานน่าเบื่ออาจไม่ได้แย่เสมอไป
การเลือกงานที่ไม่ท้าทายตัวเองไม่ได้แปลว่าเรากำลังหยุดอยู่กับที่เสมอไป แง่หนึ่งงานนี้ก็ช่วยให้เราพบกับความสุขแบบเรียบง่ายได้เหมือนกันนะ เพราะการไล่ตามอาชีพในฝัน อาจช่วยเติมเต็มเราทางด้านจิตใจได้ก็จริง แต่บางครั้งอาจต้องแลกมากับภาระทางการเงิน สุขภาพกาย หรือแม้กระทั่งสุขภาพจิต
จัสติน อัลเทอร์ (Justine Alter) นักจิตวิทยาองค์กรและผู้อํานวยการร่วมของ Transitioning Well บริษัทที่ปรึกษาด้านความเป็นอยู่ที่ดีในที่ทํางาน อธิบายข้อดีของงานที่ดูเรียบง่าย ว่าอันที่จริงแล้ว งานเหล่านี้ก็มีข้อดีไม่น้อย เพราะมักเป็นงานที่เรารู้ขั้นตอนเป็นอย่างดี จึงไม่กดดันมากนัก แถมยังทำให้เรามีเวลาเหลือไปพักผ่อน ทำกิจกรรมคลายเครียด หรือได้ทำสิ่งที่ชอบหลังการเลิกงาน

งานเรียบง่ายไม่เพียงแต่ลดความกดดันเท่านั้น แต่หลายคนยังเลือกงานเหล่านี้เพราะเข้ากับช่วงชีวิตเราช่วงนั้นได้พอดีด้วย เช่น เราอาจต้องดูแลลูกที่ยังเล็ก หรือต้องการสร้างครอบครัว การเลือกงานที่ได้เวลาเพิ่มขึ้น เงินเพิ่ม ก็อาจตอบโจทย์กับชีวิตมากกว่างานในฝันที่เราชื่นชอบก็ได้ ดังนั้นจึงไม่ผิดเลยหากเราจะเลือกงานจืดชืดธรรมดา เพราะแต่ละคนก็มีเงื่อนไขในชีวิตแตกต่างกันไปนี่นา
อย่างไรก็ตาม การเลือกงานจืดชืดก็มีข้อควรระวัง เพราะการทำงานที่ไม่ตรงกับความสามารถตัวเอง ท้ายที่สุดงานเหล่านี้อาจทำให้เรารู้สึกเบื่อหน่าย เพราะขาดแรงกระตุ้นจากงานที่ทำ ไม่ได้ใช้ความสามารถของตัวเองอย่างเต็มที่ จนนำไปสู่ภาวะ rust-out หรือการหมดไฟจากงานที่ไม่ท้าทายได้เช่นกัน
ดังนั้นแล้ว ทางที่ดีอย่าลืมตอบตัวเองให้ชัดว่าสิ่งที่เราต้องการจริงๆ คืออะไรกันแน่ เป้าหมายในอาชีพเราคืออะไร เพราะการรู้จักตัวเองอย่างดีจะช่วยให้เราสามารถเลือกงานได้อย่างตรงใจ ไม่ว่าตลาดงานจะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหนก็ตาม
เพราะเป้าหมายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน คงจะไม่ผิดอะไรถ้าหากบางคนชอบไล่ตามความฝัน ขณะที่คนบางส่วนอาจพอใจกับชีวิตแสนเรียบง่ายของตัวเอง แล้วทุกคนละ มีวิธีเลือกงานกันยังไงบ้าง?
อ้างอิงจาก