เคยไหม เจอเรื่องแย่ๆ มาทั้งวัน แต่ก็ยังอยากหาหนังไม่สมหวังมาดูปลอบใจตัวเอง
ทั้งที่ก็รู้ว่าถ้าเปิดไปต้องเจอชะตากรรมแสนเศร้าของตัวละคร สารพัดความเฮงซวย ที่ประเดประเดเข้ามาแทบทุกฉาก คิดว่าต้นเรื่องแย่แล้ว กลางเรื่องยังดำดิ่งลงได้อีก ทุกอย่างบีบให้เหล่าตัวละครเลือกทางเดินที่ผิดพลาด สุดท้ายก็นำไปสู่ตอนจบที่ไม่สมหวัง ตัวเอกพบกับความโศกนาฏกรรมอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ทำเอาคนดูเสียน้ำตาเป็นลิตรๆ เรียกได้ว่าหดหู่แบบสุดๆ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังเลือกที่จะดูหนังเหล่านี้อยู่ทุกครั้งไป
ทั้งที่มีหนังสนุกๆ ที่ตอนจบแฮปปี้เอนดิ้งก็มีเยอะแยะ แต่ทำไมเราถึงติดใจกับหนังเศร้าเคล้าน้ำตานะ วันนี้เราชวนไปดูเหตุผลเบื้องหลังว่าทำไมเราถึงเอนจอยกับหนังแสนเศร้าเหล่านี้กัน
เหตุผลที่คนรักหนังเศร้า
อาจจะฟังดูแปลกๆ ที่เราอยากดูหนังไม่สมหวัง ทั้งที่ชีวิตเราก็เศร้าอยู่แล้ว แบบนี้ก็เหมือนยิ่งตอกย้ำให้เรารู้สึกแย่กว่าเดิมหรือเปล่า? แต่จริงๆ แล้วหลายคนกลับไม่รู้สึกแบบนั้น เพราะมีงานวิจัยหลายชิ้นที่อธิบายว่าคนเราเอนจอยกับการดูหนังแสนเศร้ามากกว่าที่คิด
บทความวิจัย ‘Sad movies don’t always make me cry’ ในวารสาร Media Psychology ศึกษาการทำงานของสมองว่าทำไมเราจึงเพลิดเพลินกับการชมหนังเศร้านัก พบว่ามี 2 ปัจจัยหลักๆ ที่ทำให้คนเราชอบดูหนังเศร้า นั่นคือ หนังประเภทนี้ช่วยกระตุ้นให้เรารู้สึกถึงความสมจริง และสร้างความรู้ร่วมกับเรื่องราวนั้นกับผู้ชมมากขึ้น
งานวิจัยนี้มองว่าอารมณ์ต่างก็เป็นเครื่องมือหนึ่งที่มนุษย์ใช้รับรู้ข้อมูล เช่นเดียวกับอารมณ์เศร้าก็มีส่วนช่วยให้เราเข้าใจความรู้สึกของคนอื่นได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในหนังเศร้า ที่เนื้อเรื่องมักเน้นไปที่ความรักและความอ่อนโยนอย่างละเอียดอ่อน จึงทำให้เกิดความสมจริง ซึ่งผู้ชมสามารถเชื่อมโยงและเกิดอารมณ์ด้านบวก อย่างความรู้สึกเห็นอกเห็นใจได้
ที่เป็นแบบนี้ก็ไม่แปลก ถ้าลองสังเกตเวลาเราดูหนังเศร้าหลายๆ ครั้ง เราคงรู้สึกเข้าอกเข้าใจตัวละครได้ง่ายขึ้น ถ้าได้เราเห็นว่าภายใต้ชีวิตเพอร์เฟ็กต์ ก็มีมุมอ่อนแอ แสนเปราะบางกับเขาด้วยเหมือนกัน ซึ่งเรื่องราวแสนเศร้าที่ไม่สมหวังเหล่านี้ ยังทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่ได้เจอเรื่องนี้อยู่คนเดียว แต่ยังมีคนที่เจอเรื่องบัดซบในชีวิตไปพร้อมกับเรา และเมื่อมีคนช่วยแบ่งปันความขมขื่น ความทุกข์ของเราก็ดูเป็นเรื่องเล็กลงทันที ซึ่งช่วยให้เราหาทางรับมือสิ่งต่างๆ ได้ง่ายขึ้น
ไม่ใช่แค่เพราะเราชอบดูคนอื่นที่แย่กว่า เลยทำให้หลายคนชอบดูหนังเศร้าหรอกนะ แต่หนังที่ตอนจบที่มีความสุข บางครั้งอาจทำให้ตัวเองรู้สึกแปลกแยกมากกว่าเดิม สำหรับบางคนที่ต้องเจอความเศร้า หรือความเจ็บปวดในชีวิต จะรู้สึกว่าความสุขไม่ได้เกิดขึ้นง่ายดายขนาดนั้น ยิ่งได้เห็นว่าตัวละครจัดการปัญหาได้อย่างง่ายดาย อาจทำให้รู้สึกเศร้ากว่าเดิม เพราะพอย้อนกลับมามองตัวเอง ก็พบว่าชีวิตเรายังยุ่งเหยิงอยู่เลยนี่นา
ดังนั้นเมื่อได้เห็นหนังที่จบแบบแฮปปี้เอนดิ้งง่ายๆ อาจรู้สึกว่าไม่สมจริง และรู้สึกโดดเดี่ยวได้มากขึ้น หลายคนจึงโหยหาความซื่อสัตย์จากหนัง ที่บอกว่าความเศร้า ผิดหวัง หรือความเสียใจเป็นสิ่งปกติที่ไม่ว่าใครก็ต้องเจอมากกว่า
กลับมาที่ปัจจุบัน ความสมจริงจากเรื่องราวไม่เพอร์เฟ็กต์ ก็เป็นสิ่งที่คนรุ่นใหม่ต้องการเช่นกัน อย่างเทรนด์ ‘social media is fake’ ที่คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับคอนเทนต์ที่ดูไม่ปรุงแต่ง และเห็นความไม่สมบูรณ์แบบของผู้คน ไม่ว่าจะเป็น การถ่ายรูปโดยไม่ใช่ฟีลเตอร์ การถ่ายกิจวัตรประจำวันแบบเรียบๆ การแชร์ประสบการณ์ที่ผิดพลาดและล้มเหลว เพราะในโลกที่ไม่ว่าใครก็สามารถสร้างภาพชีวิตที่แสนสุขได้ง่ายๆ การได้เห็นเรื่องราวที่จริงใจ สะท้อนความเจ็บปวด ความผิดหวัง หรือความสูญเสีย ก็อาจมอบพลังให้ใครบางคนได้เหมือนกัน
เศร้าได้แต่ไม่ซึม
เรื่องราวแสนโศกในหนังเศร้าไม่ได้ทิ้งไว้เพียงความเจ็บปวดหรือน้ำตาเสมอไป แต่เรื่องราวเหล่านี้บางครั้งก็กลายเป็นแรงผลักดันให้เราลุกขึ้นมาทบทวนชีวิต และลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเองได้เช่นกัน
เราสามารถเขียนบทใหม่ให้ตัวเองได้จากมุมมองของ จิตวิทยาเรื่องเล่า (Narrative Psychology) ซึ่งเป็นแนวคิดที่ศึกษาว่าเราสร้างความหมายให้กับชีวิตตัวเองอย่างไร โดยอธิบายว่า เมื่อถึงจุดหนึ่งเราจะเป็นผู้เขียนบท หรือกำหนดทิศทางและสร้างตัวตนเองได้ ซึ่งเรื่องราวที่เราบอกกับตัวเองในหัว ล้วนมีอิทธิพลต่อความรู้สึกและพฤติกรรมของเรา
รูปแบบเรื่องเล่าที่เรามักใช้บอกตัวเองบ่อยๆ เช่น เรื่องเล่าเชิงลบ (contamination narrative) และ เรื่องเล่าแบบเยียวยา (redemptive narrative) แบบแรกคือการตีความเหตุการณ์ร้ายแรงในชีวิตว่าเป็นจุดจบหรือรู้สึกว่าตัวเองไม่มีทางดีขึ้นได้ ซึ่งอาจทำให้รู้สึกติดอยู่ในวังวนของความเจ็บปวดและหมดหนทางในการเปลี่ยนแปลง
ในขณะที่เรื่องเล่าแบบเยียวยา (redemptive narrative) ซึ่งไม่ใช่การคิดบวกแบบหลอกตัวเอง จะเป็นการยอมรับว่าเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นจริง แต่ยังเห็นว่ามีอะไรบางอย่างที่เราสามารถเรียนรู้ได้ และมองเห็นว่าความเจ็บปวดไม่ได้แปลว่าทุกอย่างจบลง แต่มันคือส่วนหนึ่งของการเติบโต
เช่นเดียวกับการดูหนังเศร้า แม้ว่าจะมีบางส่วนที่ตรงกับชีวิตของเรา แล้วต้องพบกับจุดจบที่เลวร้าย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าต้องเกิดกับเรา ท่ามกลางความสิ้นหวัง เราก็อาจได้เห็นความกล้า การให้อภัย หรือความพยายามจะใช้ชีวิตต่อ แม้จะไม่สมบูรณ์แบบ ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้สามารถเป็นบทเรียนจำลอง ที่ช่วยเราตั้งคำถามกับชีวิตตัวเอง และสร้างเรื่องเล่าใหม่สำหรับตัวเองได้เช่นกัน
ดังนั้นการรักหนังเศร้าแม้จะทำให้เราเสียน้ำตาจึงไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะนอกจากได้ช่วยให้เราปลดปล่อยอารมณ์เศร้าได้อย่างปลอดภัยแล้ว ยังช่วยให้เราเข้าใจตัวเอง และมองเห็นคุณค่าในตัวคนอื่นมากขึ้นด้วย แม้เรื่องราวนั้นจะจบลงอย่างเจ็บปวด แต่มันก็ช่วยทำให้เรื่องเล่าในหัวของเรางดงามขึ้นนะ
แล้วทุกคนล่ะ มีหนังเศร้าเรื่องโปรดในใจกันบ้างหรือเปล่า
อ้างอิงจาก
screentherapyblog.wordpress.com