ถนนหนทางทุกสาย มุมตึกคับแคบเพียงใด ทุกตารางเมตรในเมืองเศรษฐกิจใหญ่ของจีนล้วนมีกล้องล้ำหน้าติดตั้งไว้พร้อมทุกจุด กิจกรรมของผู้คนในสาธารณะจึงถูกบันทึกเก็บเป็นไฟล์ดิจิทัลเพื่อให้รัฐสะดวกเรียกใช้ หากจัดอันดับเมืองที่มีการสอดแนมมวลชน (mass surveillance) มากที่สุดในโลก 10 อันดับ จะเป็นเมืองที่อยู่ในจีนประเทศเดียวถึง 8 เมือง
อาจเรียกได้ว่าสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นประเทศที่มีการนำเทคโนโลยีตรวจอัตลักษณ์บุคคลที่ล้ำหน้าที่สุดมาปรับใช้จริงจับตามองชีวิตประจำวันของประชาชน เดี๋ยวนี้คุณเข้าตึกที่ทำงานก็ต้องสแกนใบหน้า จับปรับคนข้ามถนนผิดกฎหมายด้วยกล้องไฮเทคห่างไปอีก 3 ช่วงตึก หรือโดรนบินเหนือท้องฟ้าที่มีลำโพงคอยสื่อสารผู้คนที่สัญจร ราวกับว่ามีดวงตาลึกลับคอยจ้องมองแทบทุกที่
การสอดแนมมวลชนจึงกลายเป็นเรื่องปกติของสังคมจีน จนมักถูกประชาคมโลกตั้งคำถามประเด็นล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชนและความเป็นส่วนตัวที่มนุษย์พึงมี แต่เมื่อสถานการณ์ที่ไม่ปกติอย่างการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา COVID-19 เป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญที่ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนเร่งอัดฉีดงบประมาณเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีสอดแนมมวลชนให้มากขึ้น ในขณะนี้จีนมีผู้ติดเชื้อราว 77,000 ราย จากที่มีข้อมูลยืนยัน รัฐจึงจำเป็นต้องมีข้อมูลว่า พวกเขาทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ มีกิจกรรมที่ส่อติดเชื้อคนอื่นเพิ่มขึ้นหรือไม่ จีนต้องการภารกิจสอดแนมที่ไฮเทคกว่านี้ และอาจสร้างคำถามทางจริยธรรมตามมาอีกหลายประเด็นในระยะยาว
ล่าสุดรัฐบาลจีนร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่หลายเจ้าเพื่อพัฒนาเครื่องมือจับตากิจกรรมของกลุ่มผู้ติดเชื้อ COVID-19 ที่เป็นกลุ่ม confirmed cases โดยเทคโนโลยีหนึ่งในนั้นมาจากแพลตฟอร์ม Alipay ซึ่งเป็นระบบชำระเงินด้วยมือถือของ ‘อาลีบาบากรุ๊ป’ ซึ่งออก QR Code ประจำตัวบุคคลเชื่อมกับรหัสประชาชน พร้อมข้อมูลสีระบุภาวะกักกัน เช่น เหลือง แดง เขียว โดยอิงกับประวัติการเดินทางของบุคคลนั้นๆ หรือคนที่ไปรายงานกับแพทย์ด้วยตัวเอง QR Code แบบใหม่จะแบ่งสีเป็นระยะเวลาการกักกัน เช่น สีแดงสำหรับผู้ที่ต้องถูกกักกันเฝ้าระวังเชื้อ 14 วัน สีเหลือง 7 วัน การใช้ QR Code นี้เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถสแกนแต่ละบุคคลเก็บข้อมูลกิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้น จะมีการตรวจ QR ตามจุดเช็คพ้อยต์ต่างๆ ในเมือง อาจใช้โดรนร่วมด้วยในการบินตรวจบริเวณถนนไฮเวย์เพื่อสอดส่องผู้ขับขี่รถแต่ละคันก่อนผ่านด่าน
กระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศของรัฐบาลจีนยังร่วมกับบริษัทสื่อสาร 3 เจ้า China Telecom, China Unicom และ China Mobile เพื่อเรียกดูข้อมูลของผู้ใช้บริการได้นาน 14 วัน เพื่อสอดส่องว่าระหว่างนั้นพวกเขาเดินทางไปไหนบ้าง และรัฐสามารถส่งข้อความโดยตรงไปยังมือถือแต่ละบุคคล
รัฐจีนยังพัฒนาแอพเพื่อรับมือกับ COVID-19 โดยตรงในชื่อว่า Close Contact Detector ออกแบบร่วมกับบริษัท China Electronics Technology Group Corporation (CETC) ที่ฐานข้อมูลจะไปดึงมาจากข้อมูลสุขภาพระดับชาติ ข้อมูลการบิน และข้อมูลคมนาคมที่เกิดขึ้นทั้งหมดในจีน สามารถย้อนหลังแต่ละบุคคลได้ถึงปี ค.ศ.2000 ดังนั้นแอพจะประเมินความเสี่ยงของแต่ละคนและจัดหาจุดที่เหมาะสมที่สุดในการโดยสาร เช่น เมื่อต้องการจะซื้อตั๋วรถไฟ 1 เที่ยว คนในจีนต้องใช้รหัสประชาชน เบอร์โทรศัพท์กรอกเข้าไปในตัวแอพเพื่อจะปักหมุดว่าผู้ใช้บริการเคยอยู่ที่ไหน จะเห็นข้อมูลการเดินทางหรือสถานที่ทำงานอื่นๆ ที่ผ่านมาเป็นยังไง จากนั้นผู้ใช้สามารถระบุตัวเองได้ว่าอยู่ในกลุ่มติดเชื้อ COVID-19 ประเภทใดระหว่าง ยืนยันแล้ว (confirmed) หรือต้องสงสัย (suspected) และระบบจะทำการคัดกรองเพื่อจัดหาที่นั่งรถไฟที่เหมาะสมให้ โดยจะเลี่ยงไม่ให้นั่งติดกันกับบุคคลอื่นโดยเว้นระยะ 3 แถว หรือไม่ให้คนที่เคยติด ‘ธงแดง’ นั่งใกล้กับช่องปรับอากาศ เพียง 2 วันที่แอพนี้เปิดตัวมีผู้คนในจีนดาวน์โหลดไปมากถึง 100 ล้านครั้ง ช่วยระบุอัตลักษณ์ผู้ติดเชื้อได้มากถึง 70,000 ราย และรัฐเองยังสนับสนุนให้ประชาชนลงทะเบียนเพื่อใช้เพิ่มมากขึ้นสำหรับการเดินทางทุกประเภทในจีน
ในขณะนี้บริษัทมือถือยักษ์ใหญ่ของจีนอย่าง ‘หัวเว่ย’ ยังพัฒนาระบบช่วยเหลืออัจฉริยะที่ไปดึงข้อมูลจากเว็บไซต์ทางการแพทย์ Ding Xiang Yuan (DXY) ช่วยในการประมวลว่า หากต้องเดินทางโดยเครื่องบินครั้งต่อไปมีสายการบินใดที่มีผู้โดยสารกลุ่ม confirmed cases เดินทางด้วย
แอพแชตหลักของจีนอย่าง WeChat ยังสามารถช่วยระบุบุคคลที่ไปรายงานตัวกับหน่วยงานด้านสุขภาพของจีน และอยู่ในกลุ่มเสี่ยงติดเชื้อ เพื่อได้ข้อมูลปัจจุบันว่าบุคคลนี้อยู่พื้นที่ไหนบ้าง แสดงผลเป็นสีแดงและสีส้ม แสดงถึงได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อเป็นระยะเวลา 14 วันและ 28 วัน
ระหว่างการกักกันที่เข้มงวดขึ้น ประชาชนจีนเองก็ตั้งคำถามกับความเป็นส่วนตัวที่ถูกลิดรอนไป กิจกรรมทุกอย่างที่เคยถูกติดตามก่อนหน้านี้ แต่เมื่อ COVID-19 ระบาดยิ่งทำให้รัฐมีความชอบธรรมมากขึ้นอีกในการสอดส่องพฤติกรรมมวลชนที่นับวันจะ Real Time จับเวลาจริง ผนวกกับกฎหมายจีนที่เน้นหนักแบบ ‘ตรวจจริง จับจริง’ อย่างกรณีเมืองหางโจว เขตภาคตะวันออกมีการจับคนติดคุกแล้วถึง 9 รายที่ไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลการเดินทางหรือให้ข้อมูลประวัติสุขภาพบิดเบือน ขณะนี้มีแนวโน้มหลายเมืองจะใช้มาตรการเด็ดขาดกับผู้ละเมิดกฎ และดูเหมือนความวิตกกังวลของคนในสังคมจะยิ่งเร้าให้รัฐใช้วิธีที่รุนแรงขึ้นในการจัดการกับคนที่มีแนวโน้มเป็นปัญหา
ดังนั้นคำถามที่ตามมาว่าการสอดแนมมวลชนจะเป็นเครื่องมือที่ชอบธรรมในการรับมือ COVID-19 หรือไม่ เพราะดูเหมือนประเทศอื่นๆ ที่มีรายงานการติดเชื้อสูงก็มีแนวโน้มจะนำวิธีการแบบจีนไปปรับใช้บ้าง หลังจากไวรัสสามารถรักษาหายได้ ข้อมูลของประชาชนจะยังถูกติดตามต่อเนื่องนานอีกกี่ปี หรือมีอะไรเป็นหลักประกันว่าจะไม่ถูกนำไปใช้วัตถุประสงค์อื่น
ข้อมูลเหล่านี้จะเป็นการตีตรา (stigmatize) ประชาชนระยะยาวหรือไม่แม้พวกเขาจะหายแล้ว จะมีการใส่ร้ายคนที่มีความคิดทางการเมืองต่างฝ่ายแล้วใส่ข้อมูลลวงเพื่อให้บุคคลนั้นสูญเสียชื่อเสียงหรือเปล่า เรื่องเหล่านี้ก็ยังมีช่องว่างเป็นไปได้อีกมากและอาจผลักให้ประชนชนระแวงกันเองจนเกิดความแตกแยกของสังคมโดยที่รัฐใช้ข้อมูลเหล่านี้เป็นเครื่องมือ
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่นักสิทธิมนุษยชนในจีนตั้งคำถามต่อรัฐ แต่ยังไม่ได้คำตอบอะไรกลับมา ยิ่งจีนเพิ่มศักยภาพเทคโนโลยีระบุอัตลักษณ์ด้วยกล้องที่บันทึกภาพรายละเอียดสูงขึ้น และการใช้ระบบเครดิตทางสังคม (Social Credit System) การระบาดของ COVID-19 จะยิ่งสร้างความชอบธรรมแก่รัฐเพื่อควบคุมโรคระบาดหรือใช้ประโยชน์ในการเฝ้ามองพฤติกรรมคนอย่างละเมิดความเป็นมนุษย์เสียเอง
ล่าสุดกองทัพจีนยังได้ไฟเขียวให้ทดลองใช้ระบบตรวจจับใบหน้าที่สามารถระบุอัตลักษร์บุคคลได้จากระยะ 1 กิโลเมตรที่ซุ่มพัฒนามาตั้งแต่ปี ค.ศ.2016 เทคโนโลยีนี้จะน่ากลัวขึ้น เพราะเราไม่มีทางรู้ตัวเลยว่ามีกล้องระยะไกลจับตาดูอยู่ทุกฝีก้าว สามารถติดตั้งกับอากาศยานไร้ขนขับได้ง่ายๆ บวกกับการประมวลผลด้วย AI อัจฉริยะที่ทำให้ตรวจจับใบหน้าได้หลายคนในคราวเดียว ก็ยิ่งเป็นการเปิด ‘กล่องแพนโดร่า’ ที่รัฐจีนจะนำมาใช้ควบคุมประชนชนในอีก 10 ปีต่อไป
COVID-19 จะเป็นหมุดหมายสำคัญของประวัติศาสตร์จีนที่ทำให้สอดแนมมวลชนมีความล้ำหน้าและเข้มงวดขึ้น ความเป็นส่วนตัวจะถูกขัดง้างกับประโยชน์ส่วนรวม การใช้ชีวิต Dystopia อาจมาถึงมนุษย์เร็วกว่าที่คิด
อ้างอิงข้อมูลจาก
China launches ‘close contact detector app’ for coronavirus risk
China Has Imprisoned the Pastor of Its Largest Official Church
Coronavirus-fighting tech is strengthening China’s mass surveillance