แม้กฎหมายไทยจะเปิดทางให้สามารถยุติการตั้งครรภ์ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่ในทางปฏิบัติยังคงมีข้อจำกัดในการเข้าถึงบริการ ทั้งในด้านพื้นที่ ต้นทุน และทัศนคติของผู้ให้บริการ
ข้อมูลจากมูลนิธิทำทางและสายด่วน 1663 ระบุว่า ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีผู้รับคำปรึกษารวมประมาณ 180,000 ราย และในจำนวนนี้มีผู้ตัดสินใจยุติการตั้งครรภ์ราว 140,000 ราย (ไม่ใช่ตัวเลขรายปี) โดยสัดส่วนผู้รับบริการส่วนใหญ่เป็น วัยทำงานอายุ 20-29 ปี คิดเป็นประมาณ 55 เปอร์เซ็นต์
ภายใต้กฎหมายปัจจุบัน แพทย์สามารถให้บริการยุติการตั้งครรภ์ได้อย่างปลอดภัยตามเงื่อนไขของอายุครรภ์ ได้แก่
-
อายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ สามารถรับบริการได้ทันที
-
อายุครรภ์ 12-20 สัปดาห์ สามารถรับบริการได้หลังจากผ่านการให้คำปรึกษาทางเลือก
-
อายุครรภ์เกินกว่า 20 สัปดาห์ สามารถยุติการตั้งครรภ์ได้ในกรณีถูกข่มขืน ตัวอ่อนมีความพิการรุนแรง หรือมารดามีปัญหาสุขภาพจากการตั้งครรภ์ (ครอบคลุมทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต) โดยต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์

นอกจากนี้ ยังมีปัญหาคอขวดในระบบการเบิกจ่ายงบประมาณ ที่ทำให้โรงพยาบาลและคลินิกบางแห่งต้องชะลอการให้บริการ หรือถอนตัวออกจากระบบ เพราะไม่สามารถรับภาระค่าใช้จ่ายไว้เองได้ งบเฉลี่ยที่รัฐจัดสรรให้ต่อคนอยู่ประมาณ 3,000 บาท ซึ่งบางทีไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายจริงที่อาจสูงกว่านั้นหลายเท่า โดยเฉพาะกรณีอายุครรภ์มากกว่า 12 สัปดาห์
ยิ่งไปกว่านั้น ทัศนคติของบุคลากรทางการแพทย์บางส่วนยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ ผู้คนจำนวนมากรายงานว่า ถูกปฏิเสธบริการ หรือได้รับการตัดสินทางศีลธรรมจากเจ้าหน้าที่ แม้จะมีสิทธิตามกฎหมายก็ตาม เมื่อช่องทางที่ควรจะปลอดภัยกลับปิดกั้นด้วยอคติ ผู้ต้องใช้บริการหลายคนจึงต้องหันไปพึ่งบริการที่ไม่ปลอดภัย ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงทั้งต่อชีวิตและสุขภาพ
ที่ผ่านมา มูลนิธิทำทางถือเป็นหนึ่งในองค์กรที่พยายามเป็น ‘สะพานเชื่อม’ ระหว่างผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือกับบริการทางการแพทย์ที่ปลอดภัย พวกเขาไม่เพียงให้คำปรึกษา แต่ยังประสานส่งต่อช่วยเหลือค่าใช้จ่าย และผลักดันเชิงนโยบาย เพื่อให้การยุติการตั้งครรภ์เป็น ‘สิทธิที่เข้าถึงได้จริง’ ไม่ใช่แค่ข้อความในกฎหมาย
เนื่องด้วยความเงียบของระบบสุขภาพที่ยังไม่พร้อม The MATTER ขอชวนทุกคนมาทำความเข้าใจปัญหานี้อย่างแท้จริง ผ่านการพูดคุยกับตัวแทนผู้เรียกร้องสิทธิการยุติการตั้งครรภ์ ณัฐนันท์ พลอยประดับ เจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษามูลนิธิทำทาง และ ชนฐิตา ไกรศรีกุล ผู้จัดการมูลนิธิทำทาง
สิทธิมีอยู่ในบทกฎหมาย แต่ไม่สามารถใช้ได้จริง
เมื่อ 26 กันยายน 2565 ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง การตรวจและรับคำปรึกษาทางเลือกในการยุติการตั้งครรภ์ กำหนดให้ผู้ที่มีอายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ที่ทำแท้ง ไม่ถือว่ามีความผิดทางอาญา ส่วนผู้ที่มีอายุครรภ์ 12-20 สัปดาห์ สามารถยุติการตั้งครรภ์ แต่รับปรึกษาก่อนยุติการตั้งครรภ์ รวมถึงผู้ต้องการยุติการตั้งครรภ์ในอายุครรภ์เกินกว่านั้นอาจรับบริการได้ในกรณีถูกข่มขืน ตัวอ่อนพิการ หรือมีปัญหาสุขภาพจากการตั้งครรภ์ (ครอบคลุมสุขภาพกาย-ใจ) โดยต้องรับบริการกับแพทย์
ณัฐนันท์ เจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษามูลนิธิทำทาง กล่าวว่า “ตอนนี้ประเทศไทยมีสถานพยาบาลที่ให้บริการยุติการตั้งครรภ์อยู่ราว 156 แห่งทั่วประเทศ รวมทั้งของรัฐและเอกชน แต่กระจุกตัวอยู่เพียง 55 จังหวัด อีก 22 จังหวัดยังไม่มีบริการเลย เช่น น่าน ลำพูน เพชรบุรี ชัยนาท พิจิตร นนทบุรี อยุธยา อ่างทอง สระบุรี ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี สระแก้ว ศรีสะเกษ พังงา”
เธออธิบายว่า แม้จำนวนสถานบริการจะเพิ่มขึ้น แต่หลายแห่งไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ บางโรงพยาบาลของรัฐไม่ประชาสัมพันธ์ บางคลินิกเอกชนก็ไม่เข้าร่วมระบบ สปสช. เพราะขั้นตอนยุ่งยากหรือเงินชดเชยไม่เพียงพอ ผลคือคนในพื้นที่ห่างไกลไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน บางจังหวัดไม่มีที่ให้บริการเลยด้วยซ้ำ”

cr.มูลนิธิทำทาง
ชนฐิตา ผู้จัดการมูลนิธิทำทาง เสริมด้วยการยกตัวอย่างถึงความซับซ้อนของการให้บริการว่า “เชียงใหม่มีสถานที่ให้บริการ แต่จริงๆ แล้วคลินิกเอกชนมีแค่สองแห่ง ราคาขั้นต่ำราวห้าพันบาท ส่วนโรงพยาบาลรัฐมีเพียงแห่งเดียวและคิวยาว คนร้อยคนอาจได้บริการจริงแค่หนึ่งคน และมักถูกปฏิเสธหรือพูดจาตำหนิ เธอยอมรับว่า “แทบไม่อยากนับเลยว่าจังหวัดนี้ ‘มีบริการ’ เพราะในความเป็นจริงมันเข้าถึงไม่ได้เลย”
“กรุงเทพฯ เองก็เคยไม่มีบริการฟรี ต้องเดินทางไปสิงห์บุรี ซึ่งสะท้อนว่าการมีสถานบริการไม่ได้หมายความว่าเข้าถึงได้จริง และความเป็นสังคมเมืองก็ไม่ได้สะท้อนว่าจะมีสถานบริการยุติการตั้งครรภ์ที่ทั่วถึง”
สถานการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่าการเข้าถึงบริการยุติการตั้งครรภ์ในไทยยังคงเป็น “สิทธิที่มีอยู่ในตัวบทกฎหมาย แต่ไม่สามารถใช้ได้จริง” โดยเฉพาะในระดับพื้นที่
เทคโนโลยีปลอดภัย แต่ยังถูกตีตรา
ในแง่เทคนิคการแพทย์ ปัจจุบันมีสองวิธีหลักในการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัยและเป็นที่ยอมรับทั่วโลก ได้แก่ การใช้ยา และการดูดสุญญากาศ (manual vacuum aspiration: MVA) ซึ่งการดูดสุญญากาศมีแบบ MVA (ใช้มือคนทำ) และ EVA (ใช้เครื่องไฟฟ้า)
การใช้ยาสามารถใช้ได้ในทุกช่วงอายุครรภ์ โดยจะยิ่งมีประสิทธิภาพสูงเมื่อรีบใช้ในอายุครรภ์น้อยๆ โดยเฉพาะช่วง 6-9 สัปดาห์ ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงถึง 98-99 เปอร์เซ็นต์

พลอยประดับ อธิบายว่า “ยาจะมีอยู่ 2 ส่วนหลัก คือยาชนิดแรกสำหรับบล็อกฮอร์โมนที่ทำให้มดลูกเตรียมพร้อม และยาชุดต่อมาซึ่งมี 4 เม็ด ใช้วิธีอมใต้ลิ้นหรือสอดในช่องคลอด เพื่อกระตุ้นให้มดลูกบีบตัวอย่างต่อเนื่อง จนเกิดการแท้ง ซึ่งโดยทั่วไปจะใช้เวลาไม่เกิน 24 ชั่วโมง”
ส่วน ‘การดูดสุญญากาศ’ มักใช้ในกรณีไม่เกิน 12 สัปดาห์ (ขณะที่ 13-14 สัปดาห์ จะใช้เป็นเครื่องไฟฟ้า EVA) หรือในกรณีที่แท้งไม่ครบก็สามารถใช้เครื่องดูดได้เช่นกัน ซึ่งต้องทำโดยแพทย์ผู้ชำนาญ
ชนฐิตา อธิบายเพิ่มว่า “การใช้ยาไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ มันเป็นกระบวนการที่คล้ายแท้งธรรมชาติ เพียงแต่ควบคุมได้ ปลอดภัย และผ่านการติดตามจากแพทย์ บางคนเลือกทำที่บ้านที่รู้สึกปลอดภัยกับคนใกล้ชิดก็ได้”
เธอย้ำว่า อาการหลังใช้ยามักมีเพียงปวดท้อง คลื่นไส้ หรือเลือดออกคล้ายประจำเดือน “อาการเหล่านี้อยู่ไม่นาน ไม่ทำให้มีลูกยาก และไม่ทำให้ร่างกายอ่อนแรงอย่างที่หลายคนกลัว”
อย่างไรก็ตาม ปัญหาหลักยังอยู่ที่ ‘การตีตรา’ มากกว่าความเสี่ยงทางการแพทย์ “คนส่วนใหญ่ยังติดภาพว่าการทำแท้งต้องเลือดสาด ต้องขูดมดลูกเท่านั้น ต้องเจ็บ ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่แบบนั้นเลย” เธอกล่าว
“เทคโนโลยีมันพัฒนาไปมาก จนผู้ต้องการยุติการตั้งครรภ์สามารถเลือกทางที่ปลอดภัย ซึ่งการกระบวนการยุติการตั้งครรภ์ ถือเป็นเครื่องมือที่ในการกำหนดชีวิตตัวเอง เป็นเครื่องมือที่เฟมินิสต์มากๆ แต่รัฐกลับยังไม่ทำให้เข้าถึงง่าย”
เมื่อเราถามถึงมาตรการติดตามหลังการใช้ยา ตัวแทนจากมูลนิธิอธิบายว่า “หลังใช้ยาส่วนที่สอง สามารถตรวจอัลตราซาวด์ได้ตั้งแต่วันที่ 5 หรือใช้ชุดตรวจปัสสาวะในสัปดาห์ที่ 3 ก็ได้เพื่อความแน่ใจ ส่วนใหญ่หมอจะติดตามผ่านการนัดหมายหรือทางแชท ถ้ามีภาวะแทรกซ้อน เช่น เลือดออกมากนานผิดปกติ หรือปวดท้องมากขึ้น ก็สามารถไปโรงพยาบาลใกล้บ้านได้เลย เพราะนี่คือการรักษาขั้นพื้นฐานที่โรงพยาบาลทุกแห่งต้องทำได้”
ภาวะแทรกซ้อนพบได้น้อยมาก โดยเฉลี่ยเพียง 1-2 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น “ส่วนใหญ่จะเป็นตกเลือดหรือแท้งไม่ครบ ซึ่งหมอสามารถดูแลต่อได้ไม่ต่างจากกรณีแท้งธรรมชาติ” เธอกล่าว
สิทธิที่ยังต้องต่อรอง เมื่อบริการ ‘ฟรี’ ไม่ได้ฟรีจริง
มูลนิธิทำทางทำหน้าที่เป็นกลไกภาคประชาสังคม ที่เข้ามาเชื่อมผู้ต้องการบริการกับสถานพยาบาลหรือแพทย์ที่พร้อมให้การดูแล “สิ่งที่เราทำคือการให้ข้อมูลและยืนยันทางเลือกของเขา ว่าเขามีสิทธิตัดสินใจด้วยตัวเอง”
เจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษา เผยขั้นตอนการให้คำปรึกษาเบื้องต้นว่า “เราจะสอบถามข้อมูลพื้นฐาน เช่น อายุครรภ์ รายได้ ความสามารถในการเดินทาง ภาระในครอบครัว เพราะบางคนมีพ่อแม่ติดเตียง มีลูกเล็ก หรือไม่มีเงินแม้แต่จะขึ้นรถไปต่างจังหวัด เราก็ต้องช่วยประเมินว่าทางไหนเหมาะที่สุดสำหรับเขา”

หนึ่งในแนวทางสำคัญที่มูลนิธิใช้ช่วยผู้หญิงในพื้นที่ห่างไกลคือ การพบแพทย์ออนไลน์ (Telemedicine) ที่สามารถให้ยาทางไปรษณีย์ได้อย่างปลอดภัย “ตอนนี้เรามีรายชื่อแพทย์ออนไลน์ในไทยอยู่ประมาณ 12 คน ทั้งหมดเป็นแพทย์เอกชนที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย บางคนสามารถเบิกสิทธิได้ด้วย แต่บางครั้งคนไข้ต้องจ่ายบางส่วน เช่น ค่าตรวจอัลตราซาวด์ก่อนเริ่มรับยาทางไปรษณีย์ ราว 800-1,000 บาท” เธอระบุ
สำหรับผู้ที่ไม่มีรายได้หรืออยู่ในภาวะเปราะบาง มูลนิธิจะประสานความช่วยเหลือผ่านกองทุนหมุนเวียนเพื่อการสนับสนุนกรณีเร่งด่วนของเครือข่าย Choices Network หรือเครือข่ายสนับสนุนทางเลือกของผู้หญิงท้องไม่พร้อม “เราพยายามให้ผู้ขอความช่วยเหลือใช้สิทธิของตนเองก่อน เช่น สิทธิบัตรทองหรือประกันสังคม แต่ถ้าไม่มีจริงๆ ก็สามารถขอรับการสนับสนุนจากกองทุนของเครือข่ายได้ เช่น ค่าพาหนะเดินทาง หรือเงินยืมแบบไม่มีดอกเบี้ย คืนเมื่อไหร่ก็ได้ตามกำลัง เพื่อให้ผ่านช่วงวิกฤตไปได้ก่อน”
มูลนิธิทำหน้าที่เป็น ผู้ประสานงานและจัดทำเอกสาร เสนอเรื่องให้ผู้ที่เดือดร้อนได้ใช้กองทุน ส่วน การอนุมัติและบริหารจัดการกองทุนเป็นหน้าที่ของ Choices Network ซึ่งเป็นเจ้าของกองทุนโดยตรง
ชนฐิตา เสริมถึงอุปสรรคการเข้าถึงบริการว่า ปัญหานี้ไม่ควรถูกโยนให้หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งรับผิดชอบเพียงลำพัง “หลายคนชอบโทษ สปสช.ว่าเป็นต้นเหตุ แต่จริงๆ แล้วมันซับซ้อนกว่านั้น เพราะมันมีทั้งระดับที่ไม่มีบริการเลย ราว 22 จังหวัด กับระดับที่มีบริการแต่เข้าถึงไม่ได้ เราแก้ระดับแรกด้วยการเชื่อมคนให้รับยาทางไปรษณีย์ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่เหมาะกับวิธีนี้ เช่น คนที่ไม่มีเงินเลยสักบาทเดียว เขาต้องไปโรงพยาบาลเพื่อรับบริการฟรี ซึ่งก็ต้องอาศัยความยืดหยุ่นของระบบ”

ทั้งนี้ ระบบที่ตั้งใจจะช่วย กลับกลายเป็นอุปสรรคอีกชั้นในทางปฏิบัติ “หลายคนไปขออัลตราซาวด์ฟรีเพื่อเตรียมรับยาฟรี แต่หมอกลับปฏิเสธหรือพูดเชิงตำหนิว่า ‘ทำไมถึงจะทำแท้ง’ จนสุดท้ายคนไข้ต้องยอมจ่ายค่าสแกนเองเพื่อไปรับยาฟรี ซึ่งทำให้คำว่า ‘ฟรี’ แทบไม่มีอยู่จริง” เธอกล่าว
ทั้งนี้ การใช้ยานั้นปลอดภัยมากในมาตรฐานการแพทย์ โอกาสผิดพลาดมีเพียง 2-5 เปอร์เซ็นต์ แต่สิ่งที่ยังเป็นปัญหาคืออคติของบุคลากรบางส่วน ที่ปฏิเสธรักษาภาวะแทรกซ้อนจากการใช้ยา “นี่คือสิทธิพื้นฐานและการแพทย์ทั่วไป แต่เมื่ออคติยังฝังอยู่ ก็ทำให้หลายคนกลัวที่จะไปโรงพยาบาล เมื่อเกิดอาการแทรกซ้อนหลังยุติการตั้งครรภ์”
ปัญหาที่ตามมาคือเมื่อไม่มีบริการฟรีหรือไม่มีบริการที่ตรงกับเงื่อนไข ผู้รับบริการต้องหันไปพึ่งกองทุนเอกชน ซึ่งไม่ควรต้องเกิดขึ้นในประเทศที่มีระบบหลักประกันสุขภาพ
“กรณีที่อายุครรภ์เกิน 12 สัปดาห์ ค่าบริการสูงกว่าที่ สปสช.ชดเชยไว้ [3,000 บาท] หลายเท่า ต้องร่วมจ่าย (co-payment) หลักพันถึงหลักหมื่น ไม่มีใครรับภาระไหว เราเลยต้องใช้เงินจากกองทุนช่วยเหลือ แต่ตอนนี้กองทุนใกล้หมดแล้ว เพราะไม่มีใครเติมเงิน และรัฐก็ยังไม่เข้ามาช่วยจริงๆ”
เธอกล่าวตรงไปตรงมาว่า “บางครั้งเราก็ต้องหน้าด้านไปขอลดราคาจากหมอ เพราะมันไม่มีทางเลือก หมอบางคนใจดีลดให้ แต่ช่วงหลังหลายคนเริ่มบอกว่าไม่ไหว เพราะโดนค้างจ่ายจาก สปสช. มาหกเดือน บางคนเก้าเดือน หมอเองก็ลำบากเหมือนกัน”
ในกรุงเทพฯ สถานการณ์ก็ไม่ต่างกัน มูลนิธิพยายามเปิดคลินิกของตัวเองและขอขึ้นทะเบียนกับ สปสช.เพื่อให้สามารถจ่ายยาได้ฟรี
“แต่ตอนนี้ สปสช.บอกว่าระบบรับลงทะเบียนใหม่ปิดรับชั่วคราว ทำให้เรายังต้องให้บริการแบบจ่ายเงินอยู่ราว 1,500-1,700 บาทต่อคน ซึ่งเป็นราคาต่ำสุดที่เราคาดว่าคลินิกจะอยู่ได้ และผู้รับบริการน่าจะจ่ายไหว ถ้าใครไม่มีเงินเลย เราก็พยายามลดให้เท่าที่จะทำได้ แต่เรารู้ว่ามันไม่ยั่งยืน เพราะเราก็มีต้นทุน”
ระบบที่ยัง ‘พึ่งบุคคล’ มากกว่าระบบ
ผู้จัดการมูลนิธิทำทาง ชี้ว่า “ฐานข้อมูลหลังบ้านของเราในตอนนี้มีรายชื่อสถานพยาบาล 156 แห่ง แต่หลายแห่งไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ เพราะกลัวจะถูกโจมตีหากคนรู้ว่าเขาให้บริการยุติการตั้งครรภ์ ถ้าคุณเป็นคนทั่วไปแล้วลองเสิร์ชในอินเทอร์เน็ต จะไม่เจอข้อมูล [โรงพยาบาลรัฐ] พวกนี้เลย จะเห็นแค่คลินิกราคาแพง เพราะสถานที่ที่ให้บริการจริงๆ มักไม่กล้าประกาศตัว”
เธอยกตัวอย่างจังหวัดเชียงรายที่แม้จะมีโรงพยาบาลหลายแห่งขึ้นทะเบียนไว้ แต่เมื่อตรวจสอบเงื่อนไขกลับพบว่า “บางแห่งให้บริการเฉพาะกรณีทารกพิการหรือถูกข่มขืนเท่านั้น ส่วนกรณีที่เกี่ยวกับปัญหาทางเศรษฐกิจหรือสังคมมักถูกปฏิเสธทันที”

ในหลายพื้นที่ ระบบบริการยังคงขึ้นอยู่กับ ‘บุคคล’ มากกว่ากลไกระบบราชการ “บางจังหวัดมีบริการเพราะมีหมอที่เข้าใจและอยากช่วย แต่พอหมอคนนั้นเกษียณหรือย้ายไป บริการก็หายไปทันที” เธอกล่าว
“มันโตได้ด้วยแรงใจของหมอและพยาบาล มากกว่าการสนับสนุนจากรัฐจริงๆ”
มูลนิธิทำทางจึงพยายามทำงานแบบเครือข่าย ช่วยเชื่อมต่อคนที่ต้องการความช่วยเหลือกับบุคลากรในพื้นที่ที่เข้าใจเรื่องสิทธิและพร้อมจะให้บริการ “เวลาทำแผนที่บริการ เราจะเห็นเลยว่ามันกระจุกตัวอยู่ในบางโซน เพราะหมอที่ให้บริการมักรู้จักกัน เป็นเครือข่ายกัน แล้วช่วยกันขยายต่อ แต่รัฐไม่ได้มีนโยบายที่ทำให้มันกระจายออกไปจริงๆ”
เธอเสริมว่า “บางทีระบบมันดีแค่ตอนที่คนตั้งใจยังอยู่ พอเขาไป ทุกอย่างก็หยุด เหมือนเครื่องยนต์ที่ไม่มีคนสตาร์ท”
งบค้าง ระบบขัด ประชาชนต้องจ่ายเอง
เมื่อบทสนทนาเริ่มขยับมาสู่ประเด็น ‘งบประมาณ’ ตัวแทนมูลนิธิอธิบายว่า “สปสช. ชดเชยค่าบริการไว้ที่ 3,000 บาทต่อคน ซึ่งเพียงพอถ้าอายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ ครอบคลุมค่าการให้ปรึกษาและการใช้ยา แต่ถ้ามากกว่านั้นต้องร่วมจ่ายเพิ่ม เพราะจะมีค่าใช้จ่ายอื่น เช่น ค่าห้องผู้ป่วย ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ก็ต้องไปเบิกกับสิทธิที่มี เช่น สิทธิประกันสังคม”
“ปัญหาคือระบบประกันสังคมเพิ่งประกาศว่ายินดีจ่าย งบประมาณครอบคลุมเรื่องนี้ แต่ในทางปฏิบัติยังไม่มีรายละเอียด ทำให้ รพ.ประกันสังคมไม่ค่อยยอมจ่าย ผู้ป่วยก็เลยต้องควักเงินเอง”
เธออธิบายเพิ่มเติมว่า ในกรณีที่อายุครรภ์มากกว่า 12 สัปดาห์ จะต้องใช้สิทธิร่วมกันระหว่าง 2 กอง ได้แก่
-
สิทธิสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของ สปสช.ครอบคลุมค่าบริการทำแท้งสำหรับทุกสิทธิการรักษา
-
สิทธิการรักษาพยาบาลของบุคคลนั้นเอง ไม่ว่าจะเป็นสิทธิบัตรทอง ประกันสังคม หรือสวัสดิการราชการ ใช้สำหรับค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าแอดมิท และค่ารักษาภาวะแทรกซ้อน
สำนักงานประกันสังคมสำนักงานใหญ่ประกาศว่าจะให้ รพ.ประกันสังคมจ่ายส่วนนี้ คือค่ารักษาที่เกินมาจากสิทธิ สปสช. แต่ในความเป็นจริง รพ.ประกันสังคมมักไม่อยากจ่าย
มูลนิธิจึงเสนอให้สองหน่วยงานหลักคือ สปสช. และสำนักงานประกันสังคม ‘จับเข่าคุยกัน’ เพื่อวางระบบงบชัดเจนและยกระดับมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ “เราต้องการให้กรมอนามัยและกระทรวงสาธารณสุขเป็นมากกว่าแค่ผู้ประสาน เพราะถ้าปล่อยแบบนี้ต่อไป คนที่เดือดร้อนที่สุดคือประชาชน”
ทั้งหมดนี้สะท้อนภาพใหญ่ของโครงสร้างที่ยังเปราะบาง งบประมาณที่ไม่ครอบคลุม ระบบเบิกจ่ายที่ไม่สอดรับกัน และอคติที่ยังฝังอยู่ในระบบราชการ ซึ่งทำให้ ‘สิทธิที่ควรเป็นเรื่องพื้นฐาน’ กลายเป็นเรื่องของโชคชะตามากกว่านโยบาย
อคติที่รักษาไม่หายของระบบสาธารณสุข
ผู้จัดการมูลนิธิทำทาง ระบุถึงต้นตอของปัญหาการไม่เข้าถึงบริการยุติการตั้งครรภ์ว่า “ปัญหาที่ยังแก้ไม่ตกคือทัศนคติของบุคลากรทางการแพทย์เอง หลายคนยังมองว่าการยุติการตั้งครรภ์คือเรื่องผิดศีลธรรม ไม่ใช่การรักษา ทั้งที่ตามหลักสาธารณสุข มันคือบริการสุขภาพพื้นฐานอย่างหนึ่ง”
เธออธิบายว่า แม้จะมีการจัดอบรมบุคลากรด้านการให้คำปรึกษาทางเลือกจากกรมอนามัย ตามกฎหมายมาตรา 305 (5) ที่กำหนดว่า การยุติการตั้งครรภ์ของหญิงซึ่งมีอายุครรภ์เกิน 12 สัปดาห์ แต่ไม่เกิน 20 สัปดาห์ ไม่ถือเป็นความผิดทางอาญา แต่มีเงื่อนไขสำคัญคือ ต้องผ่านการตรวจและรับคำปรึกษาจากผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมและผู้ประกอบวิชาชีพอื่น
แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่ได้ช่วยลดอคติได้จริง “หลายโรงพยาบาลใช้การปรึกษาทางเลือกเป็น section นั่งด่าผู้รับบริการ บางโรงพยาบาลถึงขั้นเอาภาพอัลตราซาวด์ขึ้นจอ แล้วพูดกับผู้รับบริการว่า ‘เป็นตัวแล้วนะ’ ซึ่งมันตรงข้ามกับแนวคิดของการให้คำปรึกษาทางเลือกโดยสิ้นเชิง และที่แย่คือ กรมอนามัยไม่เคยติดตามคุณภาพของการปรึกษาเหล่านี้เลย” เธอระบุ

ตัวแทนจากมูลนิธิทำทางเสริมว่า “สิ่งที่เรารัฐพอจะทำได้ แต่รัฐไม่ทำ ซึ่งทางมูลนิธิเสนอมานานมาก คืออยากให้กรมอนามัยให้ความมั่นใจกับผู้ให้บริการว่า ‘การบริการลักษณะนี้เป็นสิทธิของคุณ และขอบคุณเป็นอย่างมากที่คุณให้บริการ แม้ว่าคนอื่นจะไม่เห็นด้วย’”
เธอย้ำว่า “เป็นการให้กำลังใจและยังเป็นการบอกใบ้ผู้ให้บริการคนอื่นๆ ด้วยว่า เจ้านายเขาคิดแบบนี้ เราควรจับทิศทางลม”
มูลนิธิพยายามเปลี่ยนบรรยากาศการทำงานเหล่านี้ให้มีศักดิ์ศรี ผ่านการมอบรางวัลในงาน Bangkok Abortion ที่จัดขึ้นทุกปีเพื่อยกย่องแพทย์และพยาบาลที่ให้บริการอย่างมีจรรยาบรรณ “บางโรงพยาบาลเอาโล่รางวัลไปตั้งไว้หน้าห้องตรวจ บางคนโพสต์ลงโซเชียลพร้อมเขียนประมาณว่า ‘ดีใจที่ได้ทำสิ่งนี้’ มันเป็นสัญญาณเล็กๆ ที่แสดงให้เห็นว่าความเข้าใจเริ่มขยับจริงๆ”
แต่ขณะเดียวกัน เธอก็ยอมรับว่า “สิ่งที่เราต้องการจากรัฐมากกว่านี้คือการส่งสัญญาณสนับสนุนอย่างเปิดหน้า” เพราะแม้กฎหมายจะเปิดทางแล้ว แต่เจ้าหน้าที่หลายคนยังไม่กล้าทำเนื่องจากกลัวถูกเพ่งเล็งหรือถูกตำหนิ
“ถ้าแค่ผู้บริหารระดับกระทรวงพูดออกมาสักครั้งว่า ‘ขอบคุณหมอที่ให้บริการนี้’ หมอหลายคนอาจจะกล้าให้บริการมากขึ้นทันที” แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม
เธอบอกว่า “กรมอนามัยเลือกจะนิ่ง” ด้วยเหตุผลว่า “บังคับหมอไม่ได้” ซึ่งในทางสัญลักษณ์ มันเท่ากับการไม่ปกป้องคนทำงานและไม่ยืนยันสิทธิของผู้รับบริการ
“มันกลายเป็น political statement เมื่อรัฐไม่พูดอะไร คนในระบบก็เลือกจะไม่พูดเหมือนกัน และคนที่เจ็บปวดที่สุดคือ ผู้รับบริการที่ต้องการความช่วยเหลือ”
“ทำทางไม่ได้อยากให้ทุกคนต้องเห็นด้วยกับการทำแท้ง แต่เราต้องการให้ระบบมันเดินได้โดยไม่ต้องขึ้นอยู่กับบุญวาสนาของผู้รับบริการ ถ้าหมอไม่อยากทำก็ไม่เป็นไร เพราะถ้าการทำเป็นผลแย่กับหมอ หมอก็จะรู้สึกแย่กับตัวเอง แล้วคนไข้ก็รู้สึกแย่ไปด้วย”
“คำถามที่สำคัญคือเราจะทำอย่างไรให้คนที่ไม่อยากให้บริการไม่ขวาง ไม่ทำตัวเป็นจุดคัดกรอง และเราจะทำอย่างไรให้คนที่อยากให้บริการรู้สึกไม่กลัวที่จะทำ ไม่กลัวที่จะขัดแย้งกับเพื่อนร่วมงาน ไม่กลัวกฎหมาย หรือแรงต้านจากหัวหน้างาน” ชนฐิตา ระบุ
ศักดิ์ศรีของการตัดสินใจเหนือร่างกายตัวเอง

ชนฐิตา พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “เราผ่านกฎหมายนี้มาสี่ห้าปีแล้ว แต่ยังมีจังหวัดกว่า 20 แห่งที่ไม่มีบริการเลย รัฐควรส่องสปอร์ตไลต์ให้เรื่องนี้อยู่เสมอ เพราะถ้าไม่พูดถึง มันจะหายไปจากความสนใจของสังคม”
ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังแสดงความเห็นต่อคำถามที่มูลนิธิมักถูกถาม “ทำไมทำทางไม่เน้นเรื่อง ‘คุมกำเนิด’ มากกว่าการยุติการตั้งครรภ์”
เธอพูดว่า “เรื่องคุมกำเนิดก็สำคัญ แต่มีหน่วยงานดูแลอยู่แล้ว สิ่งที่เราทำคือช่วยคนที่ ‘ท้องแล้ว’ และไม่มีทางเลือกอื่น ปัญหานี้คนทำจริงมีอยู่น้อยมาก แต่คนที่ต้องการความช่วยเหลือมีอยู่จริงทุกวัน”
เธอย้ำว่า “หลายคนที่ติดต่อมาหาเราก็ใช้วิธีคุมกำเนิดอยู่แล้ว บางคนทำหมันถาวร แต่ไม่มีอะไรที่ได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์ การย้อนกลับไปสอนเรื่องคุมกำเนิดกับคนที่ท้องแล้ว มันไม่ช่วยอะไร สิ่งที่ช่วยได้คือการทำให้เขาได้รับบริการที่ปลอดภัย ถูกกฎหมาย และไม่ถูกตัดสิน”
“และถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้เรื่องคุมกำเนิดเลย เราควรลงโทษเขาด้วยการให้เขาท้อง ควรลงโทษให้เขาเลี้ยงลูกไปอีก 20 ปีไหม’”
ท้ายที่สุด ตัวแทนจากมูลนิธิทั้งสองคนฝากข้อความถึงรัฐและผู้มีอำนาจว่า “ระบบนี้ยังอยู่ได้ด้วยแรงของหมอ พยาบาล อาสาสมัคร และคนทำงานตัวเล็กๆ ที่เชื่อในสิทธิ แต่มันเปราะบางมาก เราอยากเห็นรัฐส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า นี่คือบริการที่ควรมี และควรทำให้เข้าถึงได้จริง”
“สิ่งที่เราทำคือการปกป้องสิทธิของคนที่ตั้งครรภ์แล้วให้ได้รับการรักษาที่ปลอดภัย เพราะสุดท้ายสิทธิในการตัดสินใจเหนือร่างกายตัวเอง คือศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์”
*หากต้องการคำปรึกษา สามารถติดต่อมูลนิธิทำทางได้ทาง LINE Official: @tamtang หรือ Facebook: มูลนิธิทำทาง (กลุ่มทำทาง) เพื่อรับข้อมูลเกี่ยวกับบริการที่ปลอดภัย การยุติการตั้งครรภ์อย่างถูกกฎหมาย และสิทธิที่คุณพึงมี
อ้างอิงจาก