ชัยชนะแบบช็อกโลกของมหาเศรษฐี ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ในศึกชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา คนที่ 45 ไม่เพียงทำให้ระบบการเมืองแดนอินทรีถูกเขย่าจนถึงแก่น ฐานปล่อยให้ ‘คนนอก’ ผู้ไม่เคยปฏิบัติตามความถูกต้องทางการเมือง (political correctness) ที่ทุกฝ่ายยึดถือมายาวนาน ได้ขึ้นครองเก้าอี้ผู้นำสูงสุดของประเทศ
แต่ยังทำให้ ‘กลุ่มการเมืองหนึ่ง’ ที่เคยอยู่ชายขอบ ไม่มีใครเหลียวแล ได้มาอยู่ท่ามกลางสปอตไลท์ จนไม่เพียงปรากฏอยู่ในพจนานุกรมการเมืองอเมริกันเท่านั้น ยังได้รับเลือกให้เป็น 10 คำสุดท้าย ที่เข้าชิงรางวัล ‘คำแห่งปี ประจำปีค.ศ. 2016 จาก Oxford Dictionary (ก่อนจะพ่ายแพ้ให้กับคำว่า Post-Truth ที่หมายถึง สถานการณ์ที่คนสนใจอารมณ์มากกว่าความจริง)
กลุ่มการเมืองที่ว่า ก็คือกลุ่มคนที่เรียกตัวว่า Alt-Right
หรือ ‘เอียงขวาทางเลือก’ (alternative right)
แม้ชื่อกลุ่มอาจฟังดูดี แต่หลายฝ่ายวิจารณ์ว่า นี่คือกลุ่มคนที่ขวาจัดเสียยิ่งกว่าฝ่ายอนุรักษ์นิยมกระแสหลักใดๆ ทั้งสิ้น โดยแกนกลางความเชื่อของคนกลุ่มนี้ก็คือแนวคิดเรื่อง ‘คนผิวขาวเป็นใหญ่’ (White Supremacy) ซึ่งแน่นอนว่า คนในกลุ่ม Alt-Right ส่วนใหญ่ จะเป็น ‘ชาวอเมริกันผิวขาว’ ซึ่งตรงกับลักษณะของคนที่เป็นฐานเสียงสำคัญของทรัมป์ (แต่อย่าไปเหมารวมว่า ฐานเสียงของทรัมป์ทุกคนจะต้องเป็นพวก Alt-Right ล่ะ)
คุณลักษณะของกลุ่ม Alt-Right มักถูกสื่อนำเสนอในทางลบ นอกจากชาตินิยมจ๋าและคิดว่าคนผิวขาวเหนือกว่าคนสีผิวอื่นๆ ยังเชิดชูลัทธินาซี เกลียดชังชาวมุสลิม ไม่เอาชาวยิว ต่อต้านคนรักร่วมเพศและเฟมินิสต์ ฯลฯ เรียกว่าขวาจนไม่มีอะไรจะขวาไปกว่านี้ได้แล้ว !
จอห์น ดานิสซิวสกี รองประธานฝ่ายข่าวต่างประเทศของสำนักข่าวเอพี ระบุว่า แนวคิดของคนที่เรียกตัวเองว่า Alt-Right จะเน้นไปที่การปกป้องคนผิวขาวในสหรัฐฯ โดยจะมุ่งวิพากษ์วิจารณ์แนวคิดแบบพหุวัฒนธรรม ที่ให้สิทธิแก่คนที่ไม่ใช่ผิวขาว ผู้หญิง คนยิว คนมุสลิม เกย์ ผู้อพยพ รวมไปถึงชนกลุ่มน้อยอื่นๆ
“สมาชิกของ Alt-Right จะปฏิเสธสังคมในอุดมคติประชาธิปไตยแบบอเมริกัน ที่คนทุกคนควรจะเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมาย โดยไม่คำนึงถึงความเชื่อ เพศสภาพ สีผิว หรือชาติพันธุ์” ดานิสซิวสกีระบุ
กำเนิดของกลุ่ม Alt-Right แม้จะค่อนข้างคลุมเครือ แต่หลายฝ่ายก็ชี้ว่า น่าจะมาจากคำกล่าวปราศรัยของพอล ก็อตต์ฟรีด (Paul Gottfried) นักปรัชญาการเมืองสายอนุรักษ์ ในปีค.ศ. 2008 หลังการเลือกตั้งที่ ‘บารัก โอบามา’ ได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผิวสีคนแรก ที่เรียกร้องให้มีการจัดตั้งฝ่ายขวาทางเลือกขึ้น แต่คนที่หล่อเลี้ยงจนแนวคิดนี้เติบใหญ่ ก็คือ ริชาร์ด สเปนเซอร์ (Richard Spencer) ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Alternative Right ที่เผยแพร่แนวคิดคนขาวเป็นใหญ่ ยาวนานหลายปีตั้งแต่ปี ค.ศ. 2010 จนเป็นหน่อเนื้อของอุดมการณ์กลุ่ม Alt-Right ในปัจจุบัน
แม้จะขึ้นชื่อว่า ‘กลุ่ม’ แต่สื่ออเมริกันก็ให้นิยมคนเหล่านี้แตกต่างกันไป บางสื่อเรียกขบวนการ แต่บางสื่อก็ไม่เรียกอะไรเลย (ใช้คำว่า คนที่เรียกตัวเองว่า… แทน) เพราะ Alt-Right ไม่มีการจัดตั้งอย่างชัดแจ้ง ทำให้ไม่ทราบจำนวนสมาชิกกลุ่มที่แน่นอน และพื้นที่เคลื่อนไหวหลักก็อยู่บนโลกออนไลน์ โดยหนึ่งในอาวุธสำคัญของคนกลุ่มนี้ก็คือ ‘มีม (meme)’
มีมที่ถูกยกเป็นมัสคอตของกลุ่ม Alt-Right ก็คือ ภาพกบสีเขียวตาถลน Pepe the Frog ที่มาจากการ์ตูนเรื่อง Boy’s Club ของแม็ตต์ ฟิวรี่ ที่ถูกตัดต่อไปรับใช้อุดมการณ์ของคนกลุ่มนี้ในหลากหลายรูปแบบ จนตัวการ์ตูนที่น่ารักดูไม่มีพิษไม่มีภัย ถูกตีตราว่าเป็น ‘สัญลักษณ์แห่งความเกลียดชัง’ (hate symbol) ร่วมกับตราสวัสดิการของนาซี หรือตรากางเขนหยดเลือดของกลุ่มคูคลักซ์แคน
ที่ผ่านมา แม้กลุ่ม Alt-Right จะเคลื่อนไหวผ่านทางอินเตอร์เน็ตอย่างเข้มข้น โดยมีหัวหอกสำคัญก็คือสำนักข่าวไบรต์บาร์ต (Breitbart News) แต่ก็ยังไม่เป็นที่สนใจจากคนอเมริกันมากนัก เพิ่งมาเปิดตัวบนเวทีการเมืองระดับชาติอย่างเป็นทางการ เมื่อทรัมป์ที่กลุ่ม Alt-Right สนับสนุนเนื่องจากมองว่ามีแนวคิดใกล้เคียงกัน ได้รีทวิตภาพมีมเปเป้ที่ตัดต่อให้คล้ายตัวเขา พร้อมข้อความ ‘You Can’t Stump the Trump’ (ไม่มีใครโค่นทรัมพ์ลงได้) ขณะที่คู่แข่งอย่าง ‘ฮิลลารี คลินตัน’ ก็กล่าวโจมตีทรัมป์ ว่าได้นำกลุ่ม Alt-Right ซึ่งเป็นขบวนการแห่งความเกลียดชังขึ้นมาสู่สาธารณะ
แม้หลังชนะการเลือกตั้ง จะมีเหตุให้ทรัมป์ต้องประกาศไม่ยอมรับและประณามคนกลุ่มนี้ หลังปรากฎข่าวว่า ในการประชุมสมาชิกกลุ่ม Alt-Right ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งมีคนทำท่าแสดงความเคารพแบบนาซี พร้อมตะโกนว่า
“Hail Trump, hail our people, hail victory!”
แต่สายสัมพันธ์ระหว่างทรัมป์กับกลุ่ม Alt-Right นอกจากจะไม่หายไป กลับเข้มแข็งขึ้น เนื่องจากตลอดการหาเสียงที่ส่งเขาเข้าสู่เส้นชัย หนึ่งในผู้มีบทบาทสำคัญก็คือ ‘สตีฟ แบนนอน’ (Steve Bannon) อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวไบรตบาร์ต ฐานกำลังสำคัญของกลุ่มขวาสุดกู่นี้นี่เอง
แบนนอนในฐานะประธานทีมรณรงค์หาเสียง เป็นผู้กำหนดสารที่ทรัมป์จะสื่อไปยังผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ทั้งผ่านเวทีหาเสียงและโซเชียลมีเดีย ทำให้ความคิดและข้อเสนอของทรัมป์ดูเป็นเอกภาพและวิ่งตรงเข้าสู่ใจกลางของกลุ่มอนุรักษ์นิยมเอียงขวา และผู้ต่อต้านเสรีนิยม
นอกจากนี้ เขายังดำเนินยุทธวิธีจัดตั้งผู้หญิงมาโจมตีบิล คลินตัน กรณีชู้สาว และพิมพ์หนังสือ Clinton Cash เปิดโปงว่าใครบริจาคเงินให้กับมูลนิธิคลินตันบ้าง ซึ่งนำไปสู่การโจมตีฮิลลารีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน
และเมื่อทรัมป์ก้าวเข้าสู่ทำเนียบขาวสำเร็จ แบนนอนก็ได้รับการตกรางวัลด้วยการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าสำนักยุทธศาสตร์และที่ปรึกษาประธานาธิบดีอาวุโส ซึ่งถือว่าเป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญลำดับต้นๆ ในทำเนียบขาว
อิทธิพลของกลุ่ม Alt-Right ต่อสังคมอเมริกันและโลกต่อจากนี้ไป น่าจับตาเป็นอย่างยิ่ง ตราบใดที่แบนนอนยังอยู่ข้างกายประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ชื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ ความเคลื่อนไหวของกลุ่มขวาจัดนี้ก็มีแนวโน้มที่จะเติบใหญ่ขึ้นทุกทีๆ และน่าสนใจว่า อุดมการณ์ของคนเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ รวมถึงส่งผลกระทบต่อโลกในแง่ใดบ้าง
อ้างอิงข้อมูลจาก
www.bbc.com/news/election-us-2016