“I loved thee, though I told thee no”
(ผมรักคุณ แต่ผมจะไม่บอกคุณ)
– John Clare กวีอังกฤษยุคศตวรรษที่ 19
กับบางคน แค่ได้เจอหน้า เห็นรอยยิ้มกันทุกวัน แค่นี้ก็เป็นสุขใจแล้ว
แต่อีกทีเราก็รู้ว่าหัวใจเรามันไม่ได้ต้องการหรือรู้สึกไปแค่นั้น ลึกๆ แล้วเรากำลังแอบรักอีกฝ่ายอยู่ แต่จะบอกออกไปก็ย่อมต้องกระทบและต้องเผชิญความไม่แน่นอนสารพัดติดตามมา สุดท้ายเราเลยเอาเป็นว่า อยู่แบบนี้ไปแหละดีแล้ว
การแอบรักดูจะเป็นรูปแบบความรักที่เรายอมรับในความขี้ขลาดของตัวเอง เราต่างรู้ว่าความรักเป็นเรื่องของคนสองคน เราอยากที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ แต่เราก็ไม่อยากเสี่ยง ไม่ว่าจะเสี่ยงในความสัมพันธ์ที่อาจจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมจาก กับความรู้สึกที่อาจจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป จากการสูญเสียอีกฝ่ายไปตลอดกาล
แต่ชีวิตมันต้องเสี่ยง ก็รู้! แต่มันยากไง ก็เข้าใจ… ชีวิตมันซับซ้อน ปัญหาคลาสสิกของการแอบรักเป็นเรื่องของการแอบรักเพื่อน(สนิท) ก็เรามันมนุษย์ปุถุชนเนอะ ใกล้ชิดกัน เติมเต็มกันไป จากเพื่อน สุดท้ายหัวใจมันก็เริ่มคิดไปไกลกว่านั้น แต่ด้วยสถานการณ์และข้อห้ามของการ ‘เป็นเพื่อน’ การรู้สึกมากกว่าเพื่อนเลยดูจะกลายเป็นบาปไปซะอย่างนั้น
การแอบรักเลยดูจะเป็นรูปแบบความรู้สึกที่แสนจะน่าปวดหัว การรักใครสักคนมันเป็นเรื่องสวยงาม แต่ในขณะเดียวกันความรักที่เป็นไปไม่ได้ก็เป็นเรื่องน่าปวดร้าว ความรักที่เราไม่ยอมบอกออกไป เลยดูจะปนเปไปทั้งความงดงามและร้าวราน
สุนทรียศาสตร์ของความพ่ายแพ้
ด้วยความที่ความรักมันยาก และเราก็ยินดีที่จะแอบรักต่อไปเรื่อยๆ แถมโลกนี้ยังมีคนแอบรักแบบเราอีกมากมาย เรามีกวีและบทเพลงจาก Polycat เพื่อเป็นเพื่อนและคอยปลอบประโลมใจ จุดหนึ่งเราจะเริ่มบอกกับตัวเองและพัฒนาความรู้สึกของเราให้กลายเป็นความรักระดับพ้นโลก (platonic love) คือเป็นความรักที่เราบอกว่า เฮ้ย เราแค่รัก ไม่ได้ต้องการครอบครอง ไม่ต้องการอะไร
ฟังดูอุดมคติ แต่ก็ต้องถามใจตัวเองว่า เราสามารถที่จะก้าวพ้นความแบบโลกย์ๆ ไปสู่ความรักที่เป็นความรักระดับพระโพธิสัตว์ได้จริงๆ เหรอ แน่ใจนะว่าเราไม่ได้กำลังหลอกตัวเองจากความไม่กล้าเสี่ยง จากความกลัวความเปลี่ยนแปลง ถ้าเราสามารถรักใครในระดับที่ปล่อยมือ ปล่อยใจ ไม่ยึดติดได้จริงๆ ก็ถือเป็นเรื่องน่าชื่นชมยินดี
แต่ยากเนอะ ถึงจุดหนึ่ง ความรู้สึกที่เราบอกว่าเราขอแบกรักความรู้สึกทั้งหมดไว้เอง อาจมีที่มาจากการปฏิเสธความรู้สึกของเราก็ได้ การบอกตัวเองว่าเราไม่ต้องการครอบครองอาจเป็นแค่การยื้อ ซื้อเวลา และเป็นการหลอกตัวเองให้อยู่กับความหวังไปในแต่ละวัน การยังได้เจอ ได้พูดคุย สุดท้ายอาจจะเป็นระเบิดเวลาที่ทำให้ความรู้สึกของเรายิ่งรู้สึกต่ออีกฝ่ายมากขึ้นไปทุกวัน
หรือเป็นความหวังที่กำลังล่อลวงเรา
ดังนั้นในการแอบรัก การไม่เผยความรู้สึกเป็นเพียงแค่การรักษาความหวังเล็กๆ ว่าเราอาจจะยังมีโอกาสบางอย่าง ความหวังนี้อาจจะไม่ได้เป็นความหวังที่สุขภาพดีกับตัวเราและความสัมพันธ์ของเราเท่าไหร่ เป็นความหวังระยะสั้นที่งอกเงยจากความกลัว ไม่กล้าก้าวไปยอมรับความจริงของเราเอง
ความหวังที่เรายืดมันออกไปเรื่อยๆ นี้อาจเป็นพิษในภายหลัง และเป็นการสร้างการผูกมัดยิ่งกว่าการปล่อยมือ การแอบรักสุดท้ายเราก็ไม่รู้ว่าความรักของเราจะสัมฤทธิ์ผลได้ไหม แต่เราอาจจะยิ่งผูกมัดและไม่อาจก้าวไปสู่ความสัมพันธ์อื่นๆ ได้ต่อไป
สิ่งสำคัญที่ต้องพยายามเลิกทำร้ายตัวเองคือการมองว่า ความรักเป็นเรื่องสวยงาม เป็นความรู้สึกเชิงบวก การเผลอใจไปรักไม่จะน่าใช่การทำบาป การทำผิดที่ต้องทำลายความสัมพันธ์หรือความรู้สึกแก่กัน จริงๆ อาจจะเป็นความกลัวของเราเองก็ได้ที่ไปสร้างผลลัพท์ในเชิงทำลายล้าง ว่าถ้าเอ่ยความรู้สึกไป หายนะจะมาเยือนถ้าอีกฝ่ายไม่ได้รู้สึกเหมือนกัน
บางคนอาจจะบอกว่า การมีรักในใจ ก็ดีกว่าไม่เคยรักเลย ดังนั้นจะขอเก็บรักไว้จนวันสุดท้าย วันนี้เราอาจจะยังไม่แก่ การแอบรักและยังได้พบหน้าอาจเป็นเรื่องที่ทำให้เรายิ้มและลุขหัวใจไปได้ในแต่วัน แต่ถ้ายาวนานกว่านั้นล่ะ
“‘Tis better to have loved and lost: Than never to have loved at all”
– Alfred, Lord Tennyson
ในกวีบทเก่าของ Alfred, Lord Tennyson บอกว่า จะดีกว่าที่เราจะรู้จักรัก ‘และสูญเสียรักไป’ ดีกว่าไม่เคยรักอย่างแท้จริง ดังนั้นตรงนี้ดูจะเป็นอีกด้านของความรัก ที่ไม่ใช่แค่เก็บรักไว้ไม่บอกใครแล้วอยู่ในเซฟโซนของตัวเองไปจนวันสุดท้าย ความรักที่แท้จริงน่าจะหมายถึงความที่พร้อมที่เสี่ยง พร้อมรับมือกับความสูญเสีย จิตแพทย์ Eric Berne เขียนไว้ในหนังสือ Sex in Human Loving ว่า ใครบอกว่ารักเขาข้างเดียวดีกว่าไม่เคยรักเลย รักข้างเดียวก็เหมือนขนมปังครึ่งก้อน นานวันไปมีแต่จะแห้งแข็งและราขึ้นไปเปล่าๆ
การแอบรักเป็นเรื่องสวยงาม แต่ปล่อยมันเป็นแค่ภาวะชั่วคราวจะดีกว่า สุดท้ายแล้วชีวิตแบบโลกย์ๆ ของเราก็เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงและการเปลี่ยนแปลงไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง วันหนึ่งคนที่เราแอบชอบก็ต้องกลายเป็นอื่นอยู่ดี ถ้าความรักจะทำให้เติบโต การแอบรักสู่การบอกรักน่าจะเป็นการก้าวข้ามความพ่ายแพ้ของเราเอง และแน่ล่ะว่า ผลของการ ‘บอกออกไป’ มันย่อมมีอยู่แล้ว แต่โลกมันก็ประมาณนี้ ไม่สมหวังก็ผิดหวัง น่าจะดีกว่าปล่อยให้เป็นปริศนาแล้วคาราคาซังกันไปเรื่อยๆ
ถ้าเป็นการแอบรักที่มีความเป็นไปได้ การลองจบวงจร ‘ความรัก’ ไปลองผิดหวัง สมหวังหรือลองตัดใจดู ก็น่าจะเป็นการเติบโตที่สำคัญของมนุษย์อย่างเรา มนุษย์ตัวเล็กๆ ที่ต้องต่อสู้กับความรักกันเสมอมา
อ้างอิงข้อมูลจาก