งานเดิม วิธีการเดิม ทำเหมือนเดิมทุกวันอยู่อย่างนั้น
ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ความน่าตื่นเต้นของการทำงานค่อยๆ หายไป สิ่งใหม่ๆ ที่เคยเรียนรู้ตอนเริ่มงาน กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา ทุกขั้นตอนของงานเราจำได้ขึ้นใจ ไม่มีตกหล่น เหมือนมีโหมดออโต้ไพล็อตของตัวเอง ถ้าทำตามแผนที่วางไว้ก็มั่นใจได้เลยว่าไม่มีอะไรผิดพลาด งานวันนี้ก็แค่ทำเหมือนอย่างเมื่อวาน และตื่นขึ้นมาทำแบบเดิมในวันพรุ่งนี้อีกครั้ง
ช่วงแรกก็ฟังดูดีอยู่หรอก เพราะไม่ต้องรับมือกับปัญหาร้อยแปดพันอย่างให้ปวดหัว แต่นานวันเข้ากลับรู้สึกหมดแรงซะอย่างนั้น ทั้งที่งานไม่ได้หนักหนาอะไร แต่มองไปทางไหนก็ดูน่าเบื่อไปหมด แต่ละวันช่างผ่านไปอย่างราบเรียบ รู้ตัวอีกทีเราก็เอาแต่นั่งมองนาฬิการอนับถอยหลังให้ถึงเวลาเลิกงานไวๆ หรือใช้ชีวิตเพื่อรอคอยวันหยุดเท่านั้น
อาการที่ว่า จะว่าไปก็ดูเหมือนอาการของคน Burn-out ที่เรามักเข้าใจว่ามีสาเหตุมาจากการทำงานหนักภายใต้ความกดดันเป็นเวลานานๆ แต่ดูเหมือนสาเหตุขั้วตรงข้าม อย่างการทำงานที่ไม่ท้าทายก็เป็นที่มาของภาวะหมดไฟได้เช่นกัน โดยนักจิตวิทยาตั้งชื่อภาวะนี้ว่า ‘Rust-out’ ซึ่งเป็นอาการหมดไฟที่ทำให้หลายคนรู้สึกไม่ยึดโยงกับงานที่ทำอีกต่อไป
เรากำลังอยู่ในภาวะนี้หรือเปล่านะ วันนี้เราชวนมารู้จัก Rust-out กับการหมดไฟที่ไม่ได้มาจากการทำงานหนักให้มากขึ้น พร้อมวิธีรับมือถ้าเราตกอยู่ในภาวะนี้กัน

เพราะงานไม่ท้าทาย จึงทำให้หมดไฟ
หลายคนอาจคิดว่าอาการหมดไฟต้องมาจากการทำงานหนัก ต่อสู้กับเดดไลน์เป็นประจำ ดังนั้นเมื่อไหร่ที่เรารู้สึกเบื่อหน่ายกับงานทั้งที่ไม่ได้ยุ่งอะไร จึงมักคิดว่าเป็นความผิดของตัวเอง จนเกิดเป็นเสียงในหัวดังขึ้นบ่อยๆ ว่า เราเป็นคนขี้เกียจหรือเปล่า หรือเราไม่เหมาะกับงานนี้กันนะ
แต่ก่อนที่จะโบยตีตัวเอง เราอยากชวนมารู้จักกับภาวะ Rust-out กันสักนิด เพราะจริงๆ แล้วการที่เรารู้สึกหมดไฟ อาจมาจากการสภาพแวดล้อมการทำงานที่ไม่เหมาะกับเราได้เช่นกัน ภาวะ Rust-out คือการ burn out ประเภทหนึ่ง ซึ่งเกิดจากความเบื่อหน่ายจากงานซ้ำซาก เพราะไม่ได้ใช้ความสามารถหรือพรสวรรค์ของตัวเองในงาน รวมไปถึงขาดโอกาสในการเรียนรู้
คำนี้ถูกนิยามในปี 2019โดยนักจิตวิทยา พอลลา โคลส์ (Paula Coles) เพื่อเปรียบเทียบความเบื่อหน่ายจากการทำงานว่าเหมือนสนิมเกาะ เพราะสนิมไม่ได้เกิดขึ้นด้วยตัวมันเอง แต่เกิดจากการปล่อยทิ้งไว้โดยไม่เจ้าของไม่ดูแล เหมือนกับการทำงาน ที่ผู้นำหรือระบบองค์กรไม่ใส่ใจ มอบหมายงานที่มีคุณค่า จึงทำให้คนทำงานรู้สึกเบื่อหน่ายกับงานที่ทำ
ที่ผ่านมาเราอาจเคยคิดว่ายิ่งมีความเครียดน้อยเท่าไหร่ยิ่งดีเท่านั้นสิ แต่จริงๆ แล้ว ตามแนวคิดของ แดน ซีกัล (Dan Siegal) ศาสตราจารย์ด้านจิตเวชศาสตร์ ชี้ว่าทั้งการการถูกกระตุ้นให้ตื่นตัวมากเกินไป (Hyperarousal) หรือน้อยเกินไป (Hypoarousal) ก็ส่งผลต่อการใช้ชีวิตของมนุษย์ได้เช่นกัน โดยคนที่ถูกกระตุ้นให้ตื่นตัวมากเกินไป ส่วนใหญ่มักเกิดความเครียด วิตกกังวล จนถึงรู้สึกโกรธหรือเกลียดชัง ในขณะที่การไม่ถูกกระตุ้นเลยก็อาจทำให้เรารู้สึกขาดพลังงาน เฉื่อยชา หรือซึมเศร้าได้
ดังนั้นนอกจากการทำงานหนักเกินไปแล้ว การที่คนทำงานไม่รู้สึกท้าทายเลย ก็อาจทำให้เกิดความเครียด เพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า และกลายเป็นคนนอกของทีม ซึ่งบางครั้งอาจไม่เกี่ยวกับความขี้เกียจ หรือไม่อยากเรียกร้องของานเพิ่มนะ แต่ลองคิดดูว่าถ้าทุกครั้งที่เสนอวิธีใหม่ๆ แล้วถูกปัดตกซ้ำๆ งานสำคัญก็ไม่เคยได้รับมอบหมาย แถมยังต้องจมอยู่กับงานรูทีนที่วางมือไม่ได้ สุดท้ายเราก็เริ่มเรียนรู้ได้เองว่าการทำงานไปวันๆ อาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
นอกจากนี้การทำงานงานที่ไม่ท้าทาย ยังทำให้เรารู้สึกพอใจกับงานน้อยลงด้วย จากรายงานของ Gallup พบว่า ในปี 2024 การมีส่วนร่วมของพนักงานทั่วโลกลดลงเหลือเพียง 21% เท่านั้น ซึ่งเป็นสัญญาณที่น่าเป็นห่วงทั้งสำหรับคนทำงานและองค์กร เพราะการมีส่วนร่วมกับงานมีส่วนช่วยให้คุณภาพงานออกมาดี และทำให้พนักงานมีความสุข ความรู้สึกแปลกแยกต่องาน จึงสะท้อนถึงความเครียดที่เพิ่มขึ้น รวมถึงคุณภาพงานที่ลดลงไปด้วย
จึงไม่แปลกเลยหากเรารู้สึกเหนื่อยล้ากับงานที่ดูเผินๆ เหมือนไม่ได้หนักหนาอะไร เพราะการที่เราต้องใช้พลังงานไปกับงานที่เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีคุณค่าหรือมีความหมายกับใครบ้าง มันกัดกินความรู้สึกในใจเราไม่น้อยเลยนี่นา

รับมืออย่างไรในวันที่เบื่อกับงาน
สิ่งที่จะช่วยจุดประกายไฟในตัวเรา ในวันที่ไฟค่อยๆ มอดดับลง อาจไม่ใช่เงินเดือนสูงๆ เสมอไป เพราะแม้งานนั้นจะดีแค่ไหน แต่หากไม่ทำเรารู้สึกมีคุณค่า หรือไม่มีความสุขในการทำงาน สุดท้ายเราก็อาจหมดไฟได้อยู่ดี
ออเดรย์ ถัง (Audrey Tang) นักจิตวิทยาและผู้ประกาศข่าวเกี่ยวกับสุขภาพจิต อธิบายว่า สิ่งที่ช่วยให้เรารู้สึกพึงพอใจกับงานต้องประกอบไปด้วย ความสำเร็จ การได้รับการยอมรับ โอกาสเติบโต การพัฒนาทักษะ การได้มีความรับผิดชอบ และความเพลิดเพลินในงานที่ทำ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วการหมดไฟมักเกิดขึ้นเพราะขาดข้อใดข้อหนึ่งไป
ดังนั้นหากเรารู้สึกหมดไฟจากงานที่ไร้ความท้าทาย อาจลองทำตามวิธีเหล่านี้ เพราะให้เรากลับมามีไฟอีกครั้ง คือ
มองหาสิ่งที่เราให้คุณค่า: สาเหตุหนึ่งที่พบบ่อยที่ทำให้เรารู้สึกไม่มีความสุขกับงานคือ งานที่ทำไม่ได้สะท้อนคุณค่าตัวเอง แต่ละคนต่างก็มีสิ่งที่ให้ความสำคัญไม่เหมือนกัน ซึ่งทำให้มีวิธีการทำงานต่างกันไปด้วย ดังนั้นการรู้ว่าตัวเองให้คุณค่ากับอะไรมากที่สุด จะช่วยให้เราจัดลำดับความสำคัญและโฟกัสกับงานได้ง่ายขึ้น เราอาจลองนึกถึงสิ่งที่เราภูมิใจ หรือเติมเต็มชีวิตการทำงานที่ผ่านมา เช่น เราอาจเป็นคนให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ ก็อาจจะเลือกทำงานที่ได้ติดต่อกับผู้คนมากขึ้น มากกว่าการทำงานคนเดียวโดยไม่สุงสิงกับใคร

หาสิ่งที่เราหลงใหล: มีทักษะพิเศษหรือจุดแข็งอะไรที่เรายังไม่ได้ใช้ในงานบ้างไหม เพราะการถูกมองข้ามทักษะความสามารถเฉพาะตัวไป ก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เราเบื่อหน่ายกับการทำงานได้เช่นกัน ดังนั้นอย่าลืมหาโอกาสใส่ความสามารถเข้าไปในงานเท่าที่ทำได้ เช่น หากเราเป็นคนถนัดด้านศิลปะ ก็อาจลองใช้ความรู้เรื่องคู่สี เข้าไปในรายงานเพื่อให้อ่านง่าย ซึ่งนอกจากทำให้เราได้ใช้จุดแข็งของตัวเองแล้ว ยังทำให้งานโดดเด่นไม่เหมือนใครด้วย อย่างไรก็ตาม ต้องเป็นความสามารถที่ไม่ได้ใช้ความพยายามมากเกินไป เพื่อไม่ให้เราเครียดมากเกินไปด้วยนะ
ซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเอง: สุดท้ายหากเนื้องานที่เราทำมีกฎระเบียบที่เคร่งครัด จนไม่สามารถใส่ความเป็นตัวเองได้ หรือไม่มีโอกาสได้แสดงความสามารถของตัวเองมากพอ ก็อาจลองพูดคุยกับหัวหน้าอย่างตรงไปตรงมาและสุภาพ พร้อมทั้งเล่าถึงสิ่งที่เราอยากทำ หรืออยากเรียนรู้มากขึ้น เพื่อขอให้เขาปรับหรือเพิ่มเนื้องานที่เข้ากับเรามากที่สุด
ท้ายที่สุดหากงานที่ทำอยู่ไม่ทำให้เรารู้สึกมีคุณค่า การมองหาที่ใหม่ก็อาจเป็นทางเลือกที่ดีก็ได้ เพราะการทำงานเป็นส่วนสำคัญในชีวิต การรับรู้ว่างานที่เรามีความหมายก็จะช่วยให้เรารู้สึกสนุกกับงานมากขึ้นนะ
อ้างอิงจาก