คุยกับเพื่อนคนนั้นก็ไม่ชอบงานที่ทำอยู่ คุยกับพี่คนนี้ก็บ่นอยากลาออก พอย้อนกลับมาดูตัวเอง เรารู้สึกยังไงกับงานที่ทำอยู่นะ?
ไม่ว่าจะหันไปทางไหน ต่างคนก็ต่างเผชิญหน้ากับปัญหาในที่ทำงานกันคนละรูปแบบ บางคนก็บ่นว่าไม่อยากไปทำงาน บางคนก็หมดไฟ บางคนก็ถึงขั้นอยากลาออกจากงานที่ทำอยู่ แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่รู้ว่าตัวเองสึกโชคดีจังที่ได้ทำงานที่นี้ เพราะหลายอย่างที่บริษัทมมอบให้นั้นสร้างความพึงพอใจให้กับเรา
แน่นอนว่าในโลกของการทำงาน หลายคนก็อาจต้องเจอบริษัทหรือองค์กรในหลากหลายรูปแบบ แต่ละองค์กรย่อมมีปัจจัยที่ทำให้เราตัดสินใจทำงานที่นี้ต่อไปเรื่อยๆ ที่แตกต่างกัน ทำให้ในยุคนี้ การได้เจอกับบริษัทที่ใช่และตอบโจทย์เรา อาจเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญในการหางาน
ทุกวันนี้สิ่งที่จะทำให้เราแฮปปี้ในที่ทำงาน อาจไม่ได้มีเพียงแค่เรื่องค่าตอบแทนเพียงอย่างเดียว จากที่ The MATTER ได้ลองพูดคุยกับผู้คนที่ผ่านประสบการณ์การทำงานมา ทำให้เห็นว่า จริงๆ แล้ว มีปัจจัยอีกหลายอย่างมากที่ทำให้เรา ‘รู้สึกโชคดี’ ที่ได้ทำงานที่นี้ได้
สวัสดิการที่ดีย่อมสะท้อนความใส่ใจต่อพนักงาน
หากกำลังหางานอยู่ แล้วมีโพสต์รับสมัครงานผ่านตามา เชื่อว่าสิ่งที่หลายคนจะพิจารณาเป็นอันดับต้นๆ คือ เรื่องของสวัสดิการของบริษัทนั้นๆ เพราะนี่เป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญที่ช่วยทำให้คนตัดสินใจจะร่วมงานกับบริษัทนี้ได้ง่ายมากขึ้น อีกทั้งการมีสวัสดิการที่ดี นอกจากจะดึงดูดให้เราอยากร่วมงานด้วยแล้ว ยังทำให้เรารับรู้ถึงความใส่ใจขององค์กรที่มีต่อพนักงาน
การให้ความสำคัญต่อสวัสดิการของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง วันลาหยุด ประกัน สิ่งอำนวยความสะดวก หรือแม้แต่เงินช่วยเหลือด้านต่างๆ ล้วนมีส่วนช่วยในการสร้างแรงจูงใจให้กับพนักงาน เมื่อพนักงานมีแรงใจ ก็ย่อมเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้มากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งจะส่งผลดีต่อทั้งองค์กรและพนักงาน
เมื่อลองสอบถาม เฟิร์น พนักงานโรงแรมแห่งหนึ่ง มองว่า สวัสดิการมีส่วนในการตัดสินใจในการไปสมัครงานเป็นอย่างมาก เพราะมันคือสิ่งที่สะท้อนตัวตนขององค์กร และยังช่วยทำให้ได้รู้ว่าองค์กรมองพนักงานอย่างไร และพวกเขาให้คุณค่าต่อพนักงานมากแค่ไหน ดังนั้น การได้ทำงานในองค์กรที่มีสวัสดิการดีจึงถือเป็นหนึ่งในความโชคดีที่สุดแล้ว
“สมัยนี้บริษัทส่วนใหญ่เลือกที่จะแข่งกันนำเสนอเรื่องสวัสดิการบนโพสต์รับสมัครงาน ค่าตอบแทนไม่ใช่ว่าไม่สำคัญ แต่บริษัทที่มีสวัสดิการดีก็บอกอะไรเราได้หลายอย่างเหมือนกัน อย่างโรงแรมที่ทำอยู่มีสวัสดิการเรื่องของอาหารกลางวันพนักงาน ซึ่งมันทำให้เห็นว่าองค์กรมองเห็นความสำคัญในตัวพนักงาน และซัปพอร์ตค่าใช้จ่ายเรา” เฟิร์นอธิบาย
เพื่อนร่วมงานดีมีชัยไปกว่าครึ่ง
ปฏิเสธไม่ได้ว่า เพื่อนร่วมงานและสังคมในที่ทำงาน มีส่วนสำคัญต่อการทำงานในแต่ละวันของเรา เพราะมีอยู่ไม่น้อยที่เวลาไปทำงาน ไม่ใช่แค่ทำงานเสร็จ แล้วกลับบ้าน แต่อาจมีความจำเป็นที่ต้องติดต่อหรือประสานงานกับคนอื่นในที่ทำงานด้วย
แม้งานที่ทำอยู่จะน่าเบื่อหรือชวนหัวหมุนมากแค่ไหน แต่ถ้าเราเจอเพื่อนร่วมงานหรือสังคมในที่ทำงานดี ก็จะช่วยซัปพอร์ตอารมณ์และความรู้สึกเราในแต่ละวันของเราไม่มากก็น้อย ลองคิดดูว่า ในหนึ่งวันแค่งานที่ทำก็ปวดหัวจะแย่ แล้วยังต้องเจอเพื่อนร่วมงานที่ไม่โอเคอีก จะทำวันนั้นกลายเป็นวันที่แย่ขนาดไหน
แนน พนักงานบริษัท ซึ่งเคยมีประสบการณ์การทำงานมาหลายที่ บอกว่า เพื่อนร่วมงานมีส่วนอย่างมากต่อการทำงานในแต่ละวัน แนนเคยเจอทั้งเพื่อนร่วมงานที่ดีและไม่ดี จึงทำให้เข้าใจเลยว่าการมีสังคมรอบตัวที่ดีในที่ทำงาน นั้นช่วยเราในแต่ละวันไม่น้อย
“การมีเพื่อนร่วมงานที่ไม่ต้องถึงกับดีมาก แต่ก็ไม่ทำให้เราปวดหัว ถือว่าโชคดีแล้ว เพราะเพื่อนร่วมงานที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ มันทำให้การทำงานในแต่ละวันของเรา ไม่ว่างเปล่า นึกภาพเหมือนเวลาเราไปเรียนแล้วมีเพื่อน ไปโรงเรียนทุกวันมันเลยสนุก ในแต่ละวันเครียดๆ กับงาน มีเพื่อนที่ดีช่วยให้ผ่อนคลาย ที่สำคัญมันทำให้การไปทำงานของเราสนุกมากขึ้น”
งานที่ชอบและความท้าทายในการทำงาน
หนึ่งในความโชคดีในการทำงานของหลายคน เชื่อว่า เนื้องานเองก็เป็นปัจจัยที่สำคัญไม่แพ้กัน แม้ว่างานจะมีความยากและท้าทาย แต่การได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ ก็ช่วยผลักดันให้เราได้พัฒนาตนเองอยู่ตลอด ซึ่งส่งผลดีต่อตัวเราและองค์กร
อีกหนึ่งคนที่มองว่าการทำงานที่ชอบและมีความท้าทายคือความสนุกหนึ่งของชีวิตคือ น้ำ นักสื่อสารการตลาด ซึ่งได้แบ่งปันมุมมองต่อเรื่องการทำงานที่ชอบว่า มันคือความโชคดีอย่างหนึ่งในชีวิตการทำงาน การได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบและมีความท้าทายด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ชีวิตการทำงานมันสนุกมากขึ้น นอกจากนี้ตัวเราก็ได้เรียนรู้อะไรมากขึ้นจากตรงนี้เช่นกัน
“งานที่ท้าทายก็ดี มันได้ท้าทายตัวเอง เปรียบเหมือนกับเวลาเราเล่นเกม พอเล่นไปเรื่อยๆ เราเอาชนะบอสตัวนี้ไม่ได้ เรากลับไปฝึก ฝึกจนเก่ง เรากลับมาลองอีกครั้ง แล้วเราสามารถผ่านมันไปได้ มันกลายเป็นความภูมิใจ มันคือความโชคดีที่เราได้ทำงานชิ้นนี้ เพราะมันสร้างภูมิคุ้มกันต่อเรื่องงานให้กับเรา”
การมีเส้นทางเติบโตในสายงาน
“จะทำงานหนักไปทำไม ถ้าสุดท้ายเราก็เป็นได้แค่พนักงานระดับจูเนียร์”
หากงานที่เราทำอยู่ ทำให้เรารู้สึกเหมือนย่ำอยู่กับที่และไม่ได้เติบโตมากกว่าที่เป็นอยู่ ก็อาจทำให้เราไม่มีกำลังใจจะลุยงานต่อหรือทำงานออกมาได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ จนบางครั้งอาจถึงขั้นหมดไฟในการทำงานเลยทีเดียว
เราจะโชคดีแค่ไหนกันนะ หากงานที่เราทำอยู่ มันมีช่องทางให้เราได้เติบโตและก้าวไปข้างหน้า การมีเส้นทางในสายงาน (Career Path) ที่ชัดเจน ไม่ได้บอกเราแค่การเติบโตในเรื่องของเงินเดือนหรือตำแหน่ง แต่มันยังช่วยผลักดันให้เราเกิดการพัฒนาตนเองต่อไปเรื่อยๆ เพื่อให้ตัวเองได้เติบโตในสายงานมากขึ้น
เอส Content Creator ที่เคยทำงานให้กับบริษัทขนาดเล็กแห่งหนึ่ง มองว่า การมีเป้าหมายในสายงานที่ชัดเจนจะช่วยทำให้เราพัฒนาตนเองในสายงานของเราได้มากขึ้น แต่หลายครั้งมันมีข้อจำกัดบางอย่างเช่น การเงิน ขนาดขององค์กร หรือโครงสร้างองค์กร มาตีกรอบไม่ให้เราเติบโต ท้ายที่สุดท้ายก็อาจมาเจอทางตันในชีวิตการทำงาน
“การใช้ชีวิตโดยที่มีเป้าหมายคือเรื่องที่สำคัญ เรื่องงานเองก็เช่นเดียวกัน การที่มองว่าเราเติบโตมาได้เท่าไหร่แล้ว ย้อนไปจากตอนที่เราเป็นเพียงเด็กจบใหม่ จนมาถึงตอนนี้ มันสะท้อนให้เราเห็นถึงความสามารถ การเติบโต ตลอดจนตัวเราเองว่า เราทุ่มเทกับการทำงานมากน้อยแค่ไหน ”
วัฒนธรรมองค์กรดีคือความโชคดี
หากมองในภาพรวม วัฒนธรรมองค์กร คือปัจจัยสำคัญที่ไม่อาจมองข้ามสำหรับการตัดสินใจว่าบริษัทที่เราทำอยู่เข้ากับเราได้หรือไม่ เพราะมันไม่เพียงแต่เป็นสิ่งที่แสดงออกถึงคาแร็กเตอร์หรือตัวตนของค์กรเท่านั้น แต่มันยังสะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์และทัศนคติขององค์กรที่มีต่อพนักงานด้วยเช่นกัน
มีหลายคนที่ปฏิเสธการร่วมงานกับบริษัทที่ใช่หรืองานที่ชอบ ด้วยเหตุผลที่ว่าวัฒนธรรมภายในองค์กรไม่ตอบโจทย์กับความต้องการของพวกเขา จากการสำรวจของ Robert Half องค์กรด้านการจัดหาทรัพยากรบุคคล เกี่ยวกับประเด็นเรื่องความสำคัญของวัฒนธรรมองค์กร ระบุว่า พนักงานมากกว่า 1 ใน 3 ของกลุ่มตัวอย่างจะไม่ทำงานกับองค์กรที่มีวัฒนธรรมที่พวกเขาไม่พึงพอใจ
จากการสำรวจดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า แม้องค์กรจะเป็นองค์กรในฝันของเรามากแค่ไหน แต่ก็มีโอกาสที่คนจำนวนไม่น้อยจะกฏิเสธการร่วมงานด้วย เพราะการมีวัฒนธรรมองค์กรที่ดีนั้น มีโอกาสดึงดูดให้คนอยากมาร่วมงานเพิ่มมากกว่า
นัท นักวิจัยและพัฒนาอาหารของบริษัทด้านอาหาร มองว่า วัฒนธรรมองค์กรเปรียบเสมือนตัวกำหนดความรู้สึกในการทำงานของพนักงานแต่ละคน ยิ่งวัฒนธรรมองค์กรที่เข้ากับเราได้ ยิ่งทำให้การทำงานมีความสุขมากขึ้น
“การมีวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดกว้าง และไม่มีข้อบังคับอะไรมากมาย ช่วยสร้างบรรยากาศในการทำงานให้กับเราได้มากขึ้น นั่นยิ่งช่วยให้เราทำงานได้ดีขึ้น พอวัฒนธรรมภายในองค์กรมันเหมาะกับเรา เราเลยรู้สึกว่า เราโชคดีที่ได้ทำงานที่ชอบและเจอวัฒนธรรมองค์กรที่ใช่” นัทเสริม
ท้ายที่สุด ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ ล้วนมีส่วนต่อการกำหนดความรู้สึกและความพึงพอใจของเราต่อตัวองค์กรไม่มากก็น้อย ความรู้สึกโชคดีที่ได้ทำงานที่นี้ อาจไม่ได้มาจากการมีทุกปัจจัยนี้ร่วมกัน แต่อย่างน้อยที่สุด ถ้ามีสักปัจจัยที่เข้ากับเรา สามารถซัปพอร์ตตัวเราได้ นั่นก็อาจนับเป็นความโชคดีเช่นเดียวกัน
ทว่าสำหรับใครที่ยังไม่เจอกับงานที่ทำให้รู้สึกว่าโชคดีในตอนนี้ นั่นก็ไม่เป็นไรนะ ค่อยๆ เรียนรู้และค้นพบตัวเองไปเรื่อยๆ ระหว่างทางเราอาจจะเจอกับประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ช่วยเปิดทางให้เราได้เจอกับงานที่ใช่มากขึ้น และถึงแม้งานที่ทำให้เรารู้สึกโชคดีอาจจะยังไม่ได้มาทันทีตอนนี้ แต่ในอนาคตจะต้องมีวันที่เป็นของเรารออยู่
อ้างอิงจาก