มนุษย์ไม่ได้จู่ๆ ก็กระโดดดึ๋งมาพร้อมความสมบูรณ์แบบ (และเราก็ยังไม่ได้ใกล้เคียงนัก) พวกเราล้วนถูกเสริมเติมแต่งด้วยชิ้นส่วนแห่งวัฒนาการจากสิ่งละอันพันละน้อยตลอดเวลานับล้านๆ ปี ซึ่งพัฒนาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้สร้างปัจจัยร่วมที่ทำให้เราปลดล็อกความสามารถ 2 ปัจจัยหลักๆ ทำให้มนุษย์มีความพิศวงกว่าเผ่าพันธุ์อื่นๆ คือ ‘การยืนได้ตรง’ และ ‘ทักษะการหยิบจับวัตถุ’ ที่เราล้วนทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ จนนำไปสู่พัฒนาการอื่นๆ ตามมา
คุณเองก็มีลำดับดีเอ็นเอร่วมกันกับชิมแปนซีและโบโนโบถึง 99% แต่บรรพบุรุษของคุณแยกสายวิวัฒนาการมาจากกลุ่มลิง เมื่อราว 7 ล้านปี หรืออาจนานกว่านั้นถึง 13 ล้านปี
ดังนั้นกว่าคุณจะเป็นคุณได้ มันจึงผ่านประสบการณ์อันยาวนานที่ร่างกายค่อยๆ เรียนรู้และปรับตัว
ในช่วงเวลาล้านๆ ปีที่ผ่านพ้นไป คุณเก็บแต้มทางวิวัฒนาการอะไรที่ชัดเจนมาแล้วบ้าง
และในอนาคตเราจะได้ไปต่อแค่ไหน?
4 ล้านปี – 3 ล้านปี
- ข้อเข่าแข็งแรง (Strong Knee Joint) 1 ล้านปี
- นิ้วเท้าสั้น (Short Toes) 7 ล้านปี
- อุ้งเท้าโค้ง (Arched Foot) 7 ล้านปี
- กระดูกเชิงกรานกว้าง (Broad Pelvis) 2 ล้านปี
การยืนและเดินได้ตรงด้วย 2 ขา (Bipedalism) เป็นการเปลี่ยนแปลงอันน่าประทับใจ มันแยกพวกเราออกจากกลุ่มโฮมินิดอื่นๆ ที่ยังนิยมเดิน 4 ขาหรือปีนป่ายห้อยโหน การทรงตัวได้มั่นคงเป็นเรื่องง่ายขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของกระดูกเชิงกรานและเข่าที่รับน้ำหนักได้ดี เมื่อเราเดิน ยืน หรือนั่ง จุดศูนย์ถ่วงของน้ำหนัก (Center of Gravity) จะไปอยู่ที่เชิงกราน สร้างสมดุลโดยพึ่งพาพลังงานของกล้ามเนื้อเพียงน้อยนิด (แต่ก็ยังเมื่อยขาอยู่ดี เวลายืนนานๆ เนอะ)
เท้าของคุณก็ใช่ย่อย น้ำหนักที่เคยอยู่ขาคู่หน้า ถูกโอนถ่ายมาอยู่ขาหลัง ทำให้อุ้งเท้ามีการเปลี่ยนแปลงเชิงกายภาพจนโค้งงอกว่ากลุ่มลิงอื่นๆ และนิ้วเท้าที่สั้นลงเปลี่ยนเราให้เป็นยอดนักวิ่งลมกรด ทำให้บรรพบุรุษของคุณรอดพ้นจากภัยต่างๆ มาเป็นล้านๆ ปี ถ้าเห็นอะไรไม่สู้ดีก็วิ่งเถอะ!
3 ล้านปี – 2 ล้านปี
- นิ้วโป้งยาว (Long Thumb) 3 ล้านปี
- ไหล่ต่ำ (Low Shoulders) 2.5 ล้านปี
- กระดูกต้นแขนบิด (Twisted Humerus Bone) 2 ล้านปี
จะหยิบจับอะไรก็ง่ายสะดวกถึงทุกวันนี้ มาจากคุณลักษณะพิเศษของนิ้วมือและแขนของพวกเราที่หยิบอะไรก็ติดมือ และมีการถ่ายโอนน้ำหนักไปสู่แขนและไหล่ร่วมด้วย ทำให้เรามีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมได้ละเอียดกว่า เคลื่อนไหวแม่นยำ ซึ่งนับเป็นวิวัฒนาการอันก้าวกระโดดของมนุษย์ ทำให้เราเรียนรู้ที่จะสร้างเครื่องมือจากวัสดุตามธรรมชาติ ปรับเปลี่ยน แก้ไข เพื่อใช้ประโยชน์จากสิ่งรอบตัว
รุ่งอรุณแห่งการทำเครื่องมือหิน (Stone Tools Making) ย้อนไปราว 2.6 ล้านปีในเอธิโอเปีย โดยนักโบราณคดีพบเครื่องมือหินโอลโดวาน (Oldowan) เป็นหินขนาดเล็กที่ถูกกะเทาะจนมีความแหลมคม และพบร่องรอยการใช้ของมีคมในกระดูกสัตว์
แต่คุณก็อย่าหัวเราะเครื่องมือหินพวกนี้เชียว มันไม่ได้ทำง่ายๆ! นักวิจัยโบราณคดีจากมหาวิทยาลัย Emory ศึกษาเครื่องมือหินเหล่านี้ ยืนยันว่ากว่าคุณจะกะเทาะหินสำเร็จจนมีความคมเพียงพอ คุณต้องพร่ำฝึกสกัดหินอย่างน้อย 300 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ (ในมนุษย์ปัจจุบันและอาจนานกว่าสำหรับมนุษย์ในอดีต) ซึ่งพลาดแล้วพลาดเลย ไม่มีโอกาสที่ 2 ดังนั้นมนุษย์ผู้สกัดหินจำเป็นต้องมีสมาธิมากและเรียนรู้จากความผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
การเรียนรู้การทำเครื่องมือจึงเป็นเบาะแสสำคัญอีกอย่าง ที่นำมนุษย์ไปสู่ความฉลาดและการพัฒนาการทางสมองที่น่าทึ่ง
2 ล้านปี – 1 ล้านปี
- เอวยาวและยืดหยุ่น (Long Waist) 1.9 ล้านปี
- กระดูกซี่โครงทรงถังน้ำ (Barrel Shaped Rib Cage) 1.6 ล้านปี
- สมองใหญ่ขึ้น (Large Brain) 1 ล้านปี
หลังจากคุณเรียนรู้ที่จะใช้เครื่องมือแล้ว มันทำให้รสนิยมในการกินของคุณเปลี่ยนไป ในอดีตมนุษย์พึ่งพาแหล่งอาหารจากคาร์โบไฮเดรตและไขมัน แต่การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศทำให้เราต้องหันไปพึ่งโปรตีนเพิ่มมากขึ้น คือการกินเนื้อสัตว์ และสามารถแล่ออกเป็นชิ้นเล็กๆ โดยกระเพาะอาหารไม่ต้องกินกักตุนไว้เยอะๆ ปัจจัยด้านอาหารทำให้ระบบการย่อยอาหารเปลี่ยนไป กระเพาะและตับลดภาระจนมีขนาดเล็กลง ส่งผลให้ซี่โครงของเราเริ่มมีทรงถังน้ำมากกว่าบรรพบุรุษ
และจากการเรียนรู้ใช้เครื่องมือหิน ปริมาตรของสมองของมนุษย์เพิ่มขึ้นจนมีน้ำหนักราว 1.5 กิโลกรัม คิดเป็น 2% ของน้ำหนักตัว แต่ ‘น้ำหนัก’ อย่างเดียวก็ไม่ใช่สัญญาณแห่งความฉลาดทั้งหมด ต้องมีโครงสร้างของเซลล์ประสาทที่ผสานกันอย่างหนาแน่นด้วย คาดว่าสมองคุณมีเซลล์ประสาทราว 86 พันล้านนิวรอนที่เกี่ยวพันกันเต็มไปหมด
ส่วนหนึ่งสันนิษฐานว่าปัจจัยของอาหารส่งผลให้สมองเราเติบโตจากการพึ่งพาแหล่งอาหารทางทะเล และการอพยพย้ายถิ่นฐานจนต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวให้ได้กับสภาพแวดล้อมอันหลากหลาย
1 ล้านปี – 100,000 ปี
- มีคาง (Chin) 200,000 ปี
- ผิวเกลี้ยง ไม่มีขน (Naked Skin) 100,000 ปี
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ ‘มีคาง’ อย่างแท้จริง แต่จากงานวิจัยล่าสุดของมหาวิทยาลัย Iowa พบว่าคางของเรา ไม่ได้เกิดจากวิวัฒนาการเคี้ยวอาหารอย่างที่เคยตั้งสมมติฐานกันในอดีต แต่เกิดจากการปรับเปลี่ยนฮอร์โมนเจริญเติบโตของร่างกาย (Growth Hormones) ที่ทำให้กะโหลกเปลี่ยนรูปทรง และมนุษย์ใช้ชีวิตแบบสังคมมากขึ้น
ผิวที่เกลี้ยง เป็นมัน ทำให้คุณเป็นไพรเมตสายพันธุ์เดียวที่ไม่มีขน เนื่องจากร่างกายพยายามปรับตัวกับสภาพแวดล้อม การเดินทางไกลเป็นเวลานานๆ บังคับให้ร่างกายต้องระบายความร้อนด้วยเหงื่อเพื่อลดการสะสมความร้อน ขนจึงลดความสำคัญลง นอกจากนั้นผิวเกลี้ยงๆ ทำให้มนุษย์พยายามสื่อสารเชิงสัญลักษณ์ผ่านร่างกายด้วยการทาสีบนเรือนร่าง สักลายเส้นหรือลวดลาย และบอกอัตลักษณ์ตัวตนของคุณให้แตกต่างจากคนอื่นๆ
100,000 ปี – ปัจจุบัน
- ฟันคุด (Wisdom Teeth) 30,000 ปี
- หายใจในพื้นที่สูงได้ (Living at High Altitudes) 12,500 ปี
- มีตาสีฟ้า (Blue Eyes) 10,000 ปี
- ดื่มนมได้ตลอดชีวิต (Milk Drinker) 3,000 ปีก่อน
อาหารที่นุ่มขึ้นจนเคี้ยวง่ายจากการใช้อุปกรณ์ช่วยในการกิน ทำให้ฟันกรามลดภาระ ส่งผลให้กรามมีขนาดเล็กลงจนฟันไม่มีพื้นที่จะขึ้นจนกลายเป็น ‘ฟันคุด’ ซึ่งในอนาคตปัญหาฟันคุดจะค่อยๆ ลดไป เพราะมีประชากรราว 35% ที่เกิดมาโดยไม่มีปัญหาฟันคุดกวนใจ
ปอดของเราทำงานหนักขึ้น จากบรรพบุรุษเมื่อหมื่นปีก่อนไปใช้ชีวิตบนยอดเขาสูงซึ่งมีออกซิเจนน้อย เปลี่ยนให้ฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) โปรตีนสำคัญในเม็ดเลือดแดงลำเลียงออกซิเจนได้มากกว่าเดิม
มนุษย์ล้วนมีตาสีน้ำตาลมาดั้งเดิม แต่เกิดการกลายพันธุ์เมื่อ 10,000 ปีก่อนในประชากรแถบทะเลดำ (ที่อยู่ระหว่างทวีปยุโรป เอเชียไมเนอร์ และดินแดนคอเคซัส) มีการส่งต่อตาสีฟ้าผ่านพันธุกรรมในชาวยุโรปรุ่นต่อๆ มา
และจากการทำปศุสัตว์อย่างแพร่หลาย ทำให้ชีวิตมนุษย์ไม่เคยขาดแคลนนมแม้จะโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ทำให้หลายคนมีวิวัฒนาการของเอนไซม์แลคเตสในการช่วยย่อยนม กินนมได้โดยไม่มีอาการท้องเสีย และแคลเซียมจากนมเองก็ยังเป็นแหล่งแร่ธาตุที่ดีจำเป็นต่อความแข็งแรงของกระดูกและฟัน
ปัจจุบัน – 100,000 ปีข้างหน้า?
- นิยายวิทยาศาสตร์จะเป็นความจริง
- ไม่มีข้อจำกัดทางพันธุกรรม
- ร่างกายเป็นหนึ่งเดียวกับจักรกล
- เราคือมนุษย์ที่อาศัยในหมู่ดาว
‘เด็กหลอดแก้ว (In vitro fertilization)’ จะเป็นเรื่องที่ยอมรับได้โดยทั่วไป เราสามารถปรับปรุงสารรหัสพันธุกรรมทั้งหมด ตั้งแต่ยังเป็นตัวอ่อน (Embryos state) ด้วยเทคโนโลยีตัดต่อยีนที่จะพัฒนาจนแม่นยำขึ้นเรื่อยๆ เด็กทุกคนจะถูกออกแบบเพื่อลดความบกพร่องทางพันธุกรรมทั้งหมดก่อนออกมาดูโลก คุณจะเลือกเป็นเชื้อชาติใดก็ได้ มีเส้นผม สีตาอย่างไรก็ได้ ไม่มีข้อจำกัดทางพันธุกรรมอีก
หรือถัดมาหน่อย ร่างกายมนุษย์จะอยู่ร่วมกับเครื่องจักรเพื่อให้ได้ซึ่งศักยภาพทางร่างกายใหม่ๆ (ปัจจุบันมีคนราว 20,000 คนฝังเซนเซอร์ในร่างกายเพื่อเปิดปิดประตู) คุณอาจรับฟังความคิดของคนอื่นผ่านเสารับสัญญาณที่ติดตัว มองในที่มืดได้แบบ Night Vision และเซลล์ประสาทอาจเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ โดยใช้เวลาเพียงพริบตา
หากมองอนาคตไปไกลกว่านั้น มนุษย์ไม่จำเป็นต้องอาศัยบนโลกแล้ว เราล้วนเดินทางข้ามไปมาระหว่างดาวเคราะห์ ดาวอังคาร ดวงจันทร์ และโลก (หรือแม้กระทั่งสถานีอวกาศที่โคจรรอบๆ) ซึ่งก็ยังเผชิญคำถามว่า ปัจจัยต่างๆ ที่เปลี่ยนไปจากสภาพแวดล้อมจะทำให้กายภาพของมนุษย์แสดงออกอย่างไร และในขณะนั้นมีวิทยาการใดๆ มาแก้ปัญหาแล้วหรือยัง?
แม้มนุษย์จะเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีช่วงเวลาแห่งวิวัฒนาการอันแสนสั้น แต่ทุกครั้งมักเป็นการก้าวกระโดด กระโจนอย่างสุดตัว
ชีวิตของคุณเกิดจากการสะสมสิ่งละอันพันละน้อยที่เกิดขึ้นในไทม์ไลน์ก่อนที่คุณเองจะมีลมหายใจเสียอีก
และมันนำมาสู่คำถามสุดท้าย “คุณเองจะส่งอะไรต่อให้กับคนที่รออยู่?”
อ้างอิงข้อมูลจาก
The Neanderthal rib-cage and pelvis expanded to adapt to a high-protein diet in Ice-Age Europe
Why we have chins: Our chin comes from evolution, not mechanical forces