เทคโนโลยีสารสนเทศกำลังทำลายเส้นบางๆ ระหว่างสำนักงานและบ้านอันคุ้นเคย ผู้คนทั่วโลกเริ่มหอบงานไปทำที่บ้านมากขึ้น โดยที่ไม่สูญเสียศักยภาพในการสื่อสาร ความยืดหยุ่นที่ลงตัวทำให้คน ‘รักงาน’ เพิ่มมากขึ้นหรือไม่? และอะไรคือผลเสียที่ตามมา นักวิจัยวางรากฐานคำแนะนำที่น่าสนใจ เพื่อให้ทั้งบอสและคุณทำงานที่รักได้อย่างราบรื่นตลอดรอดฝั่ง
(ป.ล. บทความนี้เขียนที่บ้าน หลังจากงีบมาแล้ว 30 นาที)
คงไม่มียุคสมัยไหนที่ผู้คนในสถานะ พนักงาน หรือ ลูกจ้าง สามารถทำงานที่บ้านมาส่งได้ทัดเทียมกับยุคนี้ ใครจะกล้าบอกว่า “บอส! ขอเอากลับไปทำที่บ้าน” ก็คงไม่มี แต่ปัจจุบันเริ่มเป็นที่ยอมรับขึ้นเรื่อยๆ ใน Firm รุ่นใหม่ๆ ที่เปิดโอกาสให้คนมีสิทธิเลือกกระบวนการจบงานของตัวเอง จะทำที่ไหนก็ได้ แต่ต้องเสร็จ
จากความเชื่อที่ว่า ระยะทางและสถานที่ไม่ได้เป็นตัวกำหนดประสิทธิภาพผลงาน แนวคิด Teleworking หรือทำงานทางไกล จึงถูกถกเถียงมากขึ้น น่าจะเป็นเรื่องดีที่คุณไม่ต้องทนเบียดกับผู้คนในรถโดยสารสาธารณะที่มีอย่างน่าน้อยใจ
ไม่ต้องเผชิญกับการจราจรที่เหมือนฝันร้ายในชั่วโมงเร่งด่วน หรือบ่ายๆ หนังตาหย่อนๆ ก็ลุกไปงีบได้โดยไม่ต้องแคร์สายตาใคร หากบอสเรียกประชุมด่วนก็ยังเปิดโปรแกรมแชทคุยกันแบบเห็นหน้าเห็นตาไปเลยก็ย่อมได้ ไหนๆ อินเทอร์เน็ตบ้านยุคนี้ก็ความเร็วมากกว่า 10 Mb อยู่แล้วนี่
ในสังคมอเมริกันเป็นชาติแรกๆ ที่ใช้ Teleworking เพื่อสร้างความยืดหยุ่นในการทำงาน จากข้อมูลของสถาบัน U.S. Census Bureau รายงานว่า มีคนอเมริกันเอางานกลับไปทำที่บ้าน 1 วันต่อสัปดาห์ เพิ่มขึ้นกว่าเดิมถึง 35% หากนับตั้งแต่ปี 1997 ถึง 2010 หรือ คิดเป็นจำนวน 13.4 ล้านคนเลยทีเดียว และเมื่อสอบถามพนักงานเกือบทุกระดับกว่า 80 – 90% ยอมรับว่า พวกเขาอยากทำงานที่บ้านอาทิตย์ละ 1 ครั้งเป็นอย่างน้อย หากเจ้านายอนุญาต
ข้อมูลชุดนี้องค์กรก็ไม่ได้เมินเฉยนัก พวกเขาพยายามหาคำตอบว่า ถ้าปล่อยให้พนักงานทำงานที่บ้าน จะได้ประสิทธิภาพตามที่คาดหวังไว้ไหม หรือไอ้ความตั้งใจจะเหลวเอาเสียมากกว่า แต่เมื่อ Teleworking กำลังจะเป็นเมนสตรีม ทุกองค์กรจึงต้องขยับ
วิทยาศาสตร์เองจึงมีบทบาทในการประเมินเบื้องต้นถึงผลลัพธ์ที่ตามมา และดูเหมือนพนักงานบางคนก็มีลักษณะนิสัยเก็บตัว ซึ่งเหมาะกับการอยู่บ้านกว่ามาออฟฟิศ บริษัทจะได้กำไรและประสิทธิภาพจากการตัดสินใจครั้งนี้ไหม
Home Sweet Office
ทำงานที่บ้านเวิร์คไหม? ยังไม่เคยมีใครหาคำตอบอย่างเป็นรูปธรรมได้เลย เพิ่งมีงานศึกษาอย่างจริงจังก็ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมานี้เอง (ใช่แล้ว มันเป็นของใหม่สุดๆ) โดยนักเศรษฐศาสตร์ Nicholas Bloom จากมหาวิทยาลัย Stanford โดยศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นพนักงานของบริษัท Ctrip โดย NASDAQ จัดอันดับให้เป็นเอเจนซี่ชั้นนำในเซี่ยงไฮ้ มีอาสาสมัครร่วมโครงการกว่า 16,000 คน ในการทดลองตลอดระยะเวลา 9 เดือน แบ่งเป็นกลุ่มพนักงานที่อนุญาตให้ทำงานที่บ้านได้ และกลุ่มที่ต้องมาสำนักงานตามปกติ เพื่อดูว่าตลอด 9 เดือน กลุ่มไหนมีประสิทธิภาพกว่ากัน
งานชิ้นนี้ตีพิมพ์ในปี 2015 ในวารสาร Quarterly Journal of Economics และผลการวิจัยค่อนข้างฮือฮา เพราะบริษัทสามารถทำกำไรจากกลุ่มที่ทำงานจากบ้านได้ 1,900 เหรียญสหรัฐ (65,700 บาท) ต่อรายบุคคลในแต่ละปี ส่วนหนึ่งมาจากที่บริษัทสามารถประหยัดงบประมาณการเช่าสถานที่ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าแอร์ และพนักงาน Productive มากกว่าปกติถึง 13%
พนักงานทำงานที่บ้าน พักเบรกน้อยกว่า ทำงานตั้งแต่เช้า กินข้าวกลางวันเพียง 30 นาที และมีรายงานว่าพวกเขาจดจ่อกับงานที่ทำได้ดีกว่าจากสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย และที่สำคัญ พวกเขามีแนวโน้มจะลาออกจากงานน้อยกว่า คนทำงานออฟฟิศเป็นประจำ
ความสุขจากการทำงานในบ้านมีผลกระทบอย่างน่าทึ่ง พบว่าคนที่สามารถยืดหยุ่นเวลาทำงานที่ไหนก็ได้ ไม่ได้ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลงอย่างที่ตั้งป้อมไว้ตั้งแต่แรก
ในขณะเดียวกัน พนักงานบริษัทที่ทำงาน Full Time ที่ต้องเข้าไปตอกบัตรตามเวลาบริษัท ดูจะถอดใจง่ายกว่าเมื่อเจองานที่ท้าทาย เช่น ในขณะที่คุณกำลังอ่อนล้าแต่ยังต้องฝืนทนทำงานยากๆ นั้นต่อไป ก็ยิ่งดูดพลังออกเร็วขึ้นเท่านั้น แต่การที่คุณสามารถไปพักสมองจากกิจกรรมอื่นๆบ้าง อย่างงีบหลับเบาๆ โยคะสักยก เล่นกับลูก อุ้มหมา อุ้มแมว ทำให้คุณกลับมาเผชิญหน้างานด้วยความพร้อมกว่า เพราะจริงๆ แล้ว เราทำงาน ก็ต่อเมื่อเราพร้อมเท่านั้น
ข้อมูลของ Global Workplace Analytic วิเคราะห์ว่า หากพนักงานบริษัท 1 ใน 4 ของอเมริกาหอบงานไปทำที่บ้าน และเทรนด์นี้ไต่ระดับทุก 25 % ในทุกๆ ปี จากความก้าวกระโดดด้าน Teleworking สหรัฐอเมริกาจะประหยัดงบประมาณได้ถึง 900 ล้านเหรียญต่อปี (31,104 ล้านบาท) เลยทีเดียว
- ประหยัดค่าที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ 170 พันล้านเหรียญ
- รายได้เพิ่มขึ้น 466 พันล้านเหรียญ จาก Productivity ที่เพิ่มมากขึ้น
- ประหยัดค่าขนส่งมวลชน ค่าคำความสะอาด 7,000 เหรียญต่อหัวต่อปี
- ประหยัดเวลาการเดินทางในขนส่งสาธารณะ 2 – 3 สัปดาห์ ใน 1 ปี
- ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึงปีละ 51 ล้านตัน
สิ่งเหล่านี้คือคุณูปการของพวกเราที่ทำงานที่บ้าน เราลดค่าใช้จ่ายส่วนรวมได้มาก และได้เวลาชีวิตเพิ่มขึ้น ความสูญเสียจากการใช้ทรัพยากรลดลง เพราะไม่มีใครอยากเปิดแอร์แบบกระหน่ำ เพราะเขาเองนั่นล่ะจะต้องรับผิดชอบบิลปลายเดือน
มันต้องมีข้อเสียบ้างสิ
ความห่างเหินระหว่างพนักงานด้วยกันและผู้บังคับบัญชาอาจบั่นทอนความสัมพันธ์ และวันหนึ่งมันก็คงจะไปสะดุดอะไรเข้าสักอย่าง การทำงานที่บ้านก็ไม่ได้เป็นยาวิเศษที่แก้ได้ทุกอย่าง โดยเฉพาะความน้อยอกน้อยใจ
งานวิจัยของสถาบันในจีนพบว่า คนทำงานที่บ้านได้รับโปรโมตช้ากว่าคนที่เข้าออฟฟิศ ส่วนหนึ่งอาจมาจากวัฒนธรรมดั้งเดิมของสังคมนั้นๆ ที่นับถือคนทำงานหนัก (Hard worker) มากกว่า และวินัยที่วัดผลได้ชัดเจนใน KPI มักมาจากบัตรเวลาที่ไม่มีช่องว่าง
การหายไปนานๆ จากบรรยากาศสำนักงานทำร้ายความสัมพันธ์ คนส่วนใหญ่รู้สึกว่าไม่รู้จะเข้ากับเพื่อนคนไหนดี จะทำงานร่วมกับใครถึงจะสบายใจที่สุด เพราะพวกเขาแทบไม่สนิทสนมกับใครเป็นพิเศษ
และการทำงานนอกสถานที่ก็ไม่เหมาะกับทุกอาชีพ ไม่ใช่ใครก็สามารถปรับแผนธุรกิจให้เป็นเช่นนั้นได้ อาชีพอย่าง รับเหมาก่อสร้าง แพทย์ผ่าตัด นักแสดง หรืออาชีพอะไรก็ตามที่จำเป็นต้องการคุณอยู่ตรงนั้น เพราะต้องการความสามารถคุณในการขับเคลื่อน การทำ Teleworking จึงมีข้อจำกัดอยู่พอสมควร
คนที่ปรารถนาในการทำงานที่บ้าน ต้องแน่ใจว่าตัวเองมีวินัยยิ่งยวด และมีความมั่นใจที่จะทำงานให้สำเร็จลุล่วงในเวลากำหนดโดยที่ไม่มีใครคอยบินโฉบไปมาเพื่อดูพฤติกรรมของคุณ ซึ่งความเชื่อใจเช่นนี้ก็ไม่ได้มาง่ายๆ
และมีหลายคนอีกเช่นกันที่ชื่นชอบการทำงานร่วมกับผู้อื่น เพราะรู้สึกได้รับการถ่ายเทพลังงานเชิงบวกจากเพื่อนร่วมงานมากกว่านั่งทำงานอยู่คนเดียว หรือบรรยากาศสำนักงานน่าอยู่มาก ผู้คนเป็นมิตร หรืออย่างน้อยๆ ก็มีหนุ่มหล่อสาวสวยที่แอบชอบจนอยากไปทำงานด้วยทุกวัน เรื่องแบบนี้ก็ห้ามยาก
เตรียมตัวสำหรับอนาคตไว้ก่อน
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนบ้านเป็นที่ทำงาน เป็นเพียงกระบวนการหนึ่งที่เราตัดสินใจเพื่อทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ เทคโนโลยีสร้างพื้นที่ให้การสื่อสารมีความหมาย ผู้เชี่ยวชาญหลายคนคาดว่าวันหนึ่งเราไม่จำเป็นต้องมาทำงานแบบตัวเป็นๆ เลยด้วยซ้ำ ทุกคนทำงานที่บ้านของตัวเอง และระบบจะจัดการทุกอย่างเอง
ซึ่งมันไม่ได้เปลี่ยนแค่สภาพแวดล้อมการทำงาน แต่มันเปลี่ยนไปถึงโครงสร้างเมือง องค์กรไม่จำเป็นต้องเช่าอาคารราคาแพง หรือบริษัทมี Headquarter หลายแห่ง พนักงานสามารถเลือกเข้าไป Sit in จากที่ไหนก็ได้ที่เขาสะดวกที่สุด ไม่ต้องใหญ่โต หรูหรา แต่เข้าถึงง่ายและส่งงานได้ฉับไว
มนุษย์ทำงานแบบเจอหน้ามาตลอดวิวัฒนาการของพวกเรา ดังนั้นจึงไม่ง่ายที่จู่ๆ เราจะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นเดิมโดยไม่ต้องพบหน้าใคร เพราะในความเสียโอกาสยังมีโอกาส แต่เรากำลังเข้าสู่ยุคที่ปฏิเสธมันต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
อ้างอิงข้อมูลจาก
Making Telework Work : Leading People and Leveraging Technology for high – Impact result
Why work doesn’t happen at work