มนุษย์ฝ่าอุปสรรคจากโรคระบาดที่คร่าชีวิตนับล้านมาแล้วหลายครั้ง และ COVID-19 คือหมุดหมายสำคัญแห่งศตวรรษนี้และอาจต่อๆ ไป ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่สั่งสมมาต้องรีบสูบมาใช้เพื่อทำความเข้าใจกลไกไวรัสให้เร็วที่สุด
ดังนั้นนักไวรัสวิทยาทั่วโลกล้วนทำงานแข่งกับเวลาโดยมีโจทย์คล้ายกัน 3 ข้อใหญ่ๆ คือ หนึ่ง อะไรที่ทำให้ไวรัสสายพันธุ์ใหม่ระบาดในมนุษย์เป็นวงกว้างได้ง่ายและรวดเร็ว สอง ไวรัสแพร่พันธุ์ในร่างกายของเราได้อย่างไร และ สาม ทำไมไวรัสถึงอยู่ในร่างกายได้ช่วงหนึ่งโดยไม่แสดงอาการใดๆ อย่างตรงไปตรงมา ซ้ำยังแฝงตัวเนียน ทำให้การระบาดไม่มีรายงาน เนื่องจากไม่สามารถตรวจพบได้ ซึ่งหากตอบคำถามเหล่านี้ได้จะกรุยทางสู่กระบวนการรักษาที่ตรงจุด ลดการสูญเสีย ใช้ทรัพยากรเท่าที่จำเป็น และค้นพบวัคซีนเฉพาะในการรับมือ COVID-19 เพื่อชะลอการระบาดระลอกต่อไป สิ่งเหล่านี้เองที่นักวิทยาศาสตร์ต้องหาคำตอบ
แต่เร็วๆ นี้ความตื่นตระหนกของสังคมโอนเอียงไปจนถึงมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า COVID-19 ร้ายกาจได้เช่นนี้เพราะถูกพัฒนาเชื้อจากห้องทดลอง เป็นอาวุธชีวภาพจากแผนบ่อนทำลายเศรษฐกิจโลก หรือกล่าวหาว่า การแพร่ระบาดมาจากห้องทดลองในจีน ช่วงที่ความสัมพันธ์ระหว่างขั้วมหาอำนาจถึงจุดสั่นคลอน กลายเป็นกระแสร้อนแรงของกลุ่มนักทฤษฏีสมคบคิดมาจับแพะชนแกะเป็นเรื่องราวและสร้างความเกลียดชังต่อชาติพันธุ์ต่างๆ
ไวรัสทุกชนิดรวมถึง COVID-19 จำเป็นต้องอาศัยเซลล์มีชีวิตเพื่อการแพร่พันธุ์ โดยไวรัสแต่ละตัวจะเจาะเข้าไปในเซลล์เพื่อควบคุมและเปลี่ยนกลไกการทำงานของเซลล์และใช้เป็นองค์ประกอบสร้างไวรัสตัวต่อๆ ไป COVID-19 เองก็เป็นไวรัสในกลุ่มโคโรนา (SARS-CoV-2) ซึ่งใจกลางของไวรัสนั้นจะมีสาย RNA ซึ่งเป็นโมเลกุลคล้ายกับ DNA บรรจุข้อมูลของ gene ไวรัสสายพันธุ์นั้นๆ ส่วนภายนอกมีเกราะโปรตีน 2 ชั้นที่เรียกว่า ลิพิด (lipids) ชั้นนอกสุดมีเยื่อโปรตีนที่ยื่นออกมาคล้ายหนามหอยเม่น ซึ่งเจ้าหนามนี้เองที่น่าสนใจ เพราะจำเป็นที่ไวรัสจะใช้ยึดเกาะกับเซลล์อื่น คล้ายการทอดสมอเรือ เมื่อสมอยึดพื้นผิวเซลล์ไว้ได้ การเทียบท่าจึงเกิดขึ้น
กลไกการทำงานของหนามที่ใช้ยึดเกาะนี้เอง ที่ห้องแลปทั่วโลกพยายามจะตัดวงจรไม่ให้เกิดขึ้น หากไวรัสเกาะกับเซลล์ไม่ได้การรุกรานก็ไร้ผล ยาตัวใหม่ๆ จึงพยายามขัดขวางการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 เพื่อถอดเขี้ยวเล็บไวรัสจากเซลล์ของมนุษย์ หรือทำให้ภูมิต้านทานของเรารู้จักกับส่วนหนามที่ยื่นของไวรัสให้เร็วที่สุดเพื่อกำจัดผู้รุกราน
อาจฟังดูราวกับว่า ไวรัส COVID-19 พัฒนามาจากห้องทดลองที่เล็งมนุษย์เป็นเป้าแรก จากการทดลองอาวุธชีวภาพ (bioweapon) ของกลุ่มอำนาจลึกลับ แต่ในความเป็นจริงแล้ว กลไกของธรรมชาติทำให้ไวรัสมีความสามารถในการแพร่ระบาดเช่นนี้เรื่อยมา ประวัติศาสตร์มนุษย์เผชิญหน้ากับการระบาดมาแล้วหลายครั้ง โดยเฉพาะการระบาดของไวรัสสายพันธุ์โคโรนาครั้งใหญ่ในช่วง 20 ปี เราเผชิญหน้ากับ ‘SARS’ โรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง และ ‘MERS’ ไวรัสทางเดินหายใจตะวันออกกลาง นักวิชาการด้านระบาดวิทยาคาดการณ์ไว้แล้วว่าอาจจะมีการระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่อีกในรอบ 10 ปี
ดังนั้นไม่มีข้อมูลใดๆ ยืนยันว่า ไวรัส COVID-19 มาจากการปรับปรุงพันธุกรรมเพื่อเล่นงานมนุษย์หรือเป็นแผนทำลายล้างอารยธรรมโลก ไวรัสที่คล้ายๆกับ COVID-19 นั้นสามารถพบได้ในสัตว์กลุ่มค้างคาว อย่าง SARS และ MERS ก็ล้วนมาจากค้างคาว
ส่วน COVID-19 มีข้อสันนิฐานว่า อาจมาจากค้างคาว แต่มี intermediate host (โฮสต์ตัวกลาง) ร่วมด้วยอย่างตัวกินมด ตัวนิ่ม จากนั้นติดต่อสู่มนุษย์ ซึ่งข้อสันนิฐานนี้ยังไม่ได้รับการพิสูจน์
นักวิจัยด้านไวรัสวิทยาพบว่า COVID-19 ไม่ได้ถูกตัดต่อพันธุกรรมหรือมีการปรับเปลี่ยนสายพันธุ์ใดๆโดยฝีมือมนุษย์ เพราะหากมีการทำเช่นนั้น จะต้องมีร่องรอยของการใส่ gene sequence อื่นๆ เข้ามาปะปน การกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ใหม่จึงเป็นการสุ่ม (random) ตามธรรมชาติ ซึ่งไวรัสทุกตัวก็มีกลไกเพื่อวิวัฒนาการเฉกเช่นสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในโลกของเรา
สิ่งที่น่าสนใจของ COVID-19 ที่นอกเหนือการยึดเกาะกับเซลล์แล้ว ล่าสุดทีมนักวิจัยพบว่า ไวรัสชนิดนี้มีความสามารถในการยึดเกาะกับเอนไซม์ ACE2 (Angiotensin-converting enzyme 2) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่พบได้ในผิวด้านนอกของเซลล์ปอดและลำไส้ของมนุษย์ ซึ่งตรงกับความเป็นจริงว่า COVID-19 ทำให้เกิดการติดเชื้อที่ปอดเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนั้นหนามโปรตีนแหลมๆ ของไวรัสจะแยกตัวออกเพื่อยึดเกาะกับโปรตีน TMPRSS2 ซึ่งก็เป็นอีกจุดที่หากเราสามารถพัฒนายาที่ยับยั้งโปรตีน TMPRSS2 ในมนุษย์ได้ ไวรัสก็ไม่สามารถใช้ยึดเกาะได้ แต่การไปยับยั้งโปรตีนนี้อาจสร้าง side effect ที่ตามมาซึ่งต้องอาศัยเวลาในการศึกษาต่อไป
แต่ก็ใช่ว่ากลไกร่างกายของเราจะยอมให้ไวรัสยึดครองเซลล์โดยง่ายเสียทีเดียว เพราะระบบภูมิคุ้มกันนั้นก็พยายามจะยับยั้งการยึดเกาะของเซลล์ โดยแอนติเจนของเม็ดเลือดขาวที่มีชื่อว่า LY6E ซึ่งเป็นแอนติเจนเดียวกันกับที่พยายามหยุดยั้งเซลล์มะเร็งในร่างกาย จากงานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Ruhr-Universität Bochum ในเยอรมันพบว่า แอนติเจนเม็ดเลือดขาว LY6E สามารถยับยั้งไวรัสโครานาได้หลายสายพันธุ์ รวมไปถึง COVID-19 จากการทดลองในหนูพบว่า หนูที่มีภูมิคุ้มกันเอนติเจน LY6E ต่ำ ทำให้มีโอกาสติดเชื้อได้อย่างรวดเร็ว จึงมีความเป็นไปได้ว่าเราสามารถจำลองกลไกการทำงานของ LY6E เพื่อใช้ต่อต้านไวรัสได้ อาจพัฒนาเป็นยาที่กระตุ้นภูมิคุ้มกัน การมีตัวยับยั้งเช่นนี้ในร่างกายจะเป็นโอกาสดีกว่าในภายภาคหน้าหากมีการระบาดครั้งต่อไปที่อาจยาวนานกว่าเดิม
กลไกที่ซับซ้อนนี้เองเกิดจากกระบวนการทางวิวัฒนาการของไวรัสใช้เวลานานยากจะจำลองโดยมนุษย์ มีความเป็นไปได้ว่า COVID-19 จะใช้มนุษย์เป็น Host มานานแล้ว แต่ไม่แสดงอาการใดๆ และค่อยๆ มีการกลายพันธุ์เรื่อยๆ โดยที่ไม่ได้มีพิษสงร้ายแรงทันทีทันใดแบบอาวุธชีวภาพ ซึ่งนักไวรัสวิทยามีความเห็นว่า หากเป็นอาวุธชีวภาพจริงจะมีอัตราการเสียชีวิตมากกว่านี้
และที่สำคัญยังไม่มีหลักฐานใดๆ ที่นำไปสู่ข้อสรุปว่า COVID-19 คืออาวุธชีวภาพ มีแต่เพียงแนวคิดที่เชื่อมโยงเหตุผลต่างๆ อันเต็มไปด้วยอคติ ในขณะที่ห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์แพทย์ทั่วโลกกำลังเร่งศึกษานั้นพบข้อมูลใหม่ๆมากมาย ซึ่งเป้าหมายคือการหยุดยั้งวิกฤตมากกว่าจะโยนเป็นความผิดให้คนชาติใดชาติหนึ่งเป็นผู้รับเคราะห์ที่ต้องไถ่บาป
ไวรัสมีมานานกว่ามนุษย์ถือกำเนิดขึ้นบนโลกผ่านวิวัฒนาการ แม้ส่วนหนึ่งเราเป็นผู้เร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติเร็วขึ้น แต่เราไม่ได้เป็นผู้สร้างไวรัส และมนุษย์ก็ไม่ได้เป็น ‘ไวรัสต่อโลก’ เราเป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ร่วมกันในสมดุลนี้นานแล้ว และจำเป็นต้องอยู่ต่อไป ไม่ว่าจะเผชิญไวรัสสายพันธุ์ใหม่อีกกี่สายพันธุ์ก็ตาม
อ้างอิงข้อมูลจาก
LY6E impairs coronavirus fusion and confers immune control of viral disease
Escaping Pandora’s Box — Another Novel Coronavirus
The proximal origin of SARS-CoV-2