มีข่าวเกี่ยวกับการรักษาโรคเกิดขึ้นมากมายเต็มไปหมด บางวิธีได้ผล บางวิธีไม่ได้ผล แถมยังทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายมากกว่าเดิม อีกหลายๆ วิธีก็กำลังเป็นที่ถกเถียงและรอผลการพิสูจน์ จนทำให้หลายครั้ง แพทย์ นักวิชาการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหัวหมุน ต้องออกมาตรวจสอบ และเตือนให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อทำตาม
มาย้อนดูกันว่า มีวิธีรักษาโรคแบบแปลกๆ อะไรบ้าง ที่ผู้คนหลงเชื่อว่าเป็นวิธีช่วยเยียวยารักษาโรค แต่ทางการแพทย์ออกมาส่ายหัวรัวๆ
น้ำหมักมหาบำบัด
คงไม่มีใครไม่รู้จักน้ำหมักในตำนานของ ‘ป้าเช็ง’ ที่บอกไว้ว่าตัวยามีสรรพคุณครอบจักรวาล จากการนำผลไม้ที่ใกล้เน่าเสียมาเข้ากระบวนการหมักชีวภาพ จนได้ออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ ‘น้ำหมักมหาบำบัด’ ที่ไม่ว่าจะนำมาดื่มหรืออาบ ก็จะช่วยให้หายขาดจากทุกโรค และยังมี ‘น้ำเจียระไนเพชร’ อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่เมื่อหยดใส่ปากก็จะสามารถรักษาโรคร้ายต่างๆ ในร่างกาย และถ้านำมาหยอดตา ก็จะรักษาโรคเกี่ยวกับตาทุกชนิดได้
เหตุที่น้ำหนักชีวภาพของป้าเช็งได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี ไม่ใช่แค่เพราะการบอกเล่าแบบปากต่อปาก แต่เพราะป้าเช็งมีการโฆษณาและเผยแพร่ข้อมูลผ่านรายการ ‘ซุปเปอร์เช็ง’ ในสถานีโทรทัศน์ระบบดาวเทียม (ที่ไม่ได้รับการอนุญาต) ทำให้ผู้คนแห่กันมาซื้อ และเริ่มทำน้ำหมักตามสูตรของป้าเช็ง แต่ในขณะที่กิจการกำลังไปได้สวย ก็มีผู้เข้ามาร้องเรียนต่อกระทรวงสาธารณสุขและแจ้งดำเนินคดี เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการใช้น้ำเจียระไนเพชร ถึงขั้นที่ต้องได้รับการผ่าตัดดวงตา
ด้วยเหตุนี้เอง ทางห้องปฏิบัติการกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข จึงได้มีการตรวจสอบน้ำหมักชีวภาพของป้าเช็ง และพบว่า น้ำมหาบำบัดมีค่าความเป็นกรดสูง ใกล้เคียงกับน้ำส้มสายชู ซึ่งค่าความเป็นกรดที่เหมาะสมกับยาหยอดตาควรอยู่ที่ 7-7.5 แต่น้ำเจียระไนเพชรมีค่าความเป็นกรดถึง 3 และนอกจากนี้ ยังไม่พบตัวยาทั้งแผนปัจจุบันและยาสมุนไพรที่ช่วยในการรักษาโรคใดๆ เลย ซ้ำยังพบแบคทีเรียที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย นั่นคือ Clostridium perfringens ที่ถ้าหากรับประทานเข้าไปจะส่งผลให้คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย คล้ายกับอาหารเป็นพิษ และหากนำมาหยอดตาก็จะทำให้เกิดการระคายเคือง อักเสบ ไปจนถึงขั้นตาบอดได้
จากผลการตรวจสอบและการฟ้องร้องจากผู้เสียหาย จึงทำให้ในปลายเดือนมกราคม พ.ศ. 2553 ป้าเช็งและพวกอีก 7 คนถูกจับกุมในข้อหาร่วมกันผลิตและขายยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับ พร้อมทั้งอวดอ้างสรรพคุณที่ไม่เป็นจริง และโฆษณาขายยาทางวิทยุ โทรทัศน์ โดยไม่ได้รับอนุญาต
อ้างอิงข้อมูลจาก
เหรียญทรงพลังควอนตั้ม
หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับเหรียญควอนตั้มหรือเหรียญศุภมงคล (Quantum Pendant) ที่โด่งดังเมื่อหลายปีก่อน เป็นเหรียญที่ผลิตจากหินลาวาที่ระเบิดจากภูเขาไฟ มีคุณสมบัติในการกักเก็บพลังงาน ‘สเคลาร์’ (scalar energy) ที่ช่วยเสริมสร้างสนามชีวภาพของร่างกายให้แข็งแรงและมีพลังมากขึ้น มีคนดังและไฮโซมากมายออกมาให้สัมภาษณ์ถึงประสบการณ์การใช้งานจริงแล้วได้ผล ตั้งแต่ดารา นางงาม ข้าราชการ นักกีฬา พระ ไปจนถึงเภสัชกร โดยพกติดตัว ห้อยคอ ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ หรือใส่ในน้ำดื่ม เพื่อให้พลังงานสเคลาร์แทรกซึมเข้าสู่ร่างกาย
เหรียญทรงนี้มีการจัดจำหน่ายผ่านเว็บไซต์ในราคาหลายพัน โดยระบุถึงสรรพคุณไว้ว่า ช่วยบรรเทาปวดเมื่อยตามร่างกาย ลดอาการอักเสบของแผล เพิ่มการไหลเวียนของเลือด ลดริ้วรอยแห่งวัย ป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและคลื่นวิทยุจากโทรศัพท์มือถือ ลดการแข็งตัวของเลือด ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง ช่วยย่อยสลายไขมันส่วนเกิน ฯลฯ และอีกมากมายสารพัดที่จะนึกออก เพราะเหรียญนี้ถูกเคลมว่าแทบจะครอบคลุมทุกโรค
แต่ในท้ายที่สุด สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาก็ได้ออกมาประกาศว่าไม่มีผลวิจัย หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ หรือหน่วยงานใดๆ ที่มารองรับความน่าเชื่อถือของเหรียญควอนตัม เหรียญนี้อาจส่งพลังงานคลื่นแม่เหล็กเพียงเล็กน้อย แต่ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอที่สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายของมนุษย์ได้ แถมการรับหรือสะสมคลื่นแม่เหล็กนานๆ ก็อาจส่งผลให้ร่างกายได้รับสารกัมมันตรังสีที่มากเกินไปอีกด้วย
อ้างอิงข้อมูลจาก
น้ำมะนาวโซดารักษามะเร็ง
เป็นที่พูดถึงอย่างแพร่หลายกับ ‘น้ำมะนาวโซดา’ ที่ไม่ใช่แค่เครื่องดื่มดับร้อน แต่ยังเป็นถึงยารักษาโรคมะเร็ง ความเชื่อนี้ถูกแชร์ต่อๆ กันบนโซเชียลมีเดีย สร้างความเข้าใจผิดให้กับใครหลายๆ คนว่า น้ำมะนาวโซดาสามารถช่วยยับยั้งและฆ่าเซลล์มะเร็งได้ แถมยังมีประสิทธิภาพกว่าการทำคีโมถึง 10,000 เท่าอีกด้วย แต่ที่ผ่านมาได้ถูกหน่วยงานระดับชาติปกปิดสรรพคุณนี้ไว้ เพราะอาจทำให้บริษัทผลิตยาทั้งหลายสูญเสียรายได้จำนวนมหาศาล
รองผู้อำนายการสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดลได้ออกมาให้ความเห็นว่า เหตุผลที่คนเชื่อถือกันมากนั่นก็เพราะเคยมีงานวิจัยพูดถึงโซเดียมไบคาบอร์เน็ตหรือ ‘เบกกิ้งโซดา’ ที่มีฤทธิ์เป็นด่าง ซึ่งนำมาใช้กับการทำคีโมในผู้ป่วยโรคมะเร็ง แต่การใช้มะนาวที่มีฤทธิ์ในการปรับสมดุลร่างกายให้เป็นด่างนั้น เมื่อนำโซดาซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรดมาผสม ก็ไม่ได้ทำให้เกิดสภาวะด่างขึ้นแต่อย่างใด
นอกจากนี้ยังมีความเชื่อที่ว่า สารฟลาโวนอยด์สามารถฆ่าเซลล์มะเร็งได้ แต่สารนี้ถูกพบในมะนาวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงไม่ช่วยให้รักษามะเร็งได้แต่อย่างใด และการดื่มน้ำมะนาวโซดามากๆ ก็อาจทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร
บทสรุปของมะนาวโซดา สุดท้ายก็ไม่ได้ช่วยในการรักษาโรคมะเร็งให้หายขาด และยังไม่มีผลวิจัยมารองรับ แต่ถ้าพูดในแง่ของคุณสมบัติ ตัวมะนาวก็อุดมไปด้วยวิตามินซี และมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่แล้ว
อ้างอิงข้อมูลจาก
โคลนศักดิ์สิทธิ์พิชิตโรค
จากปรากฏการณ์ธรรมชาติที่น้ำในชั้นใต้ผิวดินทำปฏิริยาเคมีกับแร่ธาตุในชั้นดินเหนียว ทะลักผ่านรอยแยกจนเกิดเป็นโคลนผุดขึ้นมาเป็นบ่อ เกิดเป็นตำนานเล่าขานในอำเภอบ้านเหลื่อม จังหวัดนครราชสีมา ว่าเป็นความมหัศจรรย์จากธรรมชาติที่มาจากอิทธิฤทธิ์ของพญานาคราช จึงทำให้มีทั้งคนในพื้นที่และนอกพื้นที่แห่กันเข้ามาขอโชคขอลาภ และตักน้ำโคลนมาดื่ม เพราะเชื่อว่าสามารถบรรเทาโรคต่างๆ ได้ หรือจะนำมาพอกหน้าพอกตัวเพื่อให้ผิวพรรณขาวใส พร้อมทั้งมีชาวบ้านบางคนออกมายืนยันความปลอดภัยด้วยการตักน้ำโคลนขึ้นมาดื่มโชว์อีกด้วย
แต่เมื่อกองวิเคราะห์และตรวจสอบทรัพยากรธรณี กรมทรัพยากรธรณี ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบน้ำและโคลน ก็ได้พบว่า น้ำผิวดินที่เก็บมามีค่าความเป็นด่างสูง 9.77 และมีค่าสารหนูเกินกว่ามาตรฐาน ไม่ควรนำมาดื่ม ส่วนโคลนที่เก็บมามีค่าความเป็นด่างสูง 9.20 ไม่ควรนำมาสัมผัสผิวหนัง เพราะอาจเกิดการระคายเคืองได้ หากนำมาอุปโภคบริโภคอาจทำให้เกิดการแสบปาก แสบคอ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องรุนแรง แน่นหน้าอก ชาตามปลายนิ้วมือและนิ้วเท้า มีอันตรายถึงชีวิต และได้ออกมาเตือนให้ชาวบ้านหยุดนำไปใช้ แต่ถ้าหากนำไปประกอบการทำเกษตรกรรมก็ไม่มีผลเสียอะไร
อ้างอิงข้อมูลจาก
บัตรพลังงานสมาร์ทการ์ด
ดูเผินๆ เหมือนบัตรสมาร์ทการ์ดทั่วไป แต่ชาวบ้านหลายคนกลับนำมาใช้แตะตามร่างกายเพื่อบรรเทารักษาอาการเจ็บปวด หรือจุ่มในแก้วน้ำเพื่อดื่มรักษาโรคภัยต่างๆ พร้อมทั้งออกมายืนยันว่าอาการปวดของพวกเขาทุเลาลง ไม่เพียงแต่มีการอวดอ้างสรรพคุณทางการแพทย์เท่านั้น เจ้าบัตรสี่เหลี่ยมนี้ยังถูกเคลมว่า ช่วยให้เครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดพลังงาน หากนำไปติดที่ปลั๊กไฟ ก็จะทำให้ประหยัดไฟ หรือนำไปติดที่ถังน้ำมันรถ ก็จะช่วยให้รถประหยัดน้ำมันอีกด้วย
แต่จากการตรวจสอบบัตรสรรพคุณครอบจักรวาล โดยอาจารย์ภาควิชาเคมี คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ก็พบธาตุยูเรเนียมและทอเรียมภายในตัวบัตร ซึ่งถ้าหากร่างกายได้รับเข้าไปมากๆ ก็จะก่อให้เกิดการแผ่รังสีต่ออวัยวะภายในและเกิดอันตรายต่อร่างกาย ดังนั้น จึงไม่ควรนำมาติดไว้ใกล้ตัวนานๆ หรือนำมาจุ่มในน้ำดื่ม
นอกจากนี้ กระทรวงพลังงานเองยังได้ออกมายืนยันว่า บัตรพลังงานไม่มีคุณสมบัติในการช่วยให้ประหยัดไฟฟ้าหรือน้ำมันตามที่กล่าวอ้าง พร้อมกับเตือนประชาชนให้อย่าหลงเชื่อ แล้วควรเน้นไปที่วิธีง่ายๆ อย่างการปรับพฤติกรรมการใช้พลังงานของตนเอง
อ้างอิงข้อมูลจาก
น้ำปัสสาวะมหัศจรรย์
และแล้ววัฒนธรรมการบริโภคอุปโภคปัสสาวะก็กลับมาอีกครั้ง หลังจากเมื่อไม่นานมานี้มีร้านก๋วยเตี๋ยวเผยสูตรลับ โดยการนำปัสสาวะมาผสมในน้ำซุปให้ลูกค้าทาน แล้วอ้างว่าช่วยรักษาโรคและอาการปวดเมื่อยได้ ซึ่งก็มีผู้คนทยอยออกมาบอกว่าเคยทำมาแล้ว ทั้งทาแผล ทาหน้า ล้างตา ไหนจะมีคุณครูท่านหนึ่งที่มีการนำปัสสาวะไปให้เด็กนักเรียนดื่ม
ประเด็นนี้ เจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขได้ออกมาให้ข้อมูลว่า การดื่มน้ำปัสสาวะของตัวเองอาจไม่ปลอดภัยต่อร่างกาย โดยเฉพาะกับคนที่เป็นโรคไตหรือโรคหัวใจ เพราะเชื้อโรคจะถูกขับออกมาปะปนกับปัสสาวะ ถ้าหากนำมาดื่ม ก็หมายความว่ากำลังนำของเสียที่ถูกกรองออกมาแล้วกลับเข้าไปใหม่ ซึ่งไม่ส่งผลดีต่อร่างกาย และยิ่งถ้าหากเป็นปัสสาวะของคนอื่นก็จะยิ่งอันตรายมากกว่าเดิมหลายเท่า เพราะเราไม่อาจทราบได้ว่าบุคคลนั้นเป็นโรคติดต่อหรือโรคร้ายแรงหรือไม่
นอกจากนี้ ทนพ.ภาคภูมิ เดชหัสดิน นักเทคนิคการแพทย์ชื่อดัง เจ้าของเพจ ‘หมอแล็บแพนด้า’ ยังได้ออกมาเตือนให้ประชาชนเฝ้าระวัง เพราะการนำปัสสาวะมาอุปโภคบริโภคนั้นไม่มีประโยชน์อะไรเลย เนื่องจากแร่ธาตุที่พบในปัสสาวะมีเพียงน้อยนิดเท่านั้น เทียบไม่ได้กับข้าวหนึ่งคำที่เรากินเข้าไปด้วยซ้ำ
สุดท้ายแล้ว ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อส่วนบุคคล เพราะแม้ตามตำราแพทย์สมัยก่อนจะบอกว่าปัสสาวะของมนุษย์คือยาอายุวัฒนะ ดื่มแล้วช่วยให้อายุยืนยาว สุขภาพแข็งแรง แต่ก็ยังไม่มีผลวิจัยออกมารองรับว่าปัสสาวะมีประโยชน์ต่อร่างกาย หรือช่วยให้รักษาโรคได้ตามที่หลายคนอ้างอิงถึงสรรพคุณ แต่การบริโภคหรืออุปโภคโดยที่ไม่รู้ว่ามีสารหรือเชื้อโรคอะไรปนเปื้อนอยู่ข้างในบ้าง ก็นับว่าเป็นเรื่องที่อันตรายต่อร่างกายอย่างมาก
อ้างอิงข้อมูลจาก