ปฏิเสธได้ยากว่า การจัดหาวัคซีนมาฉีดให้แก่ประชาชน จำเป็นจะต้องอาศัยภาวะผู้นำ ของผู้นำในแต่ละประเทศนั้นๆ โดยในหลายประเทศ มีผู้นำที่สามารถติดต่อกับบริษัทผลิตวัคซีนโดยตรง ยังไม่นับรวมถึงนโยบายการจัดการวัคซีนที่ได้มา เพื่อฉีดให้แก่ประชาชนของตัวเอง ได้อย่างทันท่วงที
สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในหลายประเทศ ที่มีการฉีดวัคซีนครบโดสให้แก่ประชาชน มีท่าทีที่ดีขึ้นเป็นอย่างมาก The MATTER อยากพาคุณไปทบทวน ถึงนโยบายและวิสัยทัศน์ ในการจัดหาวัคซีน มาฉีดให้แก่ประชาชนของตัวเองว่า ผู้นำเหล่านี้ทำอย่างไรในการจัดหาวัคซีน จนพวกเขาและเธอควบคุมสถานการณ์ COVID-19 ผ่านการฉีดวัคซีน ได้อย่างประสบความสำเร็จ
อิสราเอล
เบนจามิน เนธันยาฮู (Benjamin Netanyahu) นายกรัฐมนตรีของอิสราเอล ถูกกล่าวชมเชยโดยผู้บริหารสูงสุดของ Pfizer อย่าง อัลเบิร์ต บูวร์ลา (Albert Bourla) ว่า มีความพยายามอย่างไม่ลดละ ที่จะติดต่อกับทาง Pfizer โดยบูวร์ลาว่า “เขา (เนธันยาฮู) โทรศัพท์หาผมกว่า 30 รอบ” เพื่อที่จะจัดหาวัคซีน มาฉีดให้แก่ประชาชนของตัวเอง
หลายต่อหลายฝ่ายมองว่า เนธันยาฮูรีบจัดหาวัคซีน ให้ทันก่อนการเลือกตั้งของเขา ในวันที่ 23 มีนาคมที่ผ่านมา เพื่อให้ตัวเขาเองได้รับคะแนนนิยมที่สูงมากขึ้น อย่างไรก้ตาม บูวร์ลาออกมากล่าวว่า การทำสัญญาระหว่าง Pfizer กับอิสราเอลนั้น กระทำโดยบริษัทกับรัฐ ไม่ใช่ผู้นำโดยตรง ทั้งนี้ อิสราเอลเป็นไม่กี่รัฐ ที่มีผู้นำติดต่อโดยตรงมายัง Pfizer ตั้งแต่พวกเขาเริ่มพัฒนาวัคซีน
ปัจจุบัน อิสราเอลมีอัตราการฉีดวัคซีนครบโดส ให้แก่ประชากรของตัวเองไปแล้วกว่า 58.4 เปอร์เซ็นต์ และได้เริ่มการทดลองฉีดวัคซีนให้แก่เด็กอายุ 12-16 ปีแล้ว ทั้งนี้ จากผลการทดลองเบื้องต้นในเด็ก 600 คน ไม่พบผลข้างเคียงอันตรายใดๆ ยิ่งไปกว่านั้น ปัจจุบัน อิสราเอลได้ยกเลิกมาตรการการใส่หน้ากากอนามัย ในที่เปิดสาธารณะ ยกเว้นแต่ในที่ปิด ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สหรัฐฯ
อาจเป็นเรื่องที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะช่วงการติดต่อและจัดส่ง จนมาถึงการเริ่มฉีดวัคซีนในสหรัฐฯ เกิดขึ้นระหว่างการเปลี่ยนผ่านอำนาจ ของอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) มาสู่ประธานาธิบดีคนปัจจุบันอย่าง โจ ไบเดน (Joe Biden) ถึงแม้ว่าสถานการณ์การจัดหาวัคซีนในยุคทรัมป์ จะไม่ได้มีความคืบหน้าไปมากนัก และตัวทรัมป์เองจะได้รับการฉีดวัคซีนอย่าเงียบๆ ในช่วงเดือนมกราคม แต่สถานการณ์การฉีดวัคซีนของสหรัฐฯ กลับดีขึ้นในช่วงรัฐบาลของ ไบเดน จนสหรัฐฯ ได้รับการยอมรับว่า เป็นผู้นำโลกในด้านการฉีดวัคซีนไปแล้ว
บูวร์ลาเปิดเผยกับ The Carlos Watson Show ว่า ขณะยังเป็นประธานาธิบดี ทรัมป์ ได้ติดต่อมาถึงเขาโดยตรง ว่าต้องการจะเร่ง ให้มีการผลิตวัคซีนออกมาให้โดยเร็วที่สุด โดยทรัมป์กล่าวกับบูวร์ลาว่า “เราต้องการมัน (วัคซีน) โดยเร็วที่สุด ผู้คนกำลังตาย” ก่อนจะกล่าวเสริมว่า “ใช่ล่ะว่า มันจะช่วยผมในเรื่องการเลือกตั้งด้วย แต่ผู้คนเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า” ผู้ประสานงานด้าน COVID-19 ของทำเนียบขาวกล่าวว่า เมื่อวัคซีนของ Pfizer และ Moderna มาถึงสหรัฐฯ รัฐบาลของทรัมป์ ยังคงไม่ได้ตัดสินใจว่าจะฉีดวัคซีนให้ประชาชนอย่างไรเลย
อย่างไรก็ดี สถานการณ์การจัดการฉีดวัคซีนของสหรัฐฯ กลับมามีท่าทีเป็นบวก และครอบคลุมประชาชนมากขึ้น เมื่อมาถึงยุคสมัยของไบเดน นพ.แอนโธนี่ ฟัลชี่ (Anthony Fauci) แพทย์คนสำคัญ ในการจัดการสถานการณ์ COVID-19 ของสหรัฐฯ และที่ปรึกษาของไบเดนกล่าวว่า ไบเดนมีความกระตือรือร้นในการจัดให้มีการฉีดวัคซีนอย่างมาก โดยนอกจากจะฟังคำแนะนำจากนักวิทยาศาสตร์แล้ว ไบเดนยังได้ตั้งเป้าหมาย ให้มีการฉีดวัคซีนจำนวน 200 ล้านโดส ภายในระยะเวลาหลังขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี 100 วัน ซึ่งเป้าหมายดังกล่าว ถูกทำให้สำเร็จไปแล้วอีกด้วย
ปัจจุบันนี้ สหรัฐฯ สามารถจัดให้มีการฉีดวัคซีนในประชาชน จนครบโดสไปแล้วกว่า 32.3 เปอร์เซ็นต์ โดยศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคสหรัฐฯ ได้อนุญาตให้ประชาชนที่รับวัคซีนครบโดสแล้ว สามารถถอดหน้ากากอนามัยในที่โล่งแจ้งได้ เพียงแต่ต้องใส่หน้ากากเอาไว้ เวลาอยู่ในที่ปิด ทั้งนี้ สหรัฐฯ ยังมีวัคซีน ที่เพียงพอต่อการฉีดให้แก่ประชาชนอายุ 16 ปีขึ้นไปทั่วประเทศ ไบเดนยังได้เชิญชวน และขอร้องให้ประชาชน ออกมาฉีดวัคซีนอีกด้วย
สิงคโปร์
สิงคโปร์ได้รับวัคซีนจากทาง Pfizer ที่ส่งมาถึงเกาะของพวกเขา ตั้งแต่ช่วงเดือนธันวาคม ค.ศ.2021 ทั้งนี้ สิงคโปร์ภายใต้การนำของ ลี เซียนลุง (Lee Hsien Loong) นายกรัฐมนตรี เป็นชาติแรกๆ ที่เริ่มจัดหาวัคซีน ตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายน ค.ศ.2020 โดย ลี ได้จัดตั้งคณะทำงานวางแผนวัคซีน ที่ประกอบไปด้วยนักวิทยาศาสตร์ 18 คน รวมถึงแพทย์จากทางภาครัฐและเอกชน เพื่อร่วมกันหาบริษัทผู้เสนอขายวัคซีนหลายสิบบริษัท เช่น Pfizer และ Moderna
ภายในสิ้นดือนเมษายนของปีก่อน รัฐบาลสิงคโปร์ได้ลงนามสัญญาลับ กับบริษัทชีวเวชภัณฑ์ ผู้ผลิตวัคซีน COVID-19 ทำให้พวกเขาเข้าถึงข้อมูลการทดลอง รัฐบาลสิงคโปร์ใช้งบประมาณเบื้องต้น ในการจัดหาวัคซีนกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท) ด้วยการตัดสินใจที่รวดเร็ว ทำให้สิงคโปร์ ที่ถึงแม้จะเป็นชาติเล็กๆ และมีอำนาจในการต่อรองต่ำ แต่กลับกลายเป็นชาติแรกๆ ที่ได้รับวัคซีนจากสั่งซื้อ โดยเฉพาะจากทาง Pfizer ก่อนรัฐอื่นๆ
ปัจจุบันนี้ สิงคโปร์ฉีดวัคซีนครบโดส ให้แก่ประชาชนของตัวเองไปแล้วกว่า 14.5 เปอร์เซ็นต์ โดยรัฐบาลยังคงเชิญชวน ให้ประชาชนออกมารับการฉีดวัคซีนอยู่เรื่อยๆ พวกเขาประกาศว่า รัฐบาลมีวัคซีนเพียงพอต่อการฉีดให้แก่ประชาชนทั้งประเทศ และคุณภาพวัคซีนของพวกเขานั้น ปลอดภัยต่อทุกคน ไม่เว้นแม้แต่ผู้สูงอายุ
ญี่ปุ่น
ซูกะ โยชิฮิเดะ (Suga Yoshihide) นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น ถือสายโดยตรงคุยกับ Pfizer เพื่อเจรจาจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม โดยข่าวดังกล่าว ได้รับการยืนยันขณะที่ซูกะเดินทางเยือนสหรัฐฯ เพื่อเข้าพบกับประธานาธิบดีไบเดน เมื่อช่วงกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา
ซูกะได้โทรศัพท์คุยกับทางบูวร์ลา ผู้บริหารสูงสุดของ Pfizer โดยตรง หลังจากที่แผนการฉีดวัคซีนของญี่ปุ่น เดินไปได้ช้า เมื่อเปรียบเทียบกับสหรัฐฯ และหลายประเทศในยุโรป ถึงแม้ว่าญี่ปุ่น จะมีการสั่งจองวัคซีนแล้วกว่า 314 ล้านโดส ซึ่งเพียงพอที่จะฉีดให้แก่ประชาชนของตัวเอง ภายในสิ้นปีนี้ โดยปัจจุบัน ญี่ปุ่นมีอัตราการฉีดวัคซีนครบโดนให้แก่ประชาชนแล้ว 1.1 เปอร์เซ็นต์
Pfizer เป็นวัคซีนเจ้าเดียว ที่ได้รับการอนุมัติใช้งานในญี่ปุ่น ทั้งนี้ การดำเนินการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนของญี่ปุ่น เกิดขึ้นได้ช้าอย่างมาก เนื่องจากวัฒนธรรมองค์กร ในการบริหารงานด้านสาธารณสุขที่เข้มงวด เพราะรัฐบาลไม่ต้องการจะให้เกิดผลข้างเคียงอันตราย ต่อประชาชนผู้ได้รับวัคซีน อย่างไรก็ดี ประชากรญี่ปุ่นในปัจจุบัน ที่รัฐบาลอนุญาตให้ได้รับการฉีดวัคซีน มีเพียงแค่ผู้สูงอายุ และบุคลากรด้านการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้าเท่านั้น โดยรัฐบาลจะมีแผนการฉีดให้แก่ประชาชนทั่วประเทศในภายหลัง
นิวซีแลนด์
จาซินดา อาร์เดิร์น (Jacinda Ardern) นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ ออกมาให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชน เมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ.2021 ว่า ทางการนิวซีแลนด์ ได้บรรลุข้อตกลงกับทาง Pfizer ในการจัดซื้อวัคซีน เพื่อนำมาฉีดให้แก่ประชาชนของตัวเองแล้ว โดยมียอดสั่งซื้อวัคซีนเดิม รวมกับยอดสั่งซื้อวัคซีนใหม่จากทาง Pfizer จำนวน 10 ล้านโดส ซึ่งจะทำให้นิวซีแลนด์ มีวัคซีนเพียงพอต่อการฉีดให้แก่ประชาชนของตัวเองอย่างครบถ้วน
อาร์เดิร์น กล่าวเพิ่มเติมว่า จากผลการทดลองประสิทธิภาพของวัคซีนในแต่ละบริษัท ได้เปิดเผยแล้วว่า คุณภาพวัคซีนของ Pfizer มีประสิทธิภาพในการป้องกัน COVID-19 ได้สูงถึง 95 เปอร์เซ็นต์ และมันคือสัญญาณที่ชี้ให้เห็นได้ชัดเจนว่า วัคซีนของบริษัทนี้ ปลอดภัยต่อประชาชนของตัวเอง รัฐบาลนิวซีแลนด์ จึงเลือกที่จะใช้วัคซีนของ Pfizer แทนการเลือกวัคซีนที่มีราคาต่ำกว่า แต่อาจส่งผลต่อความเสี่ยง ต่อชีวิตของพลเมืองนิวซีแลนด์ได้
นิวซีแลนด์เริ่มฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชน ตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.2021 ที่ผ่านมา โดยมีประชากรแล้วทั้งสิ้น 1.2 เปอร์เซ็นต์ ที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบโดส ทั้งนี้ จากข้อตกลงที่รัฐบาลนิวซีแลนด์ ได้หารือกับ Pfizer นั้น อาร์เดิร์นคาดว่า นิวซีแลนด์จะได้รับวัคซีนครบในช่วงครึ่งปีหลังนี้ และจะทำการฉีดให้แก่ประชาชนครบทั้งประเทศภายในสิ้นปีนี้
อ้างอิงจาก
https://www.usnews.com/news/best-countries/articles/covid-19-vaccination-rates-by-country
ps://www.wsj.com/articles/how-israel-became-the-world-vaccine-leader-11615576463
https://thehill.com/policy/healthcare/546719-pfizer-ceo-says-trump-told-him-vaccine-would-help
https://thematter.co/brief/141325/141325
https://www.japantimes.co.jp/news/2021/04/16/national/suga-pfizer-talks/
https://www.japantimes.co.jp/news/2021/04/28/national/japan-coronavirus-vaccinations-lag/
https://www.dw.com/en/covid-japanese-frustrated-at-slow-vaccine-rollout/a-57362649
https://www.straitstimes.com/singapore/health/how-singapore-picked-its-covid-19-vaccines