หลายคนไม่อยากจากไป หลายคนไม่อยากถูกลืม แล้วคุณคิดว่า.. เราจะใช้ ‘เทคโนโลยี’ ที่ก้าวหน้าในปัจจุบัน รักษาคนที่เรารักไว้ได้ไหม? หรือแม้แต่พาตัวเราเองกลับจากโลกของความตายได้หรือเปล่า?
คงต้องบอกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบนโลกมาหลายร้อยปีแล้ว
ประวัติศาสตร์ทำให้เราเห็นว่า ความเชื่อเรื่องการติดต่อกับวิญญาณมีมาตั้งแต่ยุค 1830s และจะบูมขึ้นในช่วงที่โลกเกิดสงคราม โรคระบาด หรือความยากลำบาก ซึ่งผู้คนเศร้าโศกและต้องการคำตอบอะไรบางอย่างในชีวิต สิ่งที่เคียงคู่มากับลัทธิ Spiritualism เสมอก็คือ.. การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ๆ ในยุคสมัยนั้นๆ เพื่อให้คนที่ยังอยู่สามารถก้าวเข้าไปเกี่ยวข้องกับโลกหลังความตายได้
บอกก่อนว่าบทความนี้ไม่ได้ต้องการจะพิสูจน์ความจริงเท็จในเรื่องจิตวิญญาณ แต่ต้องการทำให้เห็นว่า ความเชื่อเรื่องวิญญาณและเทคโนโลยีทำงานคู่กันในแต่ละยุคสมัยอย่างไร
ย้อนกลับไปในอดีต วิธีการติดต่อกับวิญญาณนั้นมีตั้งแต่การใช้สื่อกลางอย่างเช่นกระดานตัวหนังสือ (นึกภาพเหมือนผีถ้วยแก้ว) หรือการใช้คนกลางเข้าทรง แต่หลายๆ ครั้ง ก็มีการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ในขณะนั้น อย่างเช่นภาพถ่าย เครื่องอัดเสียง หรือเครื่องฉายหนังเป็นตัวช่วยแม้ในยุคนี้ที่เทคโนโลยีก้าวหน้ามามาก หนึ่งในจุดประสงค์ของการใช้เทคโนโลยีล้ำๆ อย่าง Hologram, Deepfakes หรือ AR ก็ยังคงเกี่ยวข้องกับเรื่องของโลกหลังความตาย จุดประสงค์หลักอย่างหนึ่งก็คือ เพื่อรักษาการคงอยู่ของเราหรือคนที่เรารักที่แม้จะจากโลกนี้ไปแล้ว
เราอาจจะเคยได้ยินข่าว Kanye West ที่พาคุณพ่อของ Kim Kardashian กลับมาจากโลกหลังความตาย เพื่อมาอวยพรวันเกิดลูกสาวในรูปแบบของ Hologram หรือ Snoop Dogg แรปเปอร์ที่ได้ขึ้นแสดงคอนเสิร์ตคู่กับ Hologram ของ Tupac Shakur ซึ่งเสียชีวิตไป 15 ปีแล้ว ด้วยฝีมือของทีมงานดิจิทัลเอฟเฟกต์จากฮอลลีวู้ด และในช่วงหลายปีมานี้ ก็มีบรรดาคนดังที่ฟื้นคืนชีพกลับมาหาแฟนๆ ของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็น Whitney Houston, Marilyn Monroe, Ronald Reagan, Michael Jackson, Elvis Presley หรือ Amy Winehouse เป็นต้น
โน้ตไว้ตรงนี้นิดนึงว่า แม้หลายๆ ข่าวที่ออกมาจะเรียกการคืนชีพคนดังเหล่านี้ว่า Hologram แต่จริงๆ แล้ว Hologram เป็นการสร้างภาพแบบ 3D ซึ่งหมายถึงว่าคนดูต้องสามารถมองภาพนั้นได้จากทุกมุม (มีมิติของความลึก) แต่ในหลายๆ กรณี เป็นเพียงการสร้างภาพแบบ 2D ซึ่งคนจะดูได้จากมุมใดมุมหนึ่งเท่านั้น
เทคนิค Hologram อย่างหนึ่งที่นิยมทำกันมานานคือ ‘Pepper’s Ghost’ เป็นเทคนิคที่ใช้ประโยชน์จากการสะท้อนของแสง โดยฉายภาพสะท้อนผ่านกระจกใสที่ตั้งทำมุมไว้ 45 องศา เทคนิคนี้เป็นเทคนิคที่ Disneyland ใช้ในแทบทุกบ้านผีสิงในสวนสนุกเลย แต่ถ้าพูดถึงเทคนิค Hologram ยุคใหม่ ก็ต้องยกให้ Holonet ซึ่งเป็นวัสดุโปร่งใสที่สะท้อนแสงได้ดีและชัดกว่ากระจก ซึ่งใช้ใน Hologram ของคุณพ่อ Kardashian และคอนเสิร์ต Tupac Shakur ที่ Coachella เมื่อปี ค.ศ.2012
ต่อเนื่องมาจากแค่การสร้าง Hologram เซเลบริตี้เพื่อคลายความคิดถึงให้บรรดาแฟนๆ ก็เริ่มมีการให้บริการแนว Digital Cloning สำหรับคนที่อยากเก็บความทรงจำเอาไว้ หลักการคือจะมีการบันทึกภาพ 3D และเสียงของเรา จากนั้นนำไปเข้าโปรแกรมบางอย่าง เพื่อที่เวลาจะสร้าง Hologram ของเรา ก็แค่เอาคนอื่นมาขยับท่าทางหรือพูดข้อความที่ต้องการ แล้วใช้เทคโนโลยีอย่าง Deepfake, Visual Effect และ Sound Effect ช่วยตัดต่อหน้าและเสียงเราลงไป ก็จะออกมาเป็นเราที่ขยับและพูดได้ แม้ว่าเราจะไม่ได้อยู่ตรงนั้นหรือจากโลกนี้ไปแล้วก็ตาม
บริษัทอย่าง StoryFile ยังใช้ AI เพื่อเพิ่มเติมส่วนที่ทำให้เราในเวอร์ชั่น Hologram สามารถพูดคุยโต้ตอบได้ด้วย และเป็นไปได้ว่า หากมีการพัฒนา AI ไปถึงจุดหนึ่ง จะสามารถใส่ความรู้ ความเชื่อ และความคิดเห็นของมนุษย์จริงๆ และโลกยุคปัจจุบันจริงๆ เข้าไปใน Hologram ได้ด้วย ยิ่งถ้าใช้ร่วมกับเทคโนโลยี AR จะยิ่งช่วยให้สีหน้า ท่าทาง น้ำเสียง และการพูดเหมือนกับเราจริงๆ จนแทบแยกไม่ออก
หลายบริษัทเทคโนโลยี โดยเฉพาะยักษ์ใหญ่อย่าง Apple ก็กำลังลงทุนลงแรงพัฒนาผลิตภัณฑ์ AR/VR ทั้งแบบที่ดูเฉพาะในจอและแบบที่สวมใส่เพื่อมองโลกเสมือนให้เป็นโลกเดียวกับโลกจริงขณะเดินไปไหนมาไหนได้ เลยมีคนมองว่าเป็นไปได้ที่ Hologram จากโลกหลังความตายเหล่านี้ จะถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของโลกเราในที่สุด
นอกจากนี้ ยังมีบริการพาคนที่เรารักกลับมาจากโลกหลังความตายอีกหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นแอพฯ AR ในญี่ปุ่นที่ชื่อ Suma Tomb ที่ช่วยสร้าง Hologram คนที่เรารักขึ้นมาในแอพฯ เพื่อให้เขาได้อยู่กับเราในทุกๆ ที่ หรือบริษัท Artistry In Motion ใน South Florida ที่ให้บริการ Holographics หรือการแสดง Hologram ในงานศพเพื่อเป็นการระลึกถึงคนที่จากไป หรือบริการ Deep Nostalgia ของ MyHeritage ที่ให้เราอัพโหลดรูปถ่ายลงไปในเว็บ แล้ว AI จะช่วยทำให้ภาพถ่ายของคนๆ นั้นกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง หรือแชทบอท Replika ที่จริงๆ แล้วก็สร้างขึ้นมาจากการระลึกถึงเพื่อนที่ตายจากไปอย่างกะทันหัน
อย่างไรก็ตาม จากบริการและปรากฏการณ์การใช้เทคโนโลยีเพื่อพาคนกลับมาจากโลกหลังความตายที่เกิดขึ้นมากมายจนแทบจะกลายเป็นอุตสาหกรรมหนึ่งนี้ ก็มีการถกเถียงในประเด็นเรื่องของความยินยอม (Consent) ในจากการพาพวกเขา (?) กลับมาจากโลกหลังความตาย แถมยังเพื่อสร้างรายได้ให้กับคนบางกลุ่ม รวมถึงประเด็นที่ต้องถกเถียงกันต่อไปว่า คนเหล่านี้ไม่ใช่ผี แต่ก็ไม่ได้เป็นเพียงแค่ Hologram ดังนั้นเราควรปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร
หมายเหตุไว้ตรงนี้สักหน่อยว่า สิ่งหนึ่งที่มาพร้อมกับทุกๆ ความเชื่อ ก็คือการหลอกใช้ประโยชน์จากความเชื่อนั้น ก็ชวนคิดต่อไปว่าหากเกิดกรณีแบบนั้นขึ้นกับเราในวันที่เราไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว เราจะเรียกร้องได้อย่างไร และใครจะช่วยให้เราได้รับความเป็นธรรม
อ้างอิงจาก