นั่งเอกเขนกทำงานบนโซฟาที่บ้าน อุ้มแมวไม่ให้เดินผ่านกล้องตอนวิดีโอคอล สแตนบายหน้าจอรอตอบคำถามตลอดเวลา และตกดึกมานั่งกังวลถึงงานวันพรุ่งนี้จนข่มตาหลับไม่ไหว การทำงานแบบใหม่ที่ใครๆ ก็ต้องปรับตัวเข้าหามันด้วยความจำเป็นของสถานการณ์ กว่าจะปรับตัวให้เข้าใจกับการทำงาน กว่าจะปรับเวลาการใช้ชีวิตให้สมดุลกับเวลางานได้ ก็เล่นเอาเราเหน็ดเหนื่อยกันถ้วนหน้า เพราะไม่ใช่แค่การทำงานเท่านั้น การใช้ชีวิตประจำวันก็ต้องปรับกันยกแผง
ปีแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่าง ปี ค.ศ.2020 อาจหยิบยื่นสิ่งใหม่ๆ ที่เราไม่เคยคิดว่าจะต้องทำ ให้มากลายเป็นกิจวัตรประจำวันที่ต้องทำต่อจากนี้ รวมถึงในที่ทำงานของเราด้วย หลังจากผ่านการเรียนรู้ ลองผิดลองถูก ในการทำงานที่ต่างไป ปีนี้ Harvard Business Review รวมเทรนด์การทำงาน ที่จะมากำหนดรูปแบบของการทำงานในปี ค.ศ.2021 ว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง โดยเราหยิบยก 4 เทรนด์ที่น่าสนใจและใกล้ตัวมาแนะนำ
การดูแลสุขภาพจิต ควรเพิ่มไปในสวัสดิการพื้นฐาน
เราเลือกที่จะย้ายทุกกิจกรรมในชีวิตมาไว้ที่บ้าน เพราะกังวลเรื่องสุขภาพกาย แต่เมื่อต้องอยู่ที่บ้านแบบไม่ได้ออกไปไหน ได้ผล เราไม่ต้องออกไปเผชิญความเสี่ยงภายนอกบ้าน แต่กลายเป็นว่าการเดินเข้าเดินออก วนเวียนอยู่อย่างนั้น ส่งผลให้ปัญหาสุขภาพใจเข้ามาเยี่ยมเยียนแทน ผลสำรวจจาก Gartner บริษัทเชี่ยวชาญด้านให้คำแนะนำ ได้เปิดเผยตัวเลขที่น่าสนใจว่า เมื่อช่วงที่ต้องกักตัวเนี่ย ผู้คนมีค่าใช้จ่ายกับ well-being ปัญหาด้านจิตใจและอารมณ์เพิ่มขึ้นกว่า 45% ยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่าการทำงานที่บ้าน ในช่วงที่เรายังไม่คุ้นชิน ช่วงที่ยังต้องปรับตัว กับเส้นแบ่งเวลางานและเวลาส่วนตัวที่พร่ามัวนั้น ยังไม่รวมถึงความเครียดจากการทำงานอื่นๆ ทำให้เหล่าพนักงาน ต้องเผชิญกับปัญหาด้านจิตใจมากขึ้น
กว่า 68% ขององค์กร จึงเสนอสวัสดิการด้านสุขภาพเพิ่มให้อีกหนึ่งอย่าง นั่นคือ การดูแลสุขภาพใจ นั่นเอง โดยมีกำหนดไม่เกินเดือนมีนาคม ค.ศ. 2021 นี้ เพื่อให้พนักงานได้เยียวยาตัวเองในช่วงที่อะไรๆ ก็ดูจะตึงเครียดไปเสียหมด และบางที่ยังเพิ่มวันหยุดสำหรับการดูแลจิตใจโดยเฉพาะอีกด้วย
.
ขาดทักษะไหน ก็ ‘จ้าง’ คนเชี่ยวชาญทักษะนั้น
หากจะต้องจ้างใครสักคน ทักษะบน resume คงช่วยคัดกรองให้ผู้จ้างมองหาตัวเลือกที่ใช่ได้ดีที่สุด ตัวเลขจากเจ้าเก่าเจ้าเดิมอย่าง Gartner บอกว่า หลายๆ บริษัทเพิ่มทักษะที่ต้องการบนประกาศหางานมากขึ้นถึง 33% ถ้าเทียบจากปี ค.ศ.2017 อาจเพราะการทำงานนั้นหมุนไปตามโลกใบนี้ด้วยเช่นกัน ทักษะของคนทำงานจึงต้องก้าวตามโลกนี้ไปให้ทันด้วย
ปกติแล้วหากทีมของเราขาดทักษะอะไรไป หัวหน้าทีมหรือเจ้านายอาจจะเสนอเป็น คอร์สเพิ่มพูนทักษะต่างๆ ให้กับคนทำงาน เพื่อให้มี multi-tasking ทำงานได้หลากหลาย เอามาปรับมาประยุกต์ใช้กับการทำงานอื่นๆ ในอนาคต ให้ในหนึ่งคนมีทักษะเบื้องต้นในหลายๆ ทาง เพราะเมื่อขาดหรือต้องการทักษะใดขึ้นมา จะได้ไม่ต้องจ้างคนนอก จ้างคนใหม่ ให้เพิ่มค่าใช้จ่ายและชั่วโมงการทำงานของคนอื่น ที่ต้องมาสอนงานคนใหม่นี้อีกที
การจ้างผู้เชี่ยวชาญแบบชั่วคราว จึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับทีมไหนที่ต้องการทักษะเพิ่มเติมหรือความเชี่ยวชาญด้านนั้นไปเลย อาจจะเป็นการจ้าง outsource หรือ freelance ในสัญญาระยะสั้น หรือจ้างต่องานไป เหมือนกับเป็นการเช่าผู้เชี่ยวชาญมาทำงานให้เรา สะดวก รวดเร็ว ทำงานได้จริง เพราะการสร้างทักษะใหม่ให้กับคนเดิมที่มีอยู่ ไม่อาจการันตีผลลัพธ์ว่าจะทำได้ดีเท่าผู้เชี่ยวชาญหรือไม่ และไม่อาจการันตีระยะเวลากว่าที่จะใช้งานทักษะนั้นได้อย่างดีด้วยเช่นกัน
จับตาดูลูกน้องให้น้อยลง เชื่อใจกันมากขึ้น
เมื่อลูกน้องไม่ได้นั่งในระยะสายตาให้เห็นหน้าว่ากำลังทำอะไร จึงเกิดคำถามในหัวตามมาว่า ตอนที่อยู่บ้านได้ทำงานจริงๆ หรือเปล่า? แม้จะมีคำตอบเป็นชิ้นงานแล้ว แต่หลายบริษัทก็ไม่ยินดีให้พนักงานลดความขยันขันแข็งต่อการทำงานลง 1 ใน 4 จึงตัดสินใจหาเทคโนโลยีที่จะมาเป็นเครื่องมือช่วยติดตามการทำงานของพนักงาน ใช่ และนี่เป็นครั้งแรกที่บริษัทตัดสินใจทำแบบนี้
ในปีนี้ การปรับตัวของเจ้านาย หัวหน้าทีม เมื่อการทำงานที่บ้านยังคงเป็นสิ่งจำเป็นอยู่ คือ การจับตาดูลูกน้อยให้น้อยลง ไม่ได้หมายความว่าจะให้ปล่อยปะละเลย แต่หลายครั้งที่การจับตามองลูกน้องมากเกินไป สร้างความกดดันและความเครียดให้กับคนทำงาน และยิ่งเป็นงานที่อาศัยความคิดสร้างสรรค์ ไอเดีย ยิ่งไม่ควรทำงานภายใต้สภาวะที่ต้องมาคอยตอบคำถามทุกชั่วโมง การเคารพเวลาส่วนตัวและเวลางาน การให้เกียรติซึ่งกันและกัน และติดตามงานมากกว่าติดตามคนทำงาน น่าจะเป็นทางออกที่ดีสำหรับทั้งสองฝ่าย
ไม่ใช่แค่ยืดหยุ่นเรื่องสถานที่ แต่ควรยืดหยุ่นเรื่องเวลาด้วย
สำหรับตอนนี้ การทำงานที่บ้าน ถือเป็นการทำงานแบบยืดหยุ่นรูปแบบนึง ที่อนุญาตให้เรานั่งบนโซฟา เอกเขนกบนที่นอน หรือจะที่ไหนก็ตามขอแค่กำลังทำงานตามเวลางานปกติก็พอ เข้างานเวลานี้ ออกงานเวลาเดิม 8 ชั่วโมงต่อวัน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แต่มาดูตัวเลขที่น่าสนใจจาก Gartner กัน ที่ไปสำรวจการทำงานของผู้คนในปีแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่าง ค.ศ.2020 นี้ บอกว่า มีพนักงานแค่ 36% เท่านั้น ที่ทำงานได้ดีเยี่ยมในช่วงเวลาที่ถูกกำหนด ว่าเท่านี้ๆ ต่อวัน ต่อสัปดาห์ เมื่อเทียบกับบริษัทที่ยกการตัดสินใจให้กับพนักงานเองเลย ว่าจะทำงานตอนไหน เวลาไหนบ้าง กำหนดตารางเวลางานของตัวเองได้เลย ซึ่งพบว่าคนที่ทำงานได้ดีเยี่ยม เพิ่มเป็น 55% เลยล่ะ
ความยืดหยุ่นในการทำงาน จึงไม่อาจจำกัดอยู่แค่สถานที่อีกต่อไป ร้านกาแฟ co-working space หรือที่บ้าน อาจยังไม่ยืดหยุ่นมากพอ สำหรับการทำงานในตอนนี้และอนาคตอีกต่อไปแล้ว หากงานเอื้ออำนวยให้สามารถกำหนดเวลาทำงานเองได้ การได้กำหนดตารางการทำงานของตัวเอง อาจเป็นตัวเลือกใหม่ที่ซื้อใจคนทำงานได้ดีทีเดียว (ทั้งคนเดิมและคนใหม่)
การปรับตัวและการเรียนรู้ครั้งใหญ่นี้ อาจทำให้เราได้เห็นการพลิกโฉมการทำงานอีกหลายครั้ง แต่ทุกครั้ง เราจะเก็บสิ่งที่ดีและได้ไปต่อไปกับเราเสมอ เหมือนกับเทรนด์การทำงานที่เราอาจไม่เคยคิดว่าจะได้เห็น ก็ได้เห็นแล้วในปีที่ผ่านมา ใครจะไปรู้ว่าในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เราอาจได้เลือกตารางเวลางานของเราเองก็ได้
อ้างอิงข้อมูลจาก