ในห้วงชีวิตของเรา เราเองคงต้องลิ้มรสขมของความอยุติธรรมมาทั้งชีวิต หลายเหตุการณ์อาจทำให้เราทนความขมปร่านั้นแทบไม่ไหว แต่ประวัติศาสตร์อันยาวนานของเราล้วนเป็นประวัติศาสตร์แห่งการกดขี่ดังที่คาร์ล มาร์กซ์บอก แต่ข่าวดีคือ ในการกดขี่นั้น ก็มักจะมีการต่อสู้ และการแสวงหาความหวังเพื่อให้เราได้เดินหน้าต่อไปเสมอ
นับตั้งแต่ที่เราก้าวเข้าสู่ยุคสมัยใหม่เป็นต้นมา ด้วยความที่บ้านเราเองก็เจอความลุ่มๆ ดอนๆ ทางการเมือง เจอสภาวะสิ้นหวังกันหลายต่อหลายครั้ง ประกอบกับกวีนิพนธ์เป็นรูปแบบวรรณกรรมสำคัญที่อยู่คู่กับภาษาและสังคมของเรา ในห้วงเวลาแห่งความสิ้นหวัง เหล่านักคิดนักเขียนของไทย ก็ได้ใช้บทกวีเป็นเครื่องมือในการรับมือ เรียกขานและส่งต่อความหวังให้ผู้คนได้เดินหน้าต่อสู้กันต่อไป
ถ้าเรามองอย่างคร่าวๆ กวีนิพนธ์สมัยใหม่ของไทยนั้นก็เติบโตขึ้นพร้อมๆ กับกลุ่มคนรุ่นใหม่ เป็นกลุ่มนักศึกษาและกลุ่มคนที่มีการศึกษา และส่วนใหญ่ก็มักจะพิจารณาตัวเองเป็นปัญญาชนที่มองว่าตนเองมีหน้าวิพากษ์วิจารณ์และต่อสู้เพื่อความถูกต้องในสังคมโดยเฉพาะการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เพื่อสิทธิ เสรีภาพและความถูกต้อง เป็นสิ่งที่ปัญญาชนและประชาชนไทยเรียกร้องมาตั้งแต่ย่างเข้าพุทธศตวรรษ 2500 ซึ่งดูทรงแล้วเราก็คงเรียกร้องกันอยู่ เรามีงานเขียนและบทกวีที่เริ่มวิพากษ์สังคมและการเมืองตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 2490 เรื่อยมาจนถึงบทกวีเพื่อชีวิต และบทกวีการเมืองที่ถูกเขียนขึ้นเพื่อใช้ในการต่อสู้ ปลอบขวัญและสดุดีในการต่อสู้ของประชาชนตั้งแต่เหตุการณ์เดือนตุลา ไปจนถึงช่วงพฤษภาทมิฬ
สิบสี่ตุลา (วิสา คัญทัพ)
ไม่มีอำนาจใดในโลกหล้า
ผู้ปกครองต่างมาแล้วสาปสูญ
ไม่มีใครล้ำเลิศน่าเทิดทูน
ประชาชนสมบูรณ์นิรันดร์ไป
เมื่อยืนหยัดต่อสู้ผู้กดขี่
ประชาชนย่อมมีชีวิตใหม่
เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ
ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน
ถึงผู้เคยเป็นเพื่อน (เดช จันทรคีรี)
หวั่นหวั่นว่าฟ้านี้สีจะเปลี่ยน หวั่นว่าเทียนดวงนี้จะหรี่ดับ
ชีวิตที่ล่วงแล้วล่วงก็ล่วงลับ น้ำตากับเลือดก็แห้งก็แห้งไป
ที่หวังหวังเอาไว้ก็ไร้ผล วิญญาณวีรชนจะร้องไห้
สงสารเอยเจ้าดอกประชาธิปไตย จะบานเบ่งเป็นดอกไม้ได้กี่วัน
โคลงสรรเสริญเกียรติกรุงเทพมหานครยุคไทยพัฒนา (จิตร ภูมิศักดิ์)
แต่คนย่อมเป็นคน บ่คือควายที่โง่งึม
ไผเหวยจะยอมพึม และพ่ายแพ้ลงพังภินท์
ฟ้าลวกด้วยเปลวเลือด ระอุเดือดทั้งแดนดิน
วอดวายทุกชีวิน แต่คนยังจะหยัดยืน
ถึงยุคทมิฬมาร จะครองเมืองด้วยควันปืน
ขื่อแปจะพังครืน และกลิ่นเลือดจะคลุ้งคาว
แต่คนย่อมเป็นคน ในสายธารอันเหยียดยาว
คงคู่กับเดือนดาว ผงาดเด่นในดินแดน
ตื่นเถิดเสรีชน (รวี โดมพระจันทร์)
ตื่นเถิดเสรีชน อย่ายอมทนก้มหน้าฝืน
หอกดาบกระบอกปืน หรือทนคลื่นกระแสเรา
แผ่นดินมีหินชาติ ที่ดาดาษความโฉดเขลา
ปลิ้นปล้อนตะลอนเอา ประโยชน์เข้าเฉพาะตน
พลังประชาชน (กุหลาบ สายประดิษฐ์)
หยดฝนย้อยหยาดฟ้ามาสู่ดิน
ประมวลสินธุ์เป็นมหาสาครใหญ่
แผดเสียงซัดปฐพีอึงมี่ไป
พลังไหลแรงรุดสุดต้านทาน
อันประชาสามัคคีมีจัดตั้ง
เป็นพลังแกร่งกล้ามหาศาล
แสนอาวุธแสนศัตรูหมู่อันธพาล
ไม่อาจต้านแรงมหาประชาชน
เห่กล่อมตุลามาศ (วิสา คัญทัพ)
ฟ้านั้น- ครอบเราตัวเท่ามด ออกคำสั่งออกกฏชี้บทบ่ง
บ้างครั้งแลบแปลบปร่าบ้างผ่าลง แลคำรามเสียงส่ง- สะเทือนดิน
นึกอยากแผดแดดกล้าส่องมาโลก ใครทุกข์- ใครโศก, มิรู้สิ้น
จะอ้างเหตุอ้างผลไม่ยลยิน ฟ้าหัวใจทมิฬไม่ฟังใคร
จิตสำนึกเพื่อเมืองไทย (ศิวพร วัฒนเบญโสภา)
กว่าจะเป็นประชาธิปไตยในวันนี้ หลายชีพที่พลีอุทิศชีวิตให้
ด้วยเลือดเนื้อเพื่อเห็นความเป็นไทย เราจึงได้สิทธิ์เสรีที่ต้องการ
ล้างอธรรมด้วยสำนึกระลึกชอบ ล้างระบอบทรราชอย่างอาจหาญ
ล้างสานสนกลในโยงใยงาน ล้างผู้ผลาญความถูกต้องของสังคม
ฝนแรก (จิระนันท์ พิตรปรีชา)
ฝนแรกเดือนพฤษภา
รินสายมาเป็นสีแดง
ฝนเหล็กอันรุนแรง
ทะลวงร่างเลือดพร่างพราว
หลั่งนองท้องถนน
เป็นสายชลอันขื่นคาว
แหลกร่วงกี่ดวงดาว
และแหลกร้าวกี่ดวงใจ
บาดแผลของแผ่นดิน
มิรู้สิ้นเมื่อวันใด
อำนาจทมิฬใคร
ทมึนฆ่าประชาชน
เลือดสู้จะสืบสาย
ความตายจะปลุกคน
วิญญาณจะทานทน
พิทักษ์เทิด ประชาธรรม
ฝนแรกแทรกดินหาย
ฝากความหมายความทรงจำ
ฝากดินให้ชุ่มดำ
เลี้ยงพืชกล้า ประชาธิปไตย
อ้างอิงข้อมูลจาก