เราอยู่ในยุคที่ไม่จำเป็นต้องหาคำตอบอีกต่อไปว่า อินเทอร์เน็ตมีผลต่อชีวิตของเราหรือไม่ ประเด็นที่น่าสนใจกว่าคือ อินเทอร์เน็ตกำลังพาพวกเราไปสู่สังคมในรูปแบบไหน
แน่นอนว่าอินเทอร์เน็ตช่วยเพิ่ม ‘ความเป็นไปได้ใหม่ๆ’ ให้กับสังคมของเราได้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อสื่อสารที่รวดเร็ว ทำลายพรมแดนของรัฐ เราสามารถเชื่อมต่อกับโลกได้ด้วยเพียงการคลิกเพียงไม่กี่ครั้ง หรือแม้แต่การขับเคลื่อนประเด็นทางสังคมที่ทำได้ง่ายมากขึ้น และไม่จำเป็นต้องลุกออกไปเดินขบวนบนท้องถนนก็ได้ หากแต่มันสามารถเริ่มต้นได้จากมุมคอมพิวเตอร์เล็กๆ ในห้องนอนของใครซักคน
ยังมีอีกหลายครั้งที่การเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ เกิดขึ้นจากพลังของอินเทอร์เน็ตที่เข้าไป Empower ให้กับคนตัวเล็กตัวน้อย และผู้ซึ่งไม่เคยสิทธิมีเสียงมาก่อน ตัวอย่างที่ถูกนำมาศึกษากันบ่อยๆ คือกรณีปรากฏการณ์ Arab Spring ที่ผู้คนใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางกระจายข่าวสาร นัดรวมตัว และถ่ายทอดเรื่องราว จนส่งผลให้กระแสการต่อต้านรัฐบาลถูกจุดติดขึ้นมาได้อย่างกว้างขวาง
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางการเติบโตของโซเชียลมีเดีย ก็มีเรื่องที่น่ากังวลอยู่ไม่น้อย หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า สิ่งเหล่านี้สามารถยกระดับให้โลกของเราดีขึ้นกว่าเดิมได้จริงหรือ
สอดส่องและควบคุมโดยรัฐ: เดินหน้าสู่โลกยุค Cyber Dystopia
Evgeny Morozov นักคิดและนักวิจัยชาวเบลารุส ผู้เขียนหนังสือ ‘The Net Delusion’ เลือกที่จะเชื่อว่า โลกของเรากำลังเดินเข้าสู่โลกที่เรียกว่ายุค Cyber Dystopia ที่เทคโนโลยีการสื่อสารและโซเชียลมีเดีย อาจไม่นำไปสู่สังคมที่ดีขึ้นเสมอไป รัฐบาล (โดยเฉพาะรัฐบาลอำนาจนิยม) ในหลายประเทศมักใช้เหตุผลด้านความมั่นคงมาเพิ่มความเข้มข้นในการสอดส่องควบคุมการใช้อินเทอร์เน็ต และโซเชียลมีเดียของประชาชน เขาเป็นกังวลว่าอินเทอร์เน็ตกำลังกลายเป็นพื้นที่ของการกดปราบความคิดเห็น ซึ่งทำให้อินเทอร์เน็ตกลายเป็นอุปสรรคต่อกระบวนการสร้างประชาธิปไตยเสียเอง
ดูเหมือนว่าความวิตกกังวลนี้ของ Morozov จะสอดคล้องกับสถานการณ์ของอินเทอร์เน็ตโลก เมื่อปี 2016 องค์กรพัฒนาเอกชนอย่าง Freedom House ได้เปิดเผยผลสำรวจว่า ภาพรวมของอินเทอร์เน็ตทั่วโลกได้ลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 6 ปีแล้ว โดยประเด็นที่ถูกเซ็นเซอร์มากที่สุด คือการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล รวมถึงยังพบการเข้าไปสอดส่องพฤติกรรมของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่เชื่อว่ามีความคิดเห็นแบบสุดโต่ง นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลด้วยว่า การจำกัดเสรีภาพบนโลกอินเทอร์เน็ตก็ขยายวงกว้างมากขึ้น หลายรัฐบาลกำลังพุ่งเป้าตรวจสอบแอพพลิเคชั่นสนทนา เช่น Whatsapp และ Telegram ขณะที่โซเชียลมีเดียที่ได้ยอดนิยมอย่าง Facebook และ Twitter ก็ถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ
ความคิด ความเชื่อ รสนิยม กำลังถูกกำหนดโดย Algorithms
นวนิยายและภาพยนตร์แนว Dystopia จำนวนไม่น้อย ได้สะท้อนด้านมืดของเทคโนโลยีที่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิด รสนิยม ตลอดจนอุดมการณ์ของผู้คนอย่างรุนแรงจนกลายเป็นวิกฤตด้านตัวตน (Identity crisis) ในแง่หนึ่ง มันยังเป็นการสั่นคลอนความเชื่อที่ว่า มนุษย์เรามีเจตจำนงอันเสรีที่สามารถกำหนดรูปแบบของชีวิตได้ด้วยตัวเอง
ไม่นานมานี้มีงานวิจัยที่ค้นพบว่า ระบบ Algorithms ของ Facebook มีส่วนทำให้ผู้ใช้มีความคิด ‘คับแคบ’ ลงขึ้นเรื่อยๆ และสนใจเพียงแค่เรื่องที่สอดคล้องกับความเชื่อของตัวเองเท่านั้น สาเหตุมาจากระบบการเลือกเนื้อหาใน News Feed ที่เน้นนำเสนอเรื่องที่ผู้ใช้งานถูกใจเป็นหลัก การกดปุ่มไลก์หรือแชร์กลายเป็นเครื่องมือเพื่อตอกย้ำว่า ความเชื่อของเราเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว แถมยังช่วยสร้างความอุ่นใจด้วยว่า ยังมีคนที่เชื่อคล้ายๆ เราอีกมากมาย นักวิจัยตั้งชื่อปรากฏการณ์เช่นนี้ว่า ‘Echo Chamber’ หรือห้องที่มีแต่เสียงสะท้อนของตัวเอง
ที่น่าสนใจคือ ผลกระทบของ Echo Chamber ยังอาจนำไปสู่การปฏิเสธเสียงที่แตกต่างออกไปจากตัวเราเองมากขึ้น และมีแนวโน้มที่จะเห็นอกเห็นใจในคนที่คิดต่างออกไปน้อยลง สุดท้ายแล้วมันจึงกลายเป็นคำถามว่า โซเชียลมีเดียมีส่วนช่วยส่งเสริมความแตกต่างหลากหลายแค่ไหน? หรือแท้จริงแล้ว มันกำลังแบ่งแยกผู้คนออกจากกันอย่างรุนแรง?
Cyberbullying การรังแกบนพื้นที่ออนไลน์
ซีรีส์ Black Mirror (ตอน Hated in the Nation) และ 13 Reasons Why นับเป็นตัวอย่างที่สะท้อนถึงภาพของโลกยุค Cyber Dystopia ได้อย่างน่าสนใจ เมื่อเทคโนโลยีกลายเป็นเครื่องมือของการสร้างความเกลียดชัง และโซเชียลมีเดียมีบทบาทสำคัญต่อการเผยแพร่ Hate Speech ให้กระจายออกไปเป็นวงกว้าง เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นถูกนำไปใช้เพื่อล่าแม่มด
ถ้ามองย้อนกลับมาในความเป็นจริงแล้ว ผู้ที่การตกเป็นเป้าของ Cyberbullying ยังสามารถเปลี่ยนบทบาทกลายเป็นผู้เผยแพร่ความเกลียดชังบนโลกออนไลน์ เพื่อระบายความรู้สึกอัดอั้นตันใจของตัวเองออกไปด้วยเช่นกัน ดังนั้น เมื่อความเกลียดชังถูกผลิตซ้ำและกลายเป็นวงจรที่ทำงานไปเรื่อยๆ การกลั่นแกล้งกันบนโลกของอินเทอร์เน็ตจึงยากที่จะหาจุดจบได้โดยง่าย