หากคุณกำลังอ่านบทความนี้อยู่ นั่นอาจเป็นเพราะอัลกอริทึมนำพาให้เรามาเจอกันก็ได้
ข่าว โฆษณา สินค้าในแพล็ตฟอร์มออนไลน์ช้อปปิ้ง คลิปสั้นขำขัน หรือแม้แต่รูปของใครสักคนจากอีกมุมโลก มาปรากฎให้เราเห็นได้ ด้วยการทำงานของโลกแห่งอัลกอริทึม ชุดคำสั่งที่ถูกออกแบบมาเพื่อประมวลผลข้อมูล เพื่อจัดอันดับผลลัพธ์ในการแนะนำเนื้อหา หรือปรับเปลี่ยนไปตามประสบการณ์ ให้เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละบุคคล
จนเราอาจเริ่มรู้สึกว่า เราเลือกอะไรเองน้อยลงทุกวัน เพลงที่ฟัง หนังที่ดู แม้แต่ไอ้หมาเด็ก สาวแมวดำที่กำลังคุยในแอปฯ หาคู่ ก็อาจเป็นสิ่งที่อัลกอริทึมจัดแจงให้เสร็จสรรพ นั่นแปลว่าตัวเลือกที่เราคิดว่าเราเลือกด้วยตัวเองแล้ว มันกลับเป็นตัวเลือกที่ถูกเลือกมาแล้วว่าเหมาะกับเราอีกขั้นหนึ่ง โดยที่เรายังไม่ทันได้คิดด้วยซ้ำว่าอยากเลือกตัวเลือกเหล่านั้นจริงๆ ไหม
นั่นอาจเพราะอัลกอริทึมรู้จักเราทุกย่างก้าว อิงแอบกับเราแทบทุกเวลา รู้ว่าเราจะกดดูอะไรตอนห้าทุ่ม รู้ว่าเราสั่งเมนูไหนบ่อยในตอนเช้า รู้จักกระทั่งเพื่อนวัยเด็กที่ไม่ได้ติดต่อกันมานาน ถ้าเป็นแบบนี้เราจะยังนับว่าเรามีเสรีภาพได้อยู่หรือเปล่า
The MATTER ชวนมาสำรวจเรื่องเสรีภาพในโลกที่ถูกขับเคลื่อนด้วยอัลกอริทึมในแง่มุมทางปรัชญา กับ ผู้ช่วยศาสตราจารย์คงกฤช ไตรยวงค์ อาจารย์ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร

เสรีภาพและเจตจำนงเสรี
ก่อนเราจะไปทำความเข้าใจเสรีภาพของเราในโลกยุคดิจิทัลนี้ เราอาจจะต้องปูพื้นฐานด้วยการทำความเข้าใจสองสิ่งสำคัญในบทความนี้เสียก่อน
ทั้งเสรีภาพและเจตจำนงเสรี หากมองเผินๆ อาจเห็นว่ามันเป็นเรื่องของอิสระคล้ายกัน แต่มันมีความต่างกันอยู่ไม่น้อย แต่หากจะลงลึกถึงเนื้อหาในส่วนนี้ทั้งหมดอาจไม่มีพื้นที่ให้เราได้พูดคุยกันในประเด็นข้างต้นที่ตั้งใจ เลยขออธิบายในระดับเบื้องต้น ให้พอเห็นภาพและความแตกต่าง
เจตจำนงเสรี (Free Will) คือ ความสามารถที่เราจะเลือกทำสิ่งหนึ่งหรือไม่ทำสิ่งนั้น โดยอิสระจากปัจจัยภายนอก ส่วนเสรีภาพ (Freedom) คือ การมีอิสระในการกระทำโดยไม่ถูกจำกัดหรือบีบบังคับจากสิ่งภายนอก
พูดเฉยๆ แบบนี้แล้วก็อาจจะยังนึกไม่ออก งั้นเราลองมานึกตามถึงวันทำงานของชาวออฟฟิศกันดีกว่า ในตอนทำงาน เราอาจต้องเจอกับกฎต่างๆ ของบริษัท แต่ช่วงพักกลางวัน เรามีเสรีภาพที่จะกินอะไรเป็นมื้อกลางวันก็ได้ และเราเลือกจะกินข้าวตามสั่งร้านประจำ เมนูเดิมๆ เหมือนทุกวันด้วยเจตจำนงเสรีของเรา แบบนี้แล้วอาจพอให้เห็นภาพมากขึ้น ว่าทั้งสองมีความแตกต่างกันอย่างไร
แม้เรื่องของเจตจำนงเสรี การเลือกทำอะไรตามใจอยาก ออกจะเป็นเรื่องที่มนุษย์มีประสบการณ์กับมันมาแต่ไหนแต่ไร แสดงว่ารากฐานของแนวคิดนี้มันเก่าแก่ไม่ใช่น้อย แต่เปล่าเลย มันกลับเป็นสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นในสมัยใหม่นี้ต่างหาก อาจารย์คงกฤชอธิบายว่า
“ก่อนหน้านั้น มนุษย์เราไม่ได้ถือว่าตัวเองเป็นปัจเจกที่แยกออกมาจากสังคมหรือชุมชน
แล้วสามารถที่จะตัดสินใจที่จะทำอะไรบางอย่างด้วยเหตุผลของตัวเอง แบบที่คนสมัยใหม่เป็น
ในสมัยกรีก คนก็จะอยู่ภายใต้ระเบียบของจักรวาลหรือ Cosmos ในแบบเดียวกัน
ดังนั้นปัจเจกไม่ได้มีความสำคัญเหมือนกับที่เราคิดว่าเราเข้าใจคนในปัจจุบัน”
ขยับมาที่ยุคของนักปรัชญาสโตอิก ริเริ่มรากฐานแนวคิดเกี่ยวกับเจตจำนงเสรี พูดถึงมันในแง่ของความสามารถในการคิด ความสามารถในการกำกับชีวิตตัวเองให้ไปตามความคิดของตัวเอง เป็นเหมือนสมรรถภาพอย่างหนึ่งของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่มันเกิดขึ้นมาในช่วงสมัยใหม่นักปรัชญายุคนี้บางคนมองว่าเจตจำนง (will) เป็นมโนภาพที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด (innate idea) อย่างเช่นเรอเน เดส์การ์ตส์ (René Descartes) นักปรัชญาเหตุผลนิยมชาวฝรั่งเศส เจ้าของประโยคคุ้นหู “ฉันคิด ฉันจึงมีอยู่” (I think, threfore I am.) หรือ จอห์น ล็อค (John Locke) นักปรัชญาสายประสบการณ์นิยมชาวอังกฤษเห็นว่า ไม่ต้องใช้มโนภาพติดตัวแต่เกิด ก็สามารถสาธิตโดยใช้ประสบการณ์ได้ว่า มนุษย์มีเจตจำนงเสรี เช่น มนุษย์มีอำนาจที่จะคิดหรือไม่คิด ทำหรือไม่ทำเรื่องอะไรได้ เรียกว่าการกระทำนั้นมาจากเจตจำนงเสรี แต่เราเราถูกจับไปขับร่วมกับคนอีกคนหนึ่งแล้วเราเริ่มคุยกับเขา การชวนคุยเป็นการทำโดยสมัครใจ (voluntary) แต่ไม่เรียกว่าเราทำจากเสรีภาพ เพราะเราเลือกเดินออกจากห้องขังไม่ได้
ในปรัชญาสมัยใหม่เอง ก็ไม่ได้มองว่ามนุษย์มีเจตจำนงเสรีกันเสียทั้งหมด บารุค สปิโนซา (Baruch Spinoza) มองว่าธรรมชาติกับพระเจ้าคือสิ่งเดียวกัน มีความหมายเดียวกัน ดังนั้น มนุษย์เราไม่ได้มีเจตจำนงเสรี แต่มีอิสรภาพ อิสระจากความผูกมัดของอารมณ์ เพราะมนุษย์เราอยู่ภายใต้กฎของธรรมชาติหรือพระเจ้า
เจตจำนงเสรีอาจเป็นอิสระที่เพิ่งสร้าง แต่เสรีภาพเป็นแนวคิดที่มีมานานและตัวความหมายของมันเองก็หลากหลาย ฝั่งนั้นก็มองไว้แบบนั้น ฝั่งนี้ก็มองไว้แบบนี้ อาจารย์คงกฤชจึงหยิบเอามุมมองที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เราพูดถึงในบทความนี้โดยตรง เป็นแนวคิดของ ไอซา เบอร์ลิน (Isaiah Berlin) นักปรัชญาที่มองว่าเสรีภาพ อาจจะแบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ เสรีภาพเชิงลบ (Negative Freedom) คือ การที่เราไม่ถูกขัดขวาง ไม่ถูกบังคับ จากภายนอก และเสรีภาพเชิงบวก (Positive Liberty) คือการที่เราสามารถเป็นเจ้าของชีวิตของตัวเองได้จริง
ทีนี้ เมื่อทำความเข้าใจความต่างของทั้งสองแนวคิดแล้ว หลังจากนี้ เราจะพูดถึงเสรีภาพในโลกดิจิทัล ว่าเรากำลังมีอิสระในการตัดสินใจมากน้อยแค่ไหนกัน
นักสอดแนมในนามอัลกอริธึม
อัลกอริธึมที่แสนรู้ใจเรา จริงๆ แล้วมันเป็นเพื่อนซี้ที่คอยแนะนำนั่นนี่ให้ หรือเป็นนักสอดแนมแห่งโลกทุนนิยมกันแน่ คำถามสำคัญในงานเขียนของ โซชานา ซูบอฟฟ์ (Shoshana Zuboff) ทุนนิยมสอดแนม (The Age of Surveillance Capitalism) หนังสือว่าด้วยเรื่องราวของทุนใหญ่รอบโลก ที่กำลังครอบงำชีวิตเราอยู่หลังม่านเทคโนโลยี นักปรัชญาในยุคนี้หลายคนก็มองไปในทิศทางเดียวกัน
อย่าง บยองชูลฮาน (Byung ChulHan) นักปรัชญาเยอรมันเชื่อสายเกาหลี บอกว่าสังคมในศตวรรษที่ 21 คือสังคมที่โปร่งใส (Transparency Society) เป็นสังคมที่เราเปิดเผยตัวเรา ผ่านการแชร์ข้อมูลลงในโซเชียลมีเดีย และตัวเทคโนโลยีเองก็สอดส่องเข้ามาในชีวิตประจำวันด้วยเช่นกัน พอเราอยู่ในสังคมของความโปร่งใสมากๆ เข้า จนรู้สึกเหมือนถูกจับจ้องตลอดเวลา เราเลยต้องพยายามสร้างตัวตนของเราขึ้นมา ราวกับว่ามันเป็นตัวตนที่แท้จริงของเรา แต่ภาพที่เรานำเสนอไป มันเป็นเหมือนจุดขายให้คนสนใจมากกว่า เวลาถูกจับจ้องมากๆ จะนำไปสู่อาการเหนื่อยล้า (burn out) ได้เหมือนกัน ยิ่งในสังคมทุนนิยมศตวรรษที่ 21 ฮานเรียกว่า สังคมแห่งความสำเร็จ (achievement society) คนยิ่งบ้างาน ยิ่งเกิดอาการเหนื่อยล้า
“เราอาจสงสัยว่า เรามีเสรีภาพในการเลือกว่าเราจะแชร์หรือไม่แชร์อะไรใช่ไหม แต่จริงๆ มันไม่ใช่อย่างนั้น เพราะว่าสำหรับบยองชูลฮาน มองว่าเทคโนโลยีดิจิทัลมันทำให้เราขูดรีดตัวเราเอง เพื่อสิ่งที่เรียกว่าความสำเร็จ ยิ่งมีโซเชียลมีเดีย ยิ่งเป็นตัวกระตุ้น อย่างที่เรามักจะเห็นผู้คนโพสต์แต่เรื่องราวควมสำเร็จลงในโซเชียลมีเดีย ในยุคสมัยแบบนี้ มันทำให้เกิดพวกคนขี้แพ้ (the losers) เพราะมันบอกว่า คนทำได้ เหมือนโฆษณารองเท้ายี่ห้อหนึ่ง แต่จริงๆ คุณทำไม่ได้ไง นี่คืออำนาจกดขี่ที่แฝงตัวมาอย่างแยบยลมาก เพราะมันทำให้เรารู้สึกว่าตัวเราเองมีเสรีภาพ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ ถ้ามองจากแง่มุมเสรีภาพเชิงบวกแบบที่ไอซา เบอร์ลินว่า อัลกอริทึมมันไม่ได้ทำให้เรามีเสรีภาพที่จะเติมเต็มชีวิตเราได้เองจริงๆ ”

พวกนักปรัชญาเยอรมันมักจะกังขากับมวลชน (mass) ที่คิดเหมือนๆ กัน เพราะเขามีบาดแผลทางประวัติศาสตร์ในช่วงที่นาซีเถลิงอำนาจ ประกอบกับทุนนิยมอุตสาหกรรมที่เฟื่องฟู นักปรัชญาเยอรมันร่วมสมัยอย่างโรเบอร์โต ซิมานอฟกี (Roberto Simanowski) พาเราย้อนกลับไปหานักปรัชญายุคแสงสว่างแห่งปัญญา (Enlightenment) ของเยอรมันในศตวรรษที่ 18 คือ อิมมานูเอล ค้านท์ (Immanuel Kant) มองว่าสิ่งล้ำค่าที่สุดของมนุษย์ก็คือความเป็นอิสระ (autonomy) เราสามารถคิดได้ด้วยเหตุผลของตนเอง ซึ่งเท่ากับว่ามนุษย์มีเสรีภาพ ซิมานอฟกีจึงมองว่าในยุคดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) เรายกสิ่งสำคัญที่สุดของมนุษย์ให้กับเครื่องจักร ในกรณีนี้คืออัลกอริทึม เรายกการคิดด้วยเหตุผลของตัวเอง แล้วหันไปให้อัลกอริทึมคิดแทนให้
ตัวอย่างที่ปรากฏให้เราเห็นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ อย่างกรณีรถไร้คนขับ สมมติว่าเกิดอุบัติเหตุขึ้น อัลกอริทึมของรถไร้คนขับจำเป็นต้องตัดสินใจเลือกว่าจะพุ่งชนผู้คนที่อยู่ข้างถนน มันจะเลือกพุ่งชนใครระหว่าง อดีตอาชญากร เด็ก หรือคนชรา
แน่นอนว่าอัลกอริทึมน่าจะถูกให้คำนวณถึงประโยชน์ของผู้ใช้เป็นหลัก คิดถึงความปลอดภัยของคนในรถเป็นอันดับแรก คำถามก็คือ ถ้าเกิดอุบัติเหตุอย่างที่ว่ามา ใครที่จะต้องเป็นคนรับผิดชอบ
ซิมานอฟสกีเรียกการตั้งคำถามแบบนี้ว่า การทำให้เทคโนโลยีเป็นประเด็นปัญหาทางปรัชญา (philosophizing technology) หรือการทำให้เทคโนโลยีกลายเป็นประเด็นหาทางจริยศาสตร์ (ethicizing technology) ซึ่งก็คือ การตอบคำถามว่า กรณีรถไร้คนขับข้างต้น ใครเป็นคนรับผิดชอบ อาจารย์คงกฤชเห็นว่า ท่าทีของของซิมนอฟสกีชี้ว่า บริษัทยักษ์ใหญ่ที่ผลิตรถยนตร์ไร้คนขับคือคนที่ต้องรับผิดชอบ เขาถึงกับเรียกรณีแบบนี้ว่า ‘อัลกอริทึมมรณะ’ (the death algorithm) แล้วตั้งเป็นชื่อหนังสือของเขาด้วยซ้ำไป
จุดยืนของนักปรัชญาร่วมสมัยที่สนใจเรื่องปัญญาประดิษฐ์กับโรบ็อท (Robot) อย่าง มาร์ค โคเคลเบิร์ก (Mark Coeckelbergh) ก็ชี้ไปในทิศทางเดียวกัน คือการตั้งคำถาม งานชิ้นหนึ่งเขาบอกว่า มนุษย์เราดูเหมือนมีทางเลือก แต่จริงๆ แล้วมันคือ สถาปัตยกรรมทางเลือก (choice architecture) ที่ Algorithm มันจัดวางไว้ให้เราเรียบร้อย
“ทางเลือกที่ถูกออกแบบไว้แล้วมันก็ไม่ต่างอะไรกับการครอบงำอย่างหนึ่ง”
ถ้ากลับไปที่แนวคิดของไอซา เบอร์ลิน อัลกอริทึมเข้ามาครอบงำมนุษย์ เท่ากับมันทำให้เราขาดเสรีภาพเชิงลบ ขณะเดียวกัน อัลกอริทึมก็ดูเหมือนจะไม่ได้ทำให้เรามีเสรีภาพเชิงบวก หรือการใช้ชีวิตอย่างอิสระ อย่างที่อยากจะเป็น ถึงตรงนี้แล้ว เราอาจเห็นพ้องต้องกันอยู่บ้างว่า อัลกอริทึมเข้ามามีส่วนในการตัดสินใจของชีวิตเราจริงๆ อย่างน้อยก็เป็นคนจัดแจงตัวเลือกที่เรากำลังจะเลือกอีกในทุกก้าว แล้วคำถามที่ตามมา การที่มีอัลกอริทึมคอยช่วยตัดสินใจ ช่วยคัดกรองตัวเลือกให้ มันไม่ดีอย่างไร?
ในมุมหนึ่ง เราอาจจะเห็นถึงข้อดีมากมายของมัน ดีแค่ไหนที่เราไม่ต้องจมอยู่ในทะเลตัวเลือก ไม่ต้องเลื่อนหาของถูกใจจนมือหงิก เพราะมีโฆษณาสินค้าตรงใจเสิร์ฟถึงที่ทุกช่วงแคมเปญช้อปปิ้งออนไลน์ อยากพบเจอใครสักคน คนนั้นก็มีไลฟ์สไตล์เดียวกัน คิดเหมือนกัน ชอบเหมือนกัน ทำอะไรเหมือนกัน ความสะดวกเหล่านี้มันจะกลายเป็นข้อเสียได้ยังไงกัน
หากจะบอกว่าสิ่งที่เราเสียไปคือความเป็นอื่นล่ะ บยองชูลฮาน มองว่าหากเราอยากจะเติบโต เรามักจะเติบโตจากการเรียนรู้สิ่งอื่นๆ หากเราเจอแต่คนที่คิดเหมือนเรา เราไม่มีทางที่จะเติบโตได้ อาจารย์คงกฤชอธิบายเพิ่มเติมว่า
“กลายเป็นว่าในสังคมดิจิทัลมันตอกย้ำ ให้เราเรียกร้องสิ่งที่เรียกว่าความพึงพอใจ แล้วก็เป็นความพึงพอใจแค่ชั่วขณะ เราพอใจที่เราได้เจอสิ่งที่เหมือนกับเรา ดังนั้นมันก็ไม่ได้ทำให้เราเติบโตหรืองอกงามไปในแนวทางชีวิตที่เราอาจจะคิดว่าเป็นสิ่งที่เราต้องการ”
ซิมานอฟกี้เองก็มองว่าอัลกอริธึ มันทําให้เราไม่ได้เจอสิ่งอื่น อย่างในเมืองใหญ่ (metropolis) ที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมสูงมาก แต่เรากลับใช้ชีวิตติดจอ กลายเป็นซอมบี้สมาร์ตโฟน (samrt phone zombies) ที่เดินก้มหน้าอย่างไร้วิญญาณอยู่อย่างนั้น ไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างเท่าที่ควร จนขาดโอกาสในการเรียนรู้ความแตกต่างหลากหลายที่ควรจะได้ประสบพบเจอ หรือกระทั่งพลาดโอกาสในการเจอเนื้อคู่

หรือเราต้องเอาชนะอัลกอริทึม
เทคโนโลยีนี้มันอะไรกัน เหมือนจะเกิดมาเพื่ออำนวยความสะดวกให้เรา แต่ไปๆ มาๆ AI ก็จะแย่งงานมนุษย์ อัลกอริทึมก็คอยสอดส่องใกล้ชิดทุกฝีก้าว หากเราไม่อยากใช้ชีวิตโดยมีเทคโนโลยีเหล่านี้มาครอบงำ แปลว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องลุกขึ้นมาเอาชนะพวกมันหรือเปล่า?
หากไปถาม มาร์ติน ไฮเดกเกอร์ (Martin Heidegger) เขาอาจจะบอกว่าคุณต้องกลับไปคิดดูใหม่ เพราะถ้าเราจะถามถึงความสัมพันธ์ที่เป็นอิสระจากเทคโนโลยีได้ เราจะต้องเข้าใจสารัตถะ (essence) ของมันเสียก่อน
เรามักจะคิดว่า ถ้าเราใช้เทคโนโลยีอย่างถูกต้องมันก็ไม่จะเกิดปัญหาอะไร แต่ไฮเดกเกอร์มองว่าคิดแบบนี้เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน สารัตถะของเทคโนโลยีคือสิ่งที่ทำให้เทคโนโลยีเป็นตัวมันเอง แต่สารัตถะที่ว่านี้ไม่ได้เกี่ยวกับอะไรกับเทคโนโลยีเลย ไม่ใช่เครื่องบิน สมาร์ตโฟน หรืออัลกอริทึมที่เรากำลังคุยกันอยู่นี้
ไฮเดกเกอร์เห็นว่าความเข้าใจผิดดังกล่าวเกิดจากการที่เรามองว่า เทคโนโลยีคืออุปกรณ์ที่เราใช้ทำอะไรบางอย่างเพื่ออะไรบางอย่าง (means to an end) และคิดว่าเป็นการกระทำของมนุษย์ นั่นคือมนุษย์ประดิษฐ์และใช้งานเทคโนโลยี เราจึงคิดว่าตัวเองเป็นนายเหนือเทคโนโยีได้
แท้จริงแล้ว สารัตถะของเทคโนโลยีคือการเปิดเผยตัวมันเองออกมา (revealing) เช่น กังหันลม เป็นเทคโนโลยีแบบดั้งเดิม ปรากฏตัวออกมาในยุคสมัยหนึ่งของสังคมยุโรป หรือเขื่อนกั้นแม่น้ำไรน์เทคโนโลยีสมัยใหม่ ทั้งสองอย่างนี้เป็นการเปิดเผยของเทคโนโลยี สิ่งที่แตกต่างกันคือ กังหันลมไม่ได้กักกั้นลมไว้ แต่ปล่อยให้สายลมพัดไปตามทิศทางของมัน แต่เขื่อนกั้นแม่น้ำไรน์กักน้ำเอาไว้ทั้งสาย เพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้ากระจายไปตามศูนย์เก็บพลังงาน
ไฮเดกเกอร์เรียกการเปิดเผยของเทคโนโลยีสมัยใหม่ว่าเป็นการท้าทาย (challenging) หรือรีดเค้นพลังงานออกมาจากธรรมชาติ มองธรรมชาติเป็นแค่ทรัพยากร (standing-reserve หรือ Bestand ในภาษาเยอรมัน) สารัตถะของเทคโนโลยีสมัยใหม่ก็คือการจัดวางกรอบ (Enframing หรือ Gestell ในภาษาเยอรมัน) มันทำให้มนุษย์มองทุกอย่างเป็นทรัพยากร เช่น อุตสาหกรรมป่าไม้มันทำให้ต้นไม้ป่าไม้เป็นทรัพยากร อุตสาหกรรมเกษตรทำให้ผืนดินเป็นทรัพยากร ที่เราไปรีดเร้นผลผลิตจากมัน
อาจารย์คงกฤชอธิบายต่อไปอีกว่า จุดนี้เองที่เป็นอันตรายของเทคโนโลยีสมัยใหม่ ไม่ใช่ระเบิดนิวเคลียร์หรือมลภาวะต่างๆ ที่เกิดจากเทคโนโลยี แต่เกิดจากสิ่งที่อยู่ลึกลงไปก็คือการที่เรามองว่าสิ่งต่างๆ เป็นทรัพยากรพร้อมใช้ เป็นแหล่งพลังงาน
“สุดทางของมันก็คือการมองว่ามนุษย์เป็นทรัพยากรมนุษย์ มันทำให้คนสูญเสียลักษณะเฉพาะตัวองแต่ละคน อย่างพนักงานร้านสะดวกซื้อที่สามารถหาคนใหม่มาแทนที่ได้ทันที”
สารัตถะของเทคโนโลยีก่อตัวมาก่อนตัวเทคโนโลยีจะเกิดซะอีก เหมือนอย่างการซื้อของออนไลน์ ที่จริงก็มีมาก่อนหน้านี้นานแล้ว แต่เนื่องจากสมัยก่อนเราจะต้องเปิดคอมพิวเตอร์เข้าอินเทอร์เน็ต ถึงจะสั่งซื้อของออนไลน์ได้ เมื่อมีสมาร์ตโฟนและการปฏิวัติเทคโนโลยีดิจิทัล จึงมีแพล็ตฟอร์มออนไลน์ปรากฏขึ้นมาเป็นดอกเห็ด สิ่งเหล่านี้ถูกปูพื้นไว้ก่อนแล้วโดยวิทยาศาสตร์
ปัญหาก็คือ ถ้าเราเข้าใจเทคโนโลยีว่าเป็นอุปกรณ์ และเป็นสิ่งที่มนุษย์ทำและใช้ เราจะคิดว่าเรามีเจตจำนงเสรีที่จะเลือกใช้มันแบบไหนก็ได้ แต่แท้จริงแล้วนั่นกลับเป็นมายาภาพ ที่ก่อให้เกิดปัญหาตามมาอีกเป็นพรวน
ลองย้อนกลับไปที่คำถามตั้งต้นของเรา อัลกอริทึมลดทอนเจตจำนงเสรีหรือเสรีภาพของเราหรือเปล่า มองข้ามบ่าไฮเดกเกอร์ คำตอบก็คงจะเป็นทำนองว่า แน่ล่ะ มันไม่ได้ทำให้มนุษย์ได้เติมเต็มศักยภาพตัวเอง ซึ่งเป็นเสรีภาพเชิงบวก เช่น แต่เดิมคนเราคงสามารถเล่นดนตรีกล่อมตัวเองเป็น แต่ทุกวันนี้เข้าแพล็ตฟอร์มดิจิทัลอย่าง YouTube, Spotify ก็มีเพลงให้ฟังจนฟังไม่หวาดไม่ไหว
แล้วเจตจำนงเสรียิ่งแล้วใหญ่ อาจเป็นตัวปัญหาเลยด้วยซ้ำ ตรงที่มันอาจเป็นมายาภาพที่ทำให้มนุษย์คิดว่าตัวเองเป็นนายเหนือเทคโนโลยีและธรรมชาติ คิดว่าเรามีเจตจำนงเสรีแล้ว แปลว่าเราต้องเป็นผู้เลือกเองสิ
หากใช้มุมมองของไฮเดกเกอร์ กลับไปสำรวจในช่วงชีวิตที่ผ่านมา เรามีเทคโนโลยีมากมายที่ค่อยๆ เผยตัวออกมาตามแต่ละช่วงอายุ โทรทัศน์ขาวดำ โทรทัศน์จอนูน จอแบน สมาร์ตทีวี วันข้างหน้าก็อาจมีอย่างอื่นรอเปิดเผยตัวอยู่
สิ่งที่เราควรทำมีเพียงใช้ชีวิตอยู่กับมันอย่างระมัดระวังเพียง ใคร่ครวญ และตระเตรียมตัวเอง รวมทั้งการตระหนักถึงอันตรายของเทคโนโลยี สักวันเราอาจพบความสัมพันธ์ที่เป็นอิสระในการอยู่ร่วมกับเทคโนโลยีก็เป็นได้
แล้วทุกคนล่ะ มองว่าเราได้เป็นคนเลือกเองจริงไหม แล้วการเลือกตัวเลือกที่ถูกเลือกมาแล้ว ยังนับว่าเราเป็นผู้เลือกอยู่หรือเปล่า