200 ล้านคน ไม่ใช่จำนวนประชากรในประเทศใด ไม่ใช่จำนวนลูกค้าของแบรนด์ไหน ไม่ใช่จำนวนของประชากรที่เข้าถึงทรัพยากรอะไร แต่เป็นจำนวนผู้เสียชีวิตโดยประมาณจาก Black Death กาฬมรณะ การระบาดของกาฬโรคครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์มวลมนุษยชาติ
ไข้ขึ้นสูงเฉียบพลัน เลือดออกในอวัยวะ ก่อนที่เนื้อหนังกลายเป็นสีดำ อาการอันน่าสยดสยองของกาฬโรค ที่ทำให้ผู้ป่วยต้องเจ็บปวดก่อนจะจากไปอย่างแสนสาหัส จำนวนของผู้เสียชีวิตจากกาฬโรคในการระบาดครั้งใหญ่ ผู้คนล้มตายจนเรียกว่าลดจำนวนประชากรไปหลายเปอร์เซ็นต์ รวมๆ แล้วกว่า 200 ล้านคน โดยมีการระบาดด้วยกัน 3 ระลอกใหญ่ๆ ที่ถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ (เราขออธิบายคร่าวๆ เพราะเราจะไม่ได้โฟกัสที่เรื่องโรค)
เมื่อเจ้าหนู ที่หมายถึงหนูจี๊ดๆ อาศัยร่วมกับคนมาเนิ่นนาน มีเศษอาหารที่ไหน มีหนูที่นั่น แต่เจ้าหนูนั้นไม่ได้มาเดี่ยวๆ แต่นำเอาหมัดที่อยู่บนหนูอีกทีมาด้วย หนูตัวไหนที่เป็นโรค หมัดที่อยู่บนตัวนั้นก็เป็นไปด้วยเช่นกัน หมัดที่อาศัยอยู่บนตัวหนูก็คลุกคลีอยู่กับคนไม่ต่างกัน โรคร้ายแรงจากสัตว์ฟันแทะจึงได้อุบัติขึ้นในอาณาจักรไบแซนไทน์ ช่วงปี ค.ศ.541-542 เหตุการณ์นี้ถูกบันทึกไว้ในชื่อ ‘Plague of Justinian’ มีการแพร่ระบาดไปยังส่วนอื่นของโลก โดยเชื่อว่า ผู้คนล้มตายจากเหตุการณ์นี้นับล้านเช่นกัน
การระบาดครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด (The Great Plague) ที่ทำให้ชื่อ Black Death ก่อกำเนิดขึ้น มันเริ่มจากช่วง ค.ศ.1347 เกิดการระบาดในเส้นทางสายไหม จากอินเดียตอนใต้ แพร่กระจายไปยังยุโรป หลายเมืองสำคัญสูญเสียประชากรไปในจำนวนที่เราสามารถนับคนที่เหลืออยู่ได้โดยประมาณ และจำนวนคนที่เหลือรอดอยู่นั้น น้อยกว่าผู้เสียชีวิตหลายเท่า
และการระบาดครั้งสุดท้าย ช่วงศตวรรษที่ 19-20 เริ่มที่มณฑลยูนนาน ประเทศจีน แต่ก็ยังคงแพร่ระบาดไปทั่วทุกทวีป เพราะถึงตอนนั้น โลกยังไม่รู้ถึงสาเหตุของโรคนี้เลยด้วยซ้ำ (ตอนนั้นเชื่อว่าเป็นเพราะอากาศที่เป็นพิษจากศพ) แต่เหตุการณ์เลวร้ายนี้ได้หยุดลง เมื่อนายแพทย์ชาวฝรั่งเศส อเล็กซานเดร เอมิล ยีน เยอร์ซิน (Alexandre Emile Jean Yersin) ผู้คนพบแบคทีเรียที่เป็นต้นเหตุของความสูญเสียครั้งใหญ่ โดยมีการตั้งชื่อแบคทีเรียเจ้าปัญหานี้ว่า ‘Yersinia pestis’ เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้คนพบทั้งแบคทีเรียและวิธีการรักษาในภายหลัง
ภาพจำของเรื่องราวในตอนนั้น นอกจากความเจ็บป่วย ผู้คนล้มตายจำนวนมหาศาล ยังมีภาพของ ‘Plague Doctors’ หรือชื่อไทยอย่างตรงตัวว่า ‘หมอกาฬโรค’ หรือ ‘หมออีกา’ ที่มาพร้อมกับชุดคลุมยาวสีดำ มือถือไม้เท้า และหน้ากากคล้ายจะงอยปากของนกที่เป็นจุดเด่นสะดุดตา ด้วยภาพลักษณ์ที่ชวนขนหัวลุก ราวกับหลุดออกมาจากหนังสยองขวัญ ทำให้ชุดนี้ถูกจดจำทั้งในฐานะหมอและความตาย
ถ้าไม่นับจากบันทึกเหตุการณ์เรื่องกาฬโรค เราอาจจะได้เห็นหน้ากากลักษณะคล้ายกันนี้ตามงานชุมนุม เทศกาลฮัลโลวีน หรืองานแฟนตาซีอื่นๆ เพราะคอสตูมดูรวมๆ แล้ว มันก็ช่างสยองขวัญ ราวกับเป็นยมทูตอย่างนั้นแหละ สารภาพเลยแล้วกัน ว่าเราเองในตอนที่ยังไม่ได้ศึกษาเรื่องนี้ คิดว่าคนที่ใส่ชุดนี้ คือ สัปเหร่อ หมอผี มาขับไล่วิญญาณหรือโรคร้ายด้วยวิธีทางไสยศาสตร์
ใต้จะงอยปากนก และชุดดำทะมึนนั้น
ไม่ได้มีเพื่อไสยศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด
แต่กลับเป็นฟังก์ชั่นของการป้องกันโรคของหมอ
ผู้ที่ต้องใกล้ชิดผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตที่สุด
ในช่วงศตวรรษที่ 17 เนี่ย ต้องเข้าใจก่อนว่าสภาพบ้านเมือง สุขอนามัย การอุปโภคบริโภค และวิทยาการทางการแพทย์ยังไม่ได้ก้าวหน้าเหมือนสมัยนี้ (ก็ถึงขนาดที่ว่าเพิ่งมารู้ในการระบาดระลอกหลังว่ามันเกิดจากอะไร) พอไม่รู้สาเหตุ การระบาดแบบควบคุมได้ยาก ผู้คนก็คิดว่าตรงนี้มีโรค ย้ายดีกว่าจะได้ปลอดภัย แต่พอคนอพยพจำนวนมากๆ เข้า ก็กลายเป็นการแพร่เชื้ออย่างรวดเร็วแทน
การรักษาในตอนนั้น ทำได้เพียงรักษาตามอาการ และชุดหมออีกานี้ก็เช่นกัน ชาร์ลส์ เดอ ลอร์ม (Charles de Lorme) นายแพทย์ชาวฝรั่งเศส ที่มีชื่อเสียงจากการรักษาเหล่าราชวงศ์ชั้นสูงของยุโรปและเป็นผู้ออกแบบยูนิฟอร์ม Plague Doctors อีกด้วย ชุดคลุมยาวสีดำสนิททั้งตัวคล้ายยมทูตโดยไม่ได้ตั้งใจนี้ ประกอบไปด้วย เสื้อคลุมที่เคลือบด้วยขี้ผึ้ง สวมทับกางเกงขายาวที่เชื่อมกับรองเท้าบู๊ต เสื้อด้านในเองก็ต้องใส่ทับใน ถุงมือปิดมิดชิด ส่วนหัวมีฮู้ดและหมวกใส่ทับจากหนังแกะ หน้ากากคล้ายนกที่มีแว่นป้องกันดวงตา พร้อมไม้เท้าในมือ
ด้วยฟังก์ชั่นของเสื้อผ้า ชัดเจนเลยว่าต้องการป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายของหมอ ผู้ยืนอยู่บนความเสี่ยงที่จะติดเชื้อตลอดเวลา ไม้เท้านั้นก็มีไว้เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัส (ถ้าเป็นสมัยนี้ก็คงเป็นที่กดลิฟต์แหละนะ) หน้ากากน้ันเองก็ด้วย มันถูกออกแบบมาให้มีจะงอยยาวออกมาครึ่งฟุต เพื่อใส่ตัวยาและสมุนไพรบางอย่าง เช่น ผงสกัดจากพิษงู อบเชย มดยอบหรือยางไม้หอม น้ำผึ้ง เป็นต้น โดยเชื่อว่ามันจะดักเอาอากาศที่เป็นพิษ (ที่เชื่อว่าเป็นต้นตอของโรค) และป้องกันสารคัดหลั่งจากผู้ป่วยก่อนที่หมอจะสูดลมหายใจเข้าไป
สรุปแล้ว ฟังก์ชั่นหลักของมันทำมาเพื่อป้องกันละอองของสารคัดหลั่งจากผู้ป่วย และเชื้อโรคในอากาศ เพราะตอนนั้นยังเชื่อว่าโรคนี้เกิดจากอากาศที่เป็นพิษ หมอที่ต้องอยู่ใกล้ชิดผู้ป่วย จึงต้องระมัดระวังเรื่องนี้อย่างเคร่งครัด ในทุกการหายใจเข้าออก จึงต้องผ่านสมุนไพรที่ถูกบรรจุไว้ในจะงอยของหน้ากากนั่นเอง
จะว่าไป หน้ากากนี้ก็เหมือนเกิดมาจากความเข้าใจผิดอยู่กลายๆ ที่ตอนนั้นดันไประวังเรื่องอากาศเป็นพิษมากกว่าสัตว์ฟันแทะที่เป็นพาหะของโรคนี้ แต่อย่างไรก็ตามหน้ากากนี้ก็ช่วยป้องกันการสัมผัสสารคัดหลั่งจากผู้ป่วยได้ดีเยี่ยม เพราะมันสามารถติดเชื้อจากการสัมผัสและสารคัดหลั่งด้วยเช่นกัน
แม้รูปลักษณ์ของมันจะคล้ายยมทูต สอดคล้องกับชื่อ Black Death แต่นั่นคือความไม่ตั้งใจ แต่ความตั้งใจของมันคือการใช้งานจริง ที่ตั้งใจเอามากันอากาศเป็นพิษ แต่ดันป้องกันการสัมผัสและสารคัดหลั่งอย่างไม่ตั้งใจแทน และอาจจะมีของอีกหลายชิ้นที่เกิดจากความตั้งใจและไม่ตั้งใจที่ปะปนกันไปอย่างนี้แทรกอยู่ในประวัติศาสตร์เช่นกัน
อ้างอิงข้อมูลจาก