ช่วงนี้มีเรื่องการพิสูจน์ว่าใครผิดใครถูก ต้องตัดสินความถูกต้องกันหลายเรื่อง ถ้าเป็นสมัยใหม่เราก็มีวิธีการตัดสินไต่สวนด้วยวิธีการต่างๆ เช่นใช้หลักฐาน ใช้เหตุผล ใช้พยานเพื่อนำไปสู่การบอกว่าใครผิดใครถูกแค่ไหนอย่างไร แต่ถ้าเป็นสมัยก่อนล่ะ ดูเหมือนว่าการจะพิสูจน์ตัวเองว่าเราบริสุทธิ์หรือถูกต้อง ดูจะต้องขึ้นอยู่กับอะไรหลายๆ อย่าง
ในสมัยก่อนเราเชื่อในเรื่องของพลังศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ ประมาณว่าคนเราทำชั่วไม่มีคนเห็น แต่พระเจ้าหรือเทวดาทั้งหลายเห็น การไต่สวนจึงมักเป็นการทดสอบความบริสุทธิ์ด้วยการทดสอบบางอย่างที่…ฟังดูแล้วรอดยาก แต่ถ้ารอดหรือฝ่ายไหนทำได้ดีกว่าก็แปลว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์กำลังเข้าข้างฝ่ายนั้นอยู่ เป็นการเปิดเผยการตัดสินของสรวงสวรรค์ ภาษาอังกฤษเรียกว่า ‘Trial by ordeal‘ หมายถึงการตัดสินความโดยการทรมาน โดย ordeal หมายถึง ‘การตัดสินหรือคำพิพากษา’ ที่มาจากสิ่งที่อยู่เหนือกว่าเรานั่นเอง
การตัดสินความหรือพิสูจน์ความบริสุทธิ์มีทั้งในโลกตะวันตกและบ้านเรา ยุคกลางมีการตัดสินด้วยการประลอง ในสมัยที่ล่าแม่มดถ้าสงสัยใครก็จับไปถ่วงน้ำ บ้านเราในกฎหมายตราสามดวงก็มีการพิสูจน์ให้ดำน้ำหรือลุยไฟ อย่างที่นางสีดาลุยไฟเพื่อบอกว่าฉันน่ะยังบริสุทธิ์นะจ๊ะ
พิสูจน์ด้วยการประลอง
ในยุคกลาง ยุคสมัยที่มีระบบอัศวินและคริสตศาสนายังคงแผ่อิทธิพลในยุโรป สมัยนั้นถ้าเกิดมีคู่ขัดแย้งสองฝ่ายที่ไม่มีพยานหรือไม่มีฝ่ายไหนยอมรับสารภาพ หาตัวคนผิดไม่ได้ การไต่สวนด้วยการประลองจึงเป็นทางออก ด้วยการจับสองฝ่ายมาดวลกันในการต่อสู้ ถ้าฝ่ายไหนชนะก็ถือว่าฝ่ายนั้นเป็นฝ่ายถูก ในซีรีส์เช่น ‘Game of Thrones’ ก็มีการเอาธรรมเนียมแบบยุคกลางมาใช้ด้วย
พิสูจน์แม่มดด้วยการถ่วงน้ำ
ยุคที่ล่าแม่มดกันหนักๆ แล้วเราจะรู้ได้ยังว่าสาวน้อยคนนี้เป็นแม่มดไหม วิธีก็คือ ‘จับไปถ่วงน้ำดูสิ’ ถ้าใครโดนกล่าวหานี่ก็ซวยทั้งขึ้นทั้งล่องกันเลยทีเดียว ความเชื่อของการทดสอบว่าแม่มดหมอผีคือถ้าเป็นแม่มด ถ่วงน้ำแล้วจะไม่จมเพราะมีอาคม ถ้าไม่ใช่ก็จมไปตามระเบียบ คือถ้าลอยหรือรอดตายจากน้ำ ก็คงต้องไปจบชีวิตในกองไฟอยู่ดีเนอะ ไม่ตายเพราะจมน้ำ ก็ตายเพราะไฟ เลือกเอา
พิสูจน์ด้วยการดำน้ำ
กลับมาที่บ้านเราเองก็มีวิธีการคล้ายๆ กัน คือหาความถูกผิดไม่ได้จนจนปัญญาแล้วก็ต้องพึ่งสิงศักดิ์สิทธิ์ ในสมัยโบราณจึงมีกฎหมายลักษณะดำน้ำลุยเพลิง มีการอ่านโองการเพื่ออัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาเป็นพยานและมีการให้สัจจาอธิษฐานแล้วค่อยลงมือพิสูจน์ด้วยวิธีต่างๆ วิธีการหนึ่งคือการดำน้ำซึ่งก็ไม่มีอะไรมาก ปักเสาไว้สองต้นแล้วให้สองฝ่ายดำลงไป ใครที่หมดลมผุดขึ้นจากน้ำก่อนถือว่าคนนั้นเป็นฝ่ายผิด
พิสูจน์ด้วยการลุยไฟ
จะมีอะไรอลังการเท่าเปลวไฟอันร้อนแรง ถ้าจะบอกว่า ‘นี่แหละคือการแสดงปาฏิหาริย์’ มันก็ต้องลุยไฟนี่แหละเนอะ นางสีดาเองลุยไฟโดยไม่เจ็บตัวก็ย่อมแปลว่าคนนี้เทวดาคุ้มครองแน่นอน ในสมัยก่อนถ้าเกิดว่าหาข้อยุติไม่ได้ บ้านเราก็ใช้การลุยไฟก็เป็นวิธีการพิสูจน์ความผิดทางหนึ่ง วิธีการคือทำรางกองไฟยาวๆ สุมถ่านหนาคืบนึง เสร็จแล้วให้คู่กรณีล้างเท้าลุยไฟ วิธีการพิสูจน์คือผ่านไปสามวันดูว่าถ้าฝ่ายไหนเท้าพองแปลว่าผิด แต่ถ้าไม่พองหรือพองทั้งคู่แปลว่าผิดหรือไม่ผิดเสมอกัน งานหน้าถ้าจะพิสูจน์ความผิดเจอกันร้านหมูกระทะ
พิสูจน์ด้วยเทียน
ในกฎหมายตราสามดวงมีวิธีการพิสูจน์ความผิดด้วยวิธีเหนือธรรมชาติหลายอย่าง แต่ก็ใช่ว่าจะโหดเหี้ยมไปซะทุกวิธี มีวิธีการง่ายๆ อันนึงที่จะดูได้ว่าเทพยดาเชียร์ฝ่ายไหนคือการพิสูจน์ด้วยการจุดเทียนคนละเล่ม เทียนคนไหนดับก่อนก็ถือว่าเป็นคนผิด ฟังดูตลกแต่ว่าสมัยก่อนการเสี่ยงเทียน หรือแม้แต่ตัวเทียนเองก็ดูจะเป็นสื่อสำคัญที่มนุษย์ใช้สื่อสารกับอำนาจที่เหนือกว่าตนเอง
พิสูจน์ด้วยการว่ายน้ำ
ไม่แน่ใจว่าพิสูจน์ความบริสุทธิ์หรือแข่งไตรกีฬา อีกหนึ่งวิธีที่มีระบุไว้ในการทดสอบความผิดคือให้ว่ายน้ำข้ามฟากแข่งกัน ถ้าใครถึงก่อนคนนั้นก็เป็นฝ่ายถูกไป แบบหืม…นี่ทดสอบความถูกต้องหรือทดสอบสมรรถภาพทางร่างกายเนี่ย สงสัยอาจจะเป็นกุศโลบายให้ประชาชนออกกำลังกาย หรือคิดอีกทีก็เป็นการคัดเอาผู้แข็งแกร่งไว้เนอะ ก็คล้ายๆ การสู้โดยการประลองเหมือนกัน
พิสูจน์ด้วยการกิน
‘การกิน’ เป็นองค์ประกอบสำคัญในหลายๆ พิธี การกินหมายถึงการรับเอาอะไรบางอย่างเข้าไป กฎหมายของแถบๆ บาวาเรียในยุคกลางมีระบุถึงการทดสอบความผิดด้วยการให้กินขนมปัง คือจะให้คนที่ถูกกล่าวหากินขนมปังแห้งกับชีสที่บาทหลวงให้พร ถ้าเกิดว่ากินแล้วสำลักปุ้บ ก็แปลว่าคนนั้นบาป ทำผิดชัวร์ แถบบ้านเราก็มีการดื่มหรือถือน้ำ ถ้าผิดคำสาบานก็จะมีอันเป็นไป
พิสูจน์ด้วยการตรวจสอบกันเอง
สำหรับโลกสมัยใหม่ที่การพิสูจน์จะต้องกลายเป็นตำนานเล่าขานถึงคนรุ่นหลังแน่นอน คือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นด้วยความมั่นใจและความผุดผ่อง การตรวจสอบใดๆ เช่น มาทำงานไม่กี่วันแล้วรับเงินเดือน สร้างสถานที่แพงๆ จัดซื้ออะไรก็อาจจะแพงหรือมีส่วนต่างเยอะไปหน่อย สุดท้ายแล้วการตรวจสอบก็จะไม่พบความผิดอะไร เป็นการตรวจสอบที่แทบไม่ต้องตรวจสอบ เพราะทุกคนก็ตั้งมั่นอยู่ในใจว่าไม่ผิดแน่นอน