เอ๊ะ แบบนี้ติดได้ไหมนะ? ตุ่มแบบนี้ใช่ไหม? ควรกลัวแล้วรึเปล่า?
ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ที่ข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคฝีดาษลิงจะยังคงหลั่งไหล เนื่องจากบ้านเราก็เพิ่งพบผู้ป่วยคนแรกไปไม่ถึงสองสัปดาห์ (วันที่ 22 ก.ค. 2565) ในขณะที่ทั่วโลกมีผู้ป่วยทะลุ 20,000 คน และหลายคำถามก็อาจนำไปสู่การตีตรา หรือ social stigma อย่างที่เคยเกิดขึ้นกับการระบาดของโรคโควิด-19 ในช่วงต้น
The MATTER จะรวบรวมคำอธิบายในหลายข้อสงสัย โดยเฉพาะประเด็นเหตุที่นำไปสู่การติดเชื้อ เพื่อให้ทุกคนหายข้องใจกัน
1
Q นั่งชักโครกต่อกัน ติดโรคได้ไหม
A เป็นไปได้ แต่ยากมาก
ตามที่หลายคนติดตามข้อมูลการติดต่อของโรคนี้ น่าจะพอทราบว่า บรรดาผู้เชี่ยวชาญยังคงให้น้ำหนักไปที่การสัมผัสที่นำไปสู่การติดเชื้อ โดยเฉพาะทางผิวหนัง รวมถึงเยื่อบุในบริเวณต่างๆ ซึ่งไม่จำเป็นต้องสัมผัสโดยตรง แต่นับรวมการสัมผัสสิ่งของที่มีเชื้อติดอยู่ อย่างเสื้อผ้า ผ้าปูที่นอน ผ้าขนหนู เป็นต้น
อย่างไรก็ดี การติดเชื้อฝีดาษผ่านทางผิวหนังไม่ได้เกิดกันง่ายๆ แต่โอกาสจะเพิ่มขึ้นหากเรามีรอยถลอก หรือเป็นแผลสดบริเวณที่สัมผัส อย่างกรณีก็อาจจะหมายถึงบริเวณก้น
ข้อสนับสนุนหนึ่งของประเด็นนี้ คงต้องพูดถึงขั้นตอนการรับวัคซีนป้องกันโรคฝีดาษ ซึ่งหลายคนคุ้นชินกันว่า ‘ปลูกฝี’ ที่นพ. เอดเวิร์ด เจนเนอร์ เผยแพร่เอาไว้กว่า 200 ปีมาแล้ว โดยมีขั้นตอนการกรีดบริเวณต้นแขน ก่อนการหยดหนองฝีจากสัตว์รวมอยู่ด้วย
2
Q หายใจใส่กันติดไหม
A ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ย่อย
จากที่ผู้เชี่ยวชาญได้ติดตาม และจำแนกเชื้อไวรัสฝีดาษลิง จนแบ่งออกมาเป็น 3 สายพันธุ์หลัก แบ่งเป็นซึ่งในแต่ละสายพันธุ์ก็จะมีสายพันธุ์ย่อยออกไป
โดยตามข้อมูลที่เปิดเผยของอังกฤษ ซึ่งเป็นพื้นที่พบคลัสเตอร์การระบาดนอกแอฟริกาเป็นประเทศแรกๆ ของระลอกนี้ ได้พูดถึงว่าไวรัสฝีดาษลิงสายพันธุ์ ‘B.1’ คือเชื้อที่ระบาดในยุโรปมาตั้งแต่ มิ.ย. ปีนี้ และมีคุณลักษณะ ‘ไม่แพร่กระจายทางอากาศ’ (airborne diseases)
ขณะที่เชื้อซึ่งระบาดในแอฟริกาตะวันตก และแอฟริกากลาง ยังนับว่าสามารถแพร่ระบาดทางอากาศได้
สำหรับผู้ป่วยรายแรกที่ยืนยันในประเทศไทย ทางกรมควบคุมโรค ระบุว่า เป็นสายพันธุ์แอฟริกาตะวันตก แต่เมื่อมีการตรวจสอบสายพันธุ์ย่อย พบเป็น A.2 สัมพันธ์กับสายพันธุ์ที่กำลังระบาดในอเมริกา
3
Q เปลี่ยนคู่นอนบ่อยเพิ่มความเสี่ยงไหม
A ใช่และไม่ใช่
อย่างแรกที่ต้องทำความเข้าใจ คือ โรคฝีดาษลิงแม้จะพบปัจจัยเสี่ยงการระบาดมาจากการมีเพศสัมพันธ์ แต่นี่ไม่ใช่โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ( STD)แต่อย่างใด เพราะแม้แต่เด็กเล็กก็สามารถติดเชื้อได้
เพียงแต่จากการเก็บข้อมูลของเบลเยียม พบว่า 1.3% ของผู้ติดเชื้อสามารถแพร่ได้โดยไม่แสดงอาการ ดังนั้นสิ่งสำคัญคือ ควรแลกเปลี่ยนรายละเอียดกับคู่นอน เพื่อให้หากใครคนใดคนหนึ่งมีอาการเข้าข่ายสงสัยในภายหลัง ก็จะสามารถแจ้งเตือนได้
นี่จึงเป็นข้อสนับสนุนว่า เหตุใดการเปลี่ยนคู่นอนจึงเพิ่มความเสี่ยง ด้วยธรรมชาติที่หลายคู่ไม่ได้มีความประสงค์ที่จะติดต่อกันอีก
สำหรับเหตุผลที่เพศสัมพันธ์ถูกยกมาอ้างถึงอยู่บ่อยครั้ง ทั้งที่ยังไม่มีหลักฐานว่าเป็นเหตุของการติดเชื้อ ก็ด้วยปัจจัยแวดล้อมโดยรอบต่างหาก อย่างการกอด จูบ หอม ซึ่งล้วนเป็นการสัมผัสใกล้ชิดที่เพิ่มโอกาสรับเชื้อฝีดาษลิงทั้งสิ้น
เช่นเดียวกับแนวทางของ WHO แนะนำว่า ผู้ติดเชื้อควรใช้ถุงยางอนามัยเป็นเวลา 12 สัปดาห์หลังจากที่หายดีแล้ว แม้ไม่ได้ป้องกันการเป็นโรคฝีดาษลิง แต่จะช่วยปกป้องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ
4
Q เป็นอีสุกอีใส หรือฝีดาษลิงกันแน่นะ
A สังเกตลักษณผื่น และต่อมน้ำเหลือง
คงต้องยอมรับว่า อาการช่วงเริ่มต้นมีหลายอย่างที่คล้ายกันมาก แต่หากจะจับสังเกต ‘ต่อมน้ำเหลืองโต’ น่าจะเป็นสิ่งหนึ่งที่พบในผู้ติดเชื้อฝีดาษลิง โดยผิวหนังบริเวณต่อมน้ำเหลืองจะมีลักษณะโต แดง สัมผัสแล้วอาจรู้สึกอุ่น หรือให้ความรู้สึกเป็นก้อน ซึ่งไม่ปรากฏในคนที่เป็นอีสุกอีใส
‘ผื่น’ เป็นอีกหนึ่งรอยโรคที่ชวนสับสน เพราะทั้งคู่มักเกิดขึ้นในช่วง 1-3 วันหลังมีไข้ แต่ผื่นของฝีดาษลิงดูจะรุนแรงกว่ามาก เพราะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด ตั้งแต่เริ่มมีเลือดคั่ง พัฒนาไปเป็นตุ่มที่เต็มไปด้วยหนอง ก่อนที่สะเก็ดจะหลุดในท้ายที่สุด ใช้เวลา 2-4 สัปดาห์ ขณะที่อีสุกอีใสโดยทั่วไปมักหายใน 7 วัน
5
Q ถ้าติดเชื้อหรือมีอาการ Long COVID จะเพิ่มความเสี่ยงหรือไม่
A ยังคงไม่มีข้อมูล
นี่อาจจะเป็นสิ่งที่หลายคนแอบกังวลอยู่ในใจ ก็ด้วยสุขภาพในระหว่างติดเชื้อโรคโควิด-19 รวมถึงหลังหายดีไม่นานยังคงต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว ดังนั้นหากต้องมาป่วยด้วยโรคที่ยังไม่มีแนวทางรักษาเฉพาะเจาะจงอีก จึงไม่น่าสบายใจนัก
สำหรับคำถามนี้ ยังคงต้องรอผู้เชี่ยวชาญหาคำตอบอีกสักหน่อย เพราะตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลว่า อาการป่วยจากโรคโควิด-19 จะเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อฝีดาษลิงหรือไม่
อย่างไรก็ดี หากคุณเป็นคนหนึ่งที่เคยติดเชื้อโควิด-19 ก็ยิ่งต้องระมัดระวัง และสังเกตอาการของตนเอง
อ้างอิงจาก