หนึ่งในความสนุกของการมีเพื่อนร่วมงาน คงจะเป็นการได้เห็นคาแรกเตอร์ที่ต่างกันไปของแต่ละคน ไม่ว่าจะอยู่ในออฟฟิศสายงานไหน เชื่อว่าหลายคนคงได้เจอเพื่อนร่วมงานที่หลากหลาย มีนิสัยส่วน นิสัยในการทำงาน แตกต่างกันชนิดที่ว่า พอนึกถึงเรื่องนี้ ต้องนึกถึงคนนี้เท่านั้น หาอะไรไม่เจอหรอ เรียกคุณพลอย coordinator สุดแอ็กทีฟได้เลย หรือต้องพรีเซนต์งานแล้ว ไม่มั่นใจเลย ปรึกษาคุณโมจิ AE ที่พก charisma มาเต็มกระเป๋าดูสิ แต่พอนึกถึงตัวเองแล้ว กลับนึกไม่ออกเลยว่าเวลาคนอื่นมองเข้ามา เขาจะนึกถึงอะไรกันนะ
การเป็นคนกลางๆ ก็คงจะเป็นประมาณว่า เมื่อถูกถาม “คนนั้นเป็นยังไง?” แล้วคนอื่นๆ ต่างตอบว่า “ก็โอเคนะ” “ไม่รู้สิ ไม่ค่อยได้คุยอะไรกันมาก” “ก็เฉยๆ นะ” ไม่ได้กระตือรือร้น ขยัน จนเป็นพนักงานดีเด่น ไม่ได้โดดเด่น ไม่ได้เก่งด้านไหนเป็นพิเศษ ออกจะเป็นคนกลางๆ ไปเสียทุกเรื่อง หรืออาจจะเป็นเป็ดที่พอทำสิ่งนั้น สิ่งนี้ ได้บ้าง แต่ก็ไม่ได้เฉิดฉายเหมือนคนที่โดดเด่นคนอื่นๆ อยู่ดี รู้สึกว่าเรากำลังเป็นคนแบบนั้นอยู่หรือเปล่า?
เชื่อเถอะว่าเราไม่ได้กำลังเป็นแบบนั้นอยู่เพียงลำพัง ในทุกๆ ออฟฟิศ มักจะมีคนกลางๆ ปะปนอยู่ในทุกที่ เช่นเดียวกับที่มีเพื่อนร่วมงานเป็นคนอารมณ์ขัน คนแอ็กทีฟ ตัวแม่ ตัวแรง ชาวเนิร์ด อยู่ในทุกที่เช่นกัน การเป็นคนกลางๆ ของเรา หากเป็นเรื่องนิสัยส่วนตัว แน่นอนว่ามันย่อมไม่สร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้ใคร เป็นเหมือนค่า pH 7.0 ที่แสนจะเป็นกลาง แต่ถ้าเป็นคนกลางๆ ในเรื่องของการทำงานล่ะ จะเป็นอะไรมั้ย?
มีอยู่ช่วงหนึ่งที่โลกของการทำงาน มักจะผลักดันให้ใครๆ ก็ต้องเป็นคนโปรดักทีฟ กระตือรือร้น บอกสิบ ทำร้อย บอกร้อย ใส่ไปเลยร้อยยี่สิบ วิสัยทัศน์กว้างไกล คิดระดับผู้บริหาร บูชาคนทำงานหนัก เราได้เห็นเรื่องราวของเหล่าคนที่ทุ่มเท อุทิศชีวิตให้กับการทำงาน จนหลายคนอดรู้สึกไม่ได้ว่า “หรือเราต้องโปรดักทีฟกับเขาบ้างแล้ว?” แต่แล้วก็พบว่า นั่นไม่ใช่วิธีการทำงานที่เราถนัดเอาเสียเลย ก็อยากทำงานเท่าที่เราต้องรับผิดชอบนี่นา ไม่ได้อยากทำเกินหน้าที่ด้วย แค่รับผิดชอบงานที่ทำอยู่ก็ต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจไปมากแล้ว
หากการเป็นคนกลางๆ ของเรานั้น หมายถึงการทำงานในหน้าที่ได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน แม้จะไม่โดดเด่นกว่าคนอื่น นั่นก็หมายความว่า เรารับผิดชอบสิ่งที่อยู่ในขอบเขตหน้าที่ของเราได้ดีแล้ว ตราบใดที่ KPIs ที่คอยชี้วัดประสิทธิภาพในการทำงานของเรา ไม่ได้บกพร่องไปในด้านไหน เรายังคงรับผิดชอบงานในหน้าที่ของเราได้ดี สิ่งไหนที่อยู่ในขอบเขตการรรับผิดชอบของเรา เราไม่เคยบกพร่อง ยังคงมาตรฐานของงานไว้ได้ดีสม่ำเสมอ ก็ไม่ต้องกังวลอะไร
ถามว่าการเป็นคนโปรดักทีฟดีไหม? แน่นอนว่ามันอาจจะดีสำหรับการทำงานอยู่แล้ว หากใครที่มีแรงกายแรงใจมากพอที่จะทำงานเกินร้อย ก็สามารถทำได้ ใส่ความสามารถ ใส่พลังของตัวเองให้เต็มที่ แต่ถ้าหากเราไม่ได้เป็นคนโปรดักทีฟ ไม่ได้มีพลังล้นเหลือ กระตือรือร้นกว่าใคร เราก็ไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเองให้เป็นแบบนั้นไปด้วย การจะลุกขึ้นมาใส่เกินร้อยให้กับงาน ควรเกิดขึ้นจากความพร้อมทั้งกายและใจ และเกิดขึ้นด้วยความเต็มใจจริงๆ ไม่ใช่เพียงเพราะไม่อยากถูกมองว่าเป็นคนกลางๆ ไม่กระตือรือร้น
หากมั่นใจว่าที่ทำอยู่นั้น คือการรับผิดชอบงานของตัวเองเพียงพอแล้ว ไม่อยากเล่นเกมจับคนขี้เกียจ ก็แค่รับผิดชอบงานของตัวเองให้เรียบร้อยก็พอ เสร็จทันเวลา คุณภาพงานโอเค แค่นี้ก็ไม่มีเรื่องไหนให้ต้องกังวลแล้ว แม้จะไม่ได้ทำตัวขยันเป็นพิเศษเพื่อเรียกคะแนนจากเจ้านาย แต่ก็ถือว่าเป็นการทำงานแบบไม่มีส่วนไหนให้ติ ส่วนเรื่องการช่วยเหลืองานคนอื่น มันค่อนข้างเป็นเรื่องของน้ำใจที่เราเลือกจะหยิบยื่นให้ใครหรือไม่ อาจมีบ้างตามโอกาส ซึ่งการช่วยเหลืองานคนอื่น ก็เป็นทางบวกแต้มคนขยันบางครั้งบางคราวได้ดีเหมือนกัน
อย่าปล่อยให้การทำงานที่ห้ำหั่นกันด้วยการทำงานหนัก กลายเป็นเรื่องปกติ จนกลายเป็นว่า คนที่ทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย กลายเป็นคนเอื่อยเฉื่อย ไม่ทุ่มเท ทั้งที่งานที่ทำนั้นไม่ได้บกพร่องไปสักส่วนเดียว หลายคนอาจยุ่งจริงๆ หลายคนอาจทำตัวให้ยุ่งเพราะไม่อยากเป็นคนเอื่ยเฉื่อยในสายตาคนอื่น หลายคนอาจตั้งใจยุ่งเพื่อให้ตัวเองเป็นคนดูขยัน แต่ไม่ว่ายุ่งแบบไหน การโหมงานหนักเกินไปเพราะความยุ่งก็ไม่ดีกับตัวเราอยู่ดี ยุ่งแต่พอดีอย่าให้กระทบกับสุขภาพจะดีกว่า
การเป็นคนโปรดักทีฟก็ถือเป็นเรื่องดี แต่การไม่ได้เป็นคนโปรดักทีฟ ก็ไม่ใช่เรื่องแย่ แต่ละคนต่างมีวิธีทำงานแตกต่างกันไป ไม่จำเป็นต้องฝืนใจทำในสิ่งที่ไม่เป็นตัวเองจะทำให้เราอยู่กับงานนั้นได้ยั่งยืนมากกว่า