“สักวันฉันจะทำให้ดีกว่าแกแน่นอน”
เสียงในหัวที่เกือบจะดังหลุดปากออกไป หลังโดนพี่คนนั้นดูถูกเกี่ยวกับการทำงานและผลงานของเราอยู่บ่อยครั้ง บางทีก็บอกว่าเราทำงานไม่ดีบ้างแหละ เป็นเด็กรุ่นใหม่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อบ้างแหละ ผลงานยังสู้คนนู้นคนนี้ไม่ได้บ้างแหละ จนแอบรู้สึกแค้น อยากทำให้เขาเห็นไปเลยว่าเราคนเดียวก็ทำงานให้เลิศให้ปังได้ไม่แพ้ใคร เผลอๆ อาจทำได้ดีกว่าพี่แกด้วยซ้ำ
เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าเราไม่ได้เป็นอย่างที่คนอื่นเขาครหา ก็ขอหยิบเอาคำดูถูกเหล่านี้ มาแปรเปลี่ยนเป็นไฟแค้น และใช้มันเป็นแรงกระตุ้นให้เราทำผลงานออกมาได้ดีมากยิ่งขึ้น พร้อมหวังให้อีกฝ่ายได้เห็นสักที ว่าใครกันแน่ที่เลิศกว่ากัน
มาถึงตรงนี้ หลายคนก็อาจนึกสงสัย ไฟแค้นที่สุมอยู่ในอกนี้จะช่วยผลักดันการทำงานของเราได้อย่างไร แล้วหากมันช่วยได้จริง ตัวเราต้องระมัดระวังเรื่องใดบ้างไหม
ไฟแค้นกับการผลักตัวเอง
เมื่อมีคนมาพูดจาดูถูกหรือเหยียดหยาม เฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องเกี่ยวกับการทำงาน ทั้งที่ตัวเราอาจเพิ่งเข้ามารับตำแหน่ง หรือยังไม่ได้โชว์ศักยภาพตัวเองได้เต็มร้อย ก็คงสร้างความไม่พอใจ จนไฟโกรธและไฟแค้นสุมอยู่ในอก อยากเปิดศึกด้วยใจจะขาด แต่ด้วยหน้าที่การงาน ทำให้เราไม่สามารถปะทะกับคนเหล่านั้นโดยตรงได้ เราจึงทำได้เพียงเก็บไฟแค้นและคำดูถูกเหล่านั้นเอาไว้ในใจ และเฝ้านึกว่าสักวันหนึ่ง จะต้องเหนือกว่าเขาให้ได้เลย
ฟังดูเหมือนคำว่า ‘ไฟแค้น’ จะเป็นคำที่ให้ควาหมายไปในเชิงลบมากกว่าเชิงบวก เพราะเมื่อพูดถึงไฟแค้นหรือความแค้น เราก็มักนึกถึงภาพความอันตรายและความรุนแรงพ่วงมาด้วย ถึงอย่างนั้นไฟแค้นที่เรามีก็อาจสร้างประโยชน์ให้แก่เราได้เช่นกัน เฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของการพัฒนาตัวเองและการทำงานให้สำเร็จไปถึงเป้าหมาย

Psychologs นิตยสารด้านจิตวิทยาของอินเดีย นำเสนอเอาไว้ว่า เราสามารถนำอารมณ์และความรู้สึกเชิงลบมาใช้ขับเคลื่อนและกระตุ้นตัวเราให้ลงมือทำอะไรสักอย่างได้ด้วยเช่นกัน อย่างไฟแค้นที่เรามีอยู่เต็มอกนี้ ก็สามารถสร้างความมุ่งมั่น สร้างความแน่วแน่ในการบรรลุเป้าหมาย ตลอดจนเพิ่มความสามารถในการโฟกัสในการทำสิ่งต่างๆ ได้ดีขึ้น
ลองนึกภาพเวลาใครสักคนมาดูถูกเรา เราผู้กำลังโกรธและอยากแก้แค้นอีกฝ่าย จึงพยายามหาวิธีที่จะเอาชนะอีกฝ่ายให้จงได้ ไฟความพยายามถูกเติมเพิ่มด้วยไฟแค้นก็ยิ่งลุกโชน จนทำให้เราทำสิ่งที่ตั้งใจไว้จนสำเร็จ เพื่อแสดงออกให้เห็นว่าเราไมไ่ด้เป็นไปตามที่อีกฝ่ายกล่าวนั่นเอง
สำหรับด้านการทำงาน การมีไฟแค้นจึงอาจช่วยให้เราประสบความสำเร็จได้ด้วยเช่นกัน กิริช คาร์นาด (Girish Karnad) นักยุทธศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านการเป็นผู้นำ ชี้ให้เห็นว่า การนำไฟแค้นไปใช้ในทางสร้างสรรค์ สามารถกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการทำงานได้จริง ผู้ที่ประสบความสำเร็จหลายคน ก็มักใช้ความรู้สึกพ่ายแพ้หรือคำดูถูกเป็นพลังในการพัฒนาตนเองและทำให้ตัวเองดียิ่งขึ้น
หลายครั้งเวลาโดนใครสักคนประเมินความสามารถของเราต่ำกว่าที่ควรจะเป็น หรือกระทั่งถูกตัดสินจากผลงานแค่เพียงผิวเผิน ความรู้สึกโกรธและแค้นก็จะเข้ามากระตุ้นตัวเรา ให้อยากพิสูจน์ให้อีกฝ่ายได้เห็นว่า สิ่งที่พวกเขาคิดเกี่ยวกับตัวเรานั้นผิด ทำให้เรามีแรงผลักดันมากพอที่จะลุกขึ้นมาพัฒนาตัวเอง ให้ก้าวข้ามคำดูถูกเหล่านั้นได้
เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อถึงตอนที่เราโดนตำหนิหรือดูถูก แล้วไม่รู้จะเอาความรู้สึกแค้นเคืองนี้ไปลงที่ไหน แทนที่จะต่อความยาวสาวความยืดกับอีกฝ่าย ก็อาจลองหยิบมันมาเป็นแรงผลักดันสำหรับเปลี่ยนแปลงตัวเอง และพิสูจน์ด้วยฝีมือให้อีกฝ่ายได้เห็นไปเลยว่า เรามีดีกว่าที่อีกฝ่ายปรามาสไว้ขนาดไหน

ข้อควรระวังเมื่อเราใช้แค้นเป็นแรงขับเคลื่อน
การที่เราสามารถแปรเปลี่ยนไฟแค้นให้เป็นแรงขับเคลื่อนในการทำงานก็ถือเป็นเรื่องดี หากแต่มันก็มีข้อควรระวังที่เราต้องใส่ใจเอาไว้ด้วยเช่นกัน เพราะการใช้ความแค้นเป็นแรงผลักดันในการทำสิ่งต่างๆ มากเกินไป อาจย้อนกลับมากระทบตัวเราเองได้
แกรนท์ ฮิลารีย์ เบรนเนอร์ (Grant Hilary Brenner ) จิตแพทย์และหนึ่งในนักเขียนของหนังสือ Irrelationship: How We Use Dysfunctional Relationships to Hide from Intimacy ได้รวบรวมข้อควรระวังเกี่ยวกับใช้ไฟแค้นเป็นเรื่องผลักดันในการทำงาน เอาไว้ดังนี้
- ไฟแค้นอาจให้ผลดีแค่ในระยะสั้น: แม้ความแค้นจะสามารถช่วยผลักดันตัวเราได้จริง แต่มันก็อาจช่วยได้แค่เพียงระยะสั้นเท่านั้น เพราะอารมณ์โกรธหรืออยากเอาชนะมักมาไวและแรง แต่ก็หมดไวด้วยเช่นกัน เมื่อเราสงบสติหรือรู้สึกดีขึ้น ก็อาจหมดพลังได้เช่นกัน
- หมกมุ่นกับแก้แค้นมากไปไม่ได้ดีต่อการพัฒนาตัวเอง: การคิดถึงแต่เรื่องแก้แค้นเพียงอย่างเดียว อาจทำให้เราเสียสมาธิกับสิ่งสำคัญอื่นๆ ได้ เพราะการหมกหมุ่นอยู่กับความโกรธหรือการอยากเอาคืน ทำให้เรามองแค่ว่าเราจะเอาชนะอีกฝ่ายอย่างใด มากกว่าการมุ่งมั่นพัฒนาตนเองจริงๆ
- การมุ่งแต่จะแก้แค้น อาจกระทบต่อความเป็นมืออาชีพของเราได้: เมื่อเราอคติกับใครสักคน ก็ย่อมมองอีกฝ่ายไม่เหมือนเดิม ในกรณีที่เรามองว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรูที่เราต้องเอาคืนให้ได้ไปแล้ว ก็อาจบ่มเพาะอคติในใจให้เรามองอีกฝ่ายแต่ในเชิงลบ เมื่อเราต้องทำงานร่วมกัน ก็จะทำได้ยาก จนอาจถูกคนอื่นในที่ทำงานมองว่าเราไม่เป็นมืออาชีพได้
- ไฟแค้นอาจทำให้เราตัดสินใจไม่รอบคอบ: เวลาที่เราถูกความโกรธหรือความแค้นครอบงำ นั่นหมายถึงเรากำลังปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล การตัดสินใจทั้งในเรื่องงานหรือเรื่องใดๆ ก็ตามที่เราจำเป็นต้องใช้การคิดวิเคราะห์ก็จะแย่ลง ซึ่งอาจสร้างความเสี่ยงในการทำงานผิดพลาด และกระทบต่อภาพรวมการทำงานของเราได้
- ความอยากแก้แค้นอาจทำลายความสัมพันธ์ในที่ทำงานได้: หากใครคิดว่า เราไม่สนใจอยู่แล้วว่าจะต้องร่วมงานกับอีกฝ่ายในอนาคตมั้ย แต่ครั้งนี้ขอเอาชนะให้ได้ก่อน ก็อย่าลืมนึกถึงเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ที่ต้องตกอยู่ภายใต้สถานการณ์อันแสนตึงเครียดนี้ด้วยเช่นกัน เพราะเมื่อเพื่อนร่วมงานรับรู้ถึงบรรยากาศมาคุในที่ทำงาน ก็อาจทำให้ไม่มีกล้าเข้าหาหรืออยากทำงานกับเรา กระทบต่อความสัมพันธ์ของเรากับเพื่อนร่วมงานคนอื่นอีกต่อหนึ่งด้วย
ท้ายสุดแล้ว ความแค้นก็เหมือนอีกหลากหลายอารมณ์ ความรู้สึกของมนุษย์ มีทั้งด้านดีและด้านลบ หากใช้มันอย่างถูกต้องมันก็จะช่วยเราได้ แต่ถ้าใช้อย่างไม่ระมัดระวัง อารมณ์ความรู้สึกเหล่านั้นก็อาจย้อนกลับมาสร้างผลกระทบต่อตัวเราได้เช่นกัน
แล้วทุกคนมีใครในที่ทำงานที่อยากเอาชนะบ้างหรือเปล่า? ถ้ามีก็อย่าลืมใช้ไฟแค้นนี้กันอย่างพอดี ไม่ให้มันวกกลับมาทำร้ายตัวเราด้วยนะ
อ้างอิงจาก