-1-
ไม่มีใครไม่รู้จักอาชีพทหาร และถ้าโตขึ้นมาหน่อย เชื่อว่าน้อยคนที่ไม่รู้จัก ‘การเกณฑ์ทหาร’
ปี 2560 กองทัพไทยต้องการ ‘ทหารเกณฑ์-ทั้งประเทศ’ ทั้งหมด 103,097 คน (แบ่งออกเป็นกองทัพบก 76,953 นาย กองทัพเรือ 16,000 นาย กองทัพอากาศ 8,420 นาย กองบัญชาการทหารสูงสุด 1,173 นาย และสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม 551 นาย) ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ตัวเลขที่สูงขึ้นเรื่อยๆ สะท้อนวิธีคิดของกองทัพไทยที่ต้องการ ‘กำลังพลสำรอง’ ในปริมาณมากเข้าไว้ เพื่อเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ความมั่นคงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต (พูดให้เห็นภาพ ก็เตรียมกำลังคนเพื่อรบในสงครามขนาดใหญ่นั่นแหละ)
ราวเดือนเมษายนของทุกปี ฤดูเกณฑ์ทหารหวนกลับมาอีกครั้ง
‘เสียสละ รับใช้ชาติ เพื่อชาติ รักชาติ’ และอีกสารพัดคำให้คุณค่าที่ผู้บังคับบัญชามักพูดถึง ‘การเกณฑ์ทหาร’ และหากใครไปสัมภาษณ์คนมีชื่อเสียงที่ผ่านการเกณฑ์ทหาร จิ้มถามแบบไม่ต้องเลือกเลยก็ได้ ทุกคนจะพูดไปในทางเดียวกันว่า การเกณฑ์ทหารคือการฝึกวินัย คือความภาคภูมิใจ คือครั้งหนึ่งในชีวิตของชายไทย
พวกเขาพูดเช่นนี้มาเนิ่นนาน และยังคงพูดเช่นนั้นมาตลอด
สำหรับคนที่เกี่ยวข้องโดยตรงอย่างชายไทยอายุ 21 ปี (หรือมากกว่านั้นในกรณียื่นเรื่องขอผ่อนผัน) ยิ่งใกล้วันจับใบดำ-ใบแดง ความตื่นเต้นและหวั่นใจยิ่งทวีความรุนแรง ในภาชนะสีทึบ ชายไทยค่อยๆ หย่อนมือควานหาความหวัง หยิบหนึ่งใบยื่นให้เจ้าหน้าที่ แล้วรอลุ้นด้วยใจระทึก
เพียงไม่กี่วินาที…ตรงนั้น ใจเต้นแรง หายใจขัด ประสาทสัมผัสหนึ่งเดียวคือการรอฟังเสียงเจ้าหน้าที่ – ที่จะกำหนดชีวิตหลังจากนั้น ‘โดน’ หรือ ‘รอด’ เป็นทางแยกของความรู้สึกในเสี้ยววินาที ที่ขัดแย้งราวคนละความหมายกับนิยามคุณค่าของการเกณฑ์ทหารจากปากผู้บังคับบัญชาและคนมีชื่อเสียง สิ้นเสียงประกาศผล ถ้าโดน บางคนทรุดตัวหมดเรี่ยวแรง ถ้ารอด บางคนกระโดดโลดเต้น
ตลอดทั้งฤดูเกณฑ์ทหาร นอกจากคนที่เกี่ยวข้องโดยตรง โลกของข้อมูลข่าวสารเต็มไปด้วยบทสนทนาอันหลากหลาย ดาราดังยื่นใบรับรองแพทย์ว่าเป็นหอบหืด สาวประเภทสองที่มาตามหมายเรียก คลิปวีดีโอแสดงอาการดีใจสุดแรงหรือช็อกสุดขีด แต่เมื่อฤดูเกณฑ์ทหาร-นอกกรมสิ้นสุด การรับรู้ของประชาชนก็สิ้นสุดตามไปด้วย
ก่อนจะเป็นข่าวอย่างอึกทึกอีกครั้ง เมื่อความรุนแรงในค่ายทหารได้ลงเอยถึงขั้นเสียชีวิต
“อยู่ระหว่างขั้นตอนการสอบสวน โดยเราจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย” เป็นคำให้สัมภาษณ์ที่ปรากฏอยู่เสมอ และอย่างที่รู้กัน ไม่นานเรื่องก็ค่อยๆ เงียบหายไป…เช่นเคย
ในสายตาคนทั่วไป การเกณฑ์ทหารเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปอย่างเงียบเชียบ (ก่อนจะวนกลับมาเป็นประจำทุกปี) น้อยคนที่จะล่วงรู้ชีวิตในแต่ละวันของทหารเกณฑ์ ที่เหนื่อยหนักจนกลายเป็นความหวาดกลัว พวกเขาเหล่านั้นโดนอะไรบ้าง ซึ่งถ้าไม่ใช่คนใกล้ชิด คงยากที่ใครจะกล้าเล่าถึงเรื่องราวในนั้น – อย่างตรงไปตรงมา โดยเฉพาะกับบรรยากาศทางการเมือง ณ ปัจจุบัน
ตอนนั้นธงค่อนข้างชัดว่าเข้าไปทำอะไร ผมอยากเข้าใจสิ่งที่อยู่ในนั้น เลยลิสต์คำถามต่างๆ ไว้ไปถามคนข้างใน
-2-
เขาคือ ‘ทหารเกณฑ์’ หนึ่งในกว่าแสนคนของช่วงปีที่ผ่านมา
เมื่อปลดประจำการ ช่วงเวลาสั้นๆ ในกรมทหารเต็มไปด้วยเรื่องราว เราอยากรู้จักโลกในนั้น เช่นกัน เขาเองก็อยากสื่อสาร ทั้งหมดนี้ไม่ใช่การแฉคนเลว ไม่ใช่การเอาปีศาจมาเสียบประจาน แต่เป็นการพยายามทำความเข้าใจสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘ทหาร’
เครื่องบันทึกเสียงเริ่มทำงาน ผมวางตัวเองเป็นคนขี้สงสัย แล้วเรื่องราวต่างๆ ก็ไหลออกมา
จุดเริ่มต้น ‘การเกณฑ์ทหาร’ ของชนชั้นกลางที่โตมากับระบบโรงเรียน เกิดขึ้นในช่วงมัธยมปลาย ทันทีที่ปฏิเสธการเรียนนักศึกษาวิชาทหาร หรือ ร.ด. (หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน) นั่นแปลว่าอีกไม่กี่ปีจะมีการลุ้นระทึกตามมา สำหรับเขา เมื่อตัดสินใจไปใช้ชีวิตในต่างประเทศหนึ่งปี หากตัดสินใจเรียน ร.ด. เขาต้องเสียเวลาอีกหนึ่งปีตอนเข้ามหาวิทยาลัยเพื่อให้จบ ร.ด. ปีสาม (จะได้ไม่ต้องเกณฑ์ทหารนั่นแหละ) อีกเหตุผลหนึ่งคือเพื่อนๆ ในกลุ่มต่างเลือกไม่เรียนร.ด.เช่นกัน
“ผมบอกพ่อว่าไม่เรียน ร.ด. นะ เขาไม่ว่าอะไร ตลอดมาพ่อให้จัดการชีวิตตัวเอง” เขาพูดถึงการตัดสินใจครั้งนั้น “พออยู่ ม.6 ผมเริ่มหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต แล้วไปคุยกับสัสดีเขตแถวบ้าน แล้วก็ลองถามว่า ‘พอจะมีทางช่วยไหม’ ถามไปกว้างๆ อยากรู้ว่ามีวิธีไหนบ้าง จำได้ว่าเขาบอกเรตมาด้วยนะ สักสามสี่หมื่นนี่แหละ แต่ผมบอกว่าไม่ได้จะยัด แล้วเขาก็ไม่แนะนำ โดยบอกว่า ‘จบปริญญาตรีสมัครไปเลย อยู่แค่ 6 เดือน ฝึกหนักแค่ 3 เดือน ประสบการณ์ชีวิต’ แต่ตอนนั้นผมยังไม่ได้ตัดสินใจอะไร”
ว่ากันว่าหลังจากมีข่าวอดีตนายกท่านหนึ่งหนีการเกณฑ์ทหาร การยัดเป็นไปอย่างยากลำบาก แต่ยากไม่ได้แปลว่าไม่ได้ แม้ไม่มีการยืนยันด้วยสุ้มเสียงของผู้มีอำนาจ แต่ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าการเกณฑ์ทหารสามารถเลี่ยงได้ด้วยเงินหลักหมื่น ซึ่งเขาที่เติบโตมาในครอบครัวนักธุรกิจ การแลกระยะเวลา 6 เดือนด้วยเงินเท่านั้น ถ้าจะทำจริงๆ ไม่ใช่เรื่องยากเลย (สรุปว่ายากหรือไม่ยาก)
“แน่ใจเหรอว่าจะเสี่ยง” คนเป็นพ่อเคยถามแบบนั้น
“ตอนนั้นบอกพ่อไปว่าไม่ยัด แต่ยังลังเลว่าจะจับหรือสมัครเลย” เขาย้อนความทรงจำ โดยเล่าเบื้องหลังว่า “ตอนเด็กๆ ผมฝันว่าอยากเป็นนายก ตอนนี้ก็ยังคิด เลยอยากทำให้ถูกต้องที่สุด” สุดท้ายเขาตัดสินใจว่าจะสมัคร เพราะการเดิมพันมีความเสี่ยง ถ้าสมัครเป็นแค่ 6 เดือนแต่ถ้าจับแล้วโดนต้องเป็นถึง 1 ปี เวลาที่เสียเพิ่มอีกเท่าตัวจึงเป็นการเสี่ยงที่ไม่คุ้มเสีย
ตามขั้นตอนเขาต้องเตรียมเอกสารไปที่เขตตามทะเบียนบ้าน เพื่อยื่นความประสงค์ว่าจะสมัคร และเดินทางไปรายงานตัววัน-เวลาเดียวกับคนส่วนใหญ่ที่ตัดสินใจเสี่ยง หลังจากทำเรื่องแล้ว ยังเหลือเวลาอีกสักพัก นอกจากเตรียมใจ เขาตัดสินใจเตรียมร่างกายให้พร้อม วิ่งสัปดาห์ละ 3-4 วัน วิดพื้น ซิทอัพ ฯลฯ และไหนๆ ก็ตัดสินใจเข้าไปแล้ว เขาเตรียมความสงสัยจำนวนหนึ่งติดตัวไปเพื่อสังเกตการณ์ชีวิตต่างๆ ในกรมทหารอีกด้วย
“ตอนนั้นธงค่อนข้างชัดว่าเข้าไปทำอะไร ผมอยากเข้าใจสิ่งที่อยู่ในนั้น เลยลิสต์คำถามต่างๆ ไว้ไปถามคนข้างใน เช่น เกณฑ์ทหารไปทำไม ครูฝึกคิดว่าทหารมีหน้าที่อะไร คิดยังไงกับนายกคนก่อนและคนปัจจุบัน มุมมองต่อสถาบันกษัตริย์ ฯลฯ ผมจดใส่สมุด พิมพ์ใส่กูเกิลไดรฟ์ เพราะคิดว่าสมุดจะโดนยึด แล้ววันจริงก็โดนยึด (หัวเราะ) แต่ไม่เป็นไร พอลิสต์ออกมา คำถามก็อยู่ในหัว”
ถึงวันที่ชายไทยต้องไปรายงานตัวเพื่อจับใบดำ-ใบแดง
“วันที่ต้องไปรายงานตัว คุณรู้สึกยังไง” ผมถาม ทั้งที่รู้ว่าเขาคงไม่เครียดมาก เพราะตัดสินใจว่าจะสมัครแล้ว “ตื่นเต้น” เขาตอบทันที “เขตนั้นคนมาสักสองสามร้อย นั่งรวมกันเป็นแถวยาวๆ เจ้าหน้าที่ถือโทรโข่งมาพูดว่า ‘ถอดเสื้อ!’ มาถึงก็ดุเลย เข้าใจว่าดูรอยสัก ดูแผลผ่าตัด หรือในอีกแง่ เมื่อเข้ามาที่นี่ คุณไม่มีสิทธิในร่างกายแล้ว ซึ่งสิทธินั้นจะลดลงเรื่อยๆ”
เมื่อเจ้าหน้าที่ถามว่าใครผ่อนผันบ้าง ราวครึ่งนึงลุกขึ้นเดินออกไป
เมื่อถามต่อว่าใครสมัครบ้าง เขาลุกขึ้น เป็นหนึ่งในสิบกว่าคนตรงนั้น
“ผมหาข้อมูลมา คนสมัครจะเลือกเหล่าได้ (ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ) เราได้ยินมาว่าอากาศฝึกเบาสุด ตั้งใจมาเลือก พอไปต่อแถวของอากาศ เจ้าหน้าที่นับจำนวนแล้วบอกว่าเกิน เขาถามว่าผมอายุเท่าไร คนที่ยืนตรงนั้นผมอายุเยอะสุด สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ‘เออ ให้น้องละกัน’ อ้าว ฉิบหายแล้ว ง่ายแบบนี้เลยเหรอ ยังไม่ได้เริ่มเลย สัมผัสได้ถึงความไม่แน่นอนแล้ว ผมถามว่า ‘ไม่ได้เลยเหรอครับ’ คำตอบคือไม่ได้ เจ้าหน้าที่แนะนำให้ไปทหารบก แล้วเลือกกรุงเทพฯ ซึ่งการฝึกน่าจะเบากว่า”
เมื่อชื่อ-นามสกุลถูกบรรจุในเหล่าทหารบก-พิกัดกรุงเทพมหานคร เขาเข้าสู่ขั้นตอนการตรวจร่างกาย และยื่นเอกสารต่างๆ ให้ครบถ้วน ก่อนจะกลับบ้านมารอคอยวันเริ่มต้นชีวิตทหารเกณฑ์ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่ช้า
แน่นอนว่าโลกข้างในไม่มีอะไรแน่นอน
ด้วยอาชีพมันต้องพร้อมจริงๆ ข้าศึกบุกมาคงเอาแต่นั่งขี้ไม่ได้ เขาคงตั้งใจจำลองความกดดัน
-3-
แม้ตัดรายละเอียดเฉพาะพื้นที่ออกไปพอสมควร แต่วิถีชีวิตของทหารเกณฑ์ในที่หนึ่งย่อมแตกต่างจากอีกที่หนึ่งเป็นธรรมดา ทหารมีหลายเหล่า หลายพื้นที่ หลายครูฝึก เมื่อเป็นเช่นนั้น ชีวิตประจำวัน ความเข้มงวด การลงโทษ ความรุนแรง และความไร้เหตุผลต่างๆ จึงไม่ใช่ค่ากลางที่อธิบาย ‘การเกณฑ์ทหาร’ ได้อย่างครอบคลุม
วันนั้นตอนเจ็ดโมงเช้า ทุกคนมารวมตัวกันที่เขตตามทะเบียนบ้าน ก่อนที่เหล่าชายไทยจะถูกส่งต่อไปยังกรมต่างๆ วันเดียวกันนั้น ใครพกอะไรมาจะถูกยึด ทั้งโทรศัพท์ สมุดบันทึก ไม่เว้นแม้แต่กางเกงใน ต่อให้มาตัวเปล่า (ใส่เสื้อผ้ามาหน่อยละกัน) คุณก็มีชีวิตอยู่ได้ อาหารสามมื้อ ที่ซุกหัวนอน สบู่ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน อุปกรณ์ทำความสะอาดทั้งหลายวางพร้อมให้หยิบ เครื่องแต่งกายเลเวลแรก ได้แก่ เสื้อยืดกองทัพบก กางเกงขาสั้น ถุงเท้า รองเท้าผ้าใบ หมวกแก๊ป รวมแล้วเรียกว่า ‘ชุดเป็ดน้อย’ (เครื่องแบบอื่นๆ จะได้ตามมาภายหลัง) โดยหลังจากตัดผมเรียบร้อย สิ่งแรกที่ทุกคนต้องทำคือตัดสติกเกอร์เพื่อพ่นชื่อตัวเองบนเสื้อ เหตุผลนึงป้องกันหาย และอีกเหตุผลครูฝึกได้เรียกชื่อถูก
“เหมือนเอ็มวีเพลง ‘คิดถึงฉันไหมเวลาที่เธอ…’ เลยนะ วันแรกต้องตัดผมแล้วเปลี่ยนชุด”
กรมทหารแห่งนี้แบ่งพื้นที่เป็นสัดส่วน โรงนอน ห้องน้ำ (สะอาดและมีที่ฉีดตูด) ลานเข้าแถวรวมตัว และที่ตั้งอยู่ใกล้กับแหล่งชุมชน “เข้าไปวันแรก สัมผัสได้ว่าทุกคนเข้ามาด้วยความกลัว เลยจะเกาะๆ กันไว้” เขานึกถึงความรู้สึกแรกในกรมทหาร
วันรุ่งขึ้น มีการบอกอย่างชัดเจนตั้งแต่แรกว่าทุกๆ การเรียนและการฝึก ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ มีปลายทางคือการสอบวัดผล ทุกวันจะมี ‘ครูเวรประจำวัน’ (เป็นทหารยศนายสิบหรือจ่า) สลับกันมาทำหน้าที่ สัญลักษณ์คือสวมปลอกแขนสีแดง ทำหน้าที่ควบคุมกิจกรรมตั้งแต่ตื่นจนหมดวัน ซึ่งแต่ละคนก็มีวิธีปฏิบัติต่อทหารเกณฑ์แตกต่างกันไป เสียงนกหวีดตอนตีห้าครึ่ง เป็นสัญญาณว่าพลทหารทุกคนต้องตื่นโดยพร้อมเพรียง
“ตื่นแล้วทุกคนต้องพูดว่า ‘อรุณสวัสดิ์ครับครู’ หลังจากนั้นก็เก็บมุ้ง ใส่ถุงเท้ารองเท้า แล้วสิบนาทีต่อมาจะเป่าอีกรอบ ‘เตรียมรวม!’ ให้มารวมที่ลานหน้าเสาธง เข้าแถวแบ่งเป็นหน่วย แล้วกล่าวคำปฏิญาณแบบเดิมทุกวัน”
“จงกลับใจ หากคิด หนีทหาร
ส่อสันดาน ขี้ขลาด ให้ชาติเห็น
หญิงยังสู้ เมื่อคราว ชาติลำเค็ญ
แต่เราเป็น ลูกผู้ชาย ควรอายเอย”
ซ้ำ 3 รอบ
“ไม่มีอะไรที่ทหารใหม่ทำไม่ได้ ทำไม่ไหว ทำไม่ทัน”
ซ้ำ 3 รอบ
“ตายในสนามรบเป็นเกียรติของทหาร ยอมตายเสียดีกว่าที่จะละทิ้งหน้าที่”
ซ้ำ 3 รอบ
“ช่วงแรกมีการขู่เรื่องการหนีทหารเยอะ ‘จับได้โดนหนัก!’ บางปีบางที่ฝึกหนักมาก ทหารใหม่ทนไม่ไหว เลยปีนหนีออกไป สุดท้ายโดนหมายจับ ครูฝึกเคยเล่าว่า คนนึงหนีทหารไป สุดท้ายทำใบเกิดให้ลูกตัวเองไม่ได้เลย ซึ่งไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า แล้วการที่ทหารใหม่หนีออกไป ครูเวรประจำวันนั้นจะโดนลงโทษด้วย”
หลังจากเข้าแถวเสร็จ ครูเวรจะปล่อยให้ทุกคนเข้าห้องน้ำประมาณ 5 นาที ทหารเกณฑ์กว่าร้อยคนกับห้องน้ำและโถฉี่ที่มีอย่างจำกัด ภาพที่เกิดขึ้นเป็นประจำคือ ความโกลาหล “เยี่ยวซ้อนสองซ้อนสามเป็นเรื่องปกติเลย ทุบประตูห้องส้วมก็มีประจำ” เขาเล่า “ด้วยอาชีพมันต้องพร้อมจริงๆ ข้าศึกบุกมาคงเอาแต่นั่งขี้ไม่ได้ เขาคงตั้งใจจำลองความกดดัน”
เสร็จแล้วก็มาออกกายบริหารอีกประมาณ 15 นาที ต่อด้วยการแปรรูปขบวนแบบต่างๆ แถวตอน แถวหน้ากระดาน สั้น-ยาว ไปจนถึงการฝึกนับจำนวน โดยอีกนัยคือการเช็คจำนวนให้ครบอยู่เสมอ ต่อด้วยการวิ่งรอบกรมทหารอีก 3-5 รอบ (รอบใหญ่มาก) โดยมีการร้องเพลงขณะวิ่งไปด้วย (เหมือนในละครผู้กองยอดรักนั่นแหละ) หนึ่งในเพลงที่เขาจำได้คือเพลง จากยอดดอย
“จากยอดดอยแดนไกลใครจะเห็น
ยากลำเค็ญเพียงใดใจยังมั่น
จะปกป้องผองภัยชั่วนิรันดร์
สิ้นชีวันก็ยังห่วงหวงแผ่นดิน
ด้วยหน้าที่ชีวิตรับผิดชอบ
คือคำตอบที่รบอยู่มิรู้สิ้น
ความภูมิใจลึกล้ำด่ำอาจิณ
รักแผ่นดินรักเกียรติศักดิ์นักรบไทย
คิดถึงยอดหฤทัยใจจะขาด
แต่ไม่อาจตัดใจทิ้งไปได้
ด้วยหน้าที่ศรัทธาสาใจกาย
คงความหมายเกินค่ากว่าชีวี
ส่งใจข้ามขอบฟ้าห่วงหาเสมอ
หวังเพียงเธอคิดถึงผู้อยู่ที่นี่
ขอให้รอวันรุ่งของพรุ่งนี้
ฟ้าคงมีพรชัยให้กับเรา”
หลังจากนั้น ทุกคนจะกลับมาอาบน้ำ แบ่งกลุ่มไปทำความสะอาดหน่วยฝึก แล้วถึงจะได้กินอาหารเช้า
“ตอนแรกก็เดินแถวไปกินข้าว ต่อมาบางวันให้คลานไป ไม่รู้ว่าเพิ่มความลำบากหรืออะไร ก่อนจะเข้าไปนั่ง ต้องหันซ้ายหันขวาให้เป๊ะก่อน เข้ามาก็ต้องวางหมวก ต้องวางให้เบาที่สุด ห้ามมีเสียงแก๊งแม้แต่นิดเดียว ท่านั่งประจำคือ หนีบเข่าเท้าชิด นั่งครึ่งก้น แล้วท่องคำปฏิญาณ ถ้าท่องไม่ดังต้องท่องใหม่ แล้วรอสัญญาณให้กินจากครูฝึก”
“ข้าวทุกจาน อาหารทุกอย่าง
อย่ากินทิ้งขว้าง เป็นของมีค่า
ผู้คนอดอยาก มีมากนักหนา
สงสารบรรดา เด็กตาดำๆ”
“เราขอขอบคุณชาวนาทุกคนที่ปลูกข้าวให้ เราจะกินไม่เหลือแม้แต่เม็ดเดียว”
“วินัยคือหัวใจของทหาร”
ซ้ำ 3 รอบ
“การกินจะแบ่งเป็นกลุ่ม ค่อนข้างเร่ง ทุกคนจะยัดให้มากที่สุด ถ้ามีเสียงช้อนดังแก๊ง 3 ครั้ง ทุกคนต้องหยุดกิน บางครั้งไม่ได้กินต่อเลย ถ้าเสียงดัง อาหารทั้งหมดจะโดนเทรวม ด้วยความที่ฝึกหนักมา ยังไงก็ต้องกิน ถ้ากินแล้วไม่อิ่ม การขอเพิ่มจะเรียกว่า ‘รับอะไหล่’ กลุ่มต้องส่งตัวแทนมา แล้วพูดว่า ‘กระผม พลทหาร…ขออนุญาตรับอะไหล่ครับ’ บางวันก็รับได้เลย บางวันต้องท่องสิ่งที่เรียนมาก่อน เช่น M16 มีกี่เกลียว, ค่านิยม 12 ประการ, ชื่อผู้บังคับบัญชา ตั้งแต่นายกมาจนถึงผู้พันหัวหน้ากองพันเลย”
มื้ออาหารจะสิ้นสุดในไม่ถึงครึ่งชั่วโมง แล้วเดินแถวกลับมาเคารพธงชาติ ก่อนจะแบ่งกลุ่มเรียนวิชาต่างๆ ตามฐาน ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ วนกลุ่มไปเรื่อยๆ เมื่อถึงอาหารมื้อกลางวัน ทุกอย่างจะเหมือนเดิมอีกครั้ง นั่งอย่างเงียบ ท่องคำปฏิญาณเสียงดัง และกินอย่างเงียบ แล้วเดินแถวกลับมาเรียนรอบบ่าย ก่อนที่มื้อเย็นจะเป็นในแบบเดียวกัน
“ถ้าระหว่างมื้อมีเสียงดัง ครูฝึกจะมา ‘แดก’ ตอนออกจากโรงอาหารนี่แหละ ‘พวกมึงกินอาหารเสียงดัง 5 แก๊ง พุ่งหลังแก๊งละ 50 ยก ก็โดนไป ซึ่งบางครั้งไม่ใช่เพราะทหารใหม่เสียงดังด้วย ครูฝึกเดินมาแกล้งเตะเก้าอี้ให้เสียงดัง”
ตอนอยู่ข้างนอก ผมให้คุณค่ากับความถูก-ผิดที่หลากหลาย แต่ทหารมีความถูกต้องหนึ่งเดียว
-4-
อย่างที่บอกว่าโลกของทหารเกณฑ์มีหลายเหล่า หลายพื้นที่ หลายครูฝึก การเอาประสบการณ์ของรุ่นพี่มาเทียบเคียงจึงใช้การได้ไม่ทั้งหมด
“ผมเคยคุยกับเพื่อน บางหน่วยมีแค่สั่งทำโทษ แต่ไม่ถึงเนื้อถึงตัวเลย ขณะหน่วยผมค่อนข้างถึงเนื้อถึงตัว สิ่งที่ครูฝึกพูดเป็นประจำคือ ‘เดี๋ยวมึงโดนแดก!’ ซึ่งมีหลายเลเวล ตั้งแต่เอาสายยางรดน้ำต้นไม้ตัดสั้นฟาดก้น ไม้กวาด หยิบอะไรได้ก็เอา ถ้าทำโทษก็มีวิดพื้น สก็อตจั๊ม ที่บ่อยสุดคือพุ่งหลัง ช่วงแรกๆ โดน 50 ครั้งก็หนักแล้ว เวลาผ่านไปโดนเป็น 100 ครั้ง ผมเคยโดนมากสุด 500 ครั้ง มันคือการใช้พลังอำนาจ แสดงว่า ‘กูเอาอยู่!’ ผลผลิตที่เขาอยากได้คือความพร้อม ไม่ใช่ความครีเอทีฟ ไม่ใช่ความฉลาด แค่ทำตามให้ได้ก็พอ ซึ่งพอมาใช้กับโลกภายนอกที่หมุนเร็ว มันไม่เวิร์คหรอก”
คำว่า ‘โดนแดก’ คือการลงโทษเมื่อทหารเกณฑ์ปฏิบัติไม่ถูกต้อง (ตามนิยามของทหาร) ตอบคำถามผิด ฝึกผิดขั้นตอน ไปจนถึงอยู่ดีๆ ก็โดนแบบไร้เหตุผล มีทั้งโดนแบบเดี่ยวและแบบกลุ่ม
“หนักที่สุดที่เคยโดนคืออะไร” ผมถาม
“โดนตบ” เขาพูดขึ้นหลังเงียบไปสักพัก “สัปดาห์แรกเลย ตอนนั้นทุกคนนั่งรวมกัน แบ่งเป็นสองกลุ่ม ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำ แล้วพอกลับมานั่ง ผมดันไปนั่งผิดกลุ่ม พอมีการนับจำนวน คนขาด ครูฝึกถามว่า ‘ใครเข้าแถวผิด!’ ผมเลยแสดงตัว หน้าครูฝึกโกรธเหี้ยๆ โดนแน่นอน ผมเดินไปหา ครูฝึกพูดเสียงดัง ‘ถอดแว่น!’ เขาเอาแฟ้มในมือฟาดหน้าอย่างแรง ผมหน้าหันเลย”
เป็นการถูกลงไม้ลงมือครั้งแรกในชีวิต แต่เนื่องจากเคยเห็นคน ‘โดนแดก’ มาบ้าง เคยผ่านโมเมนต์ว่า ‘กูมาทำอะไรตรงนี้วะ ข้างนอกได้รับการยอมรับ ทำไมความเป็นมนุษย์ต่ำขนาดนี้’ พอมาโดนกับตัวเองเลยไม่เดือดดาลทันที “อย่างแรกผมทำผิดจริง จะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ก็ตาม ถ้าพลทหารหายไป ครูคนนั้นโดนนะ อาจส่งผลต่ออาชีพเลย นอกจากความเจ็บบนใบหน้า ผมรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยในใจครูฝึก
“ไม่มีความคิดอยากสวนกลับนะ จังหวะที่ทหารใหม่โดนแดก แค่เงยหน้าไปมองตา ก็มีโอกาสโดนซ้ำแล้ว มันเคยเกิดขึ้นด้วยนะ เวลาใครพยายามจะอธิบาย ครูฝึกมักพูดว่า ‘มึงชี้แจงเหรอ!’ ทางเดียวคือเราต้องยอม ครูฝึกพูดอะไรมา เราจะเงียบ อธิบายไม่ได้หรอก รูปประโยคถูกทำให้สั้น บอกแค่เหตุผล แล้วรับกรรมไปเลย
“ตอนอยู่ข้างนอก ผมให้คุณค่ากับความถูก-ผิดที่หลากหลาย แต่ทหารมีความถูกต้องหนึ่งเดียว กินข้าวแบบนี้ พูดแบบนี้ สูงต่ำแบบนี้ นอกเหนือจากภาพจำ คือผิด ถ้าผิดจะโดนลงโทษ ทำให้กลัว มันได้ผลในกลุ่มเล็กในระยะสั้น แต่พอทหารไปบริหารในสเกลประเทศ ใช้มายเซ็ตแบบนี้ อะไรไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดว่าควรเป็น คือผิด สิ่งที่ทำไม่ใช่การประนีประนอม แต่คือการลงโทษ คิดว่าคนนั้นจะกลัว แต่วิธีนั้นไม่เวิร์คกับโลกข้างนอก เขาใช้ความกลัวกดคนไม่ได้ตลอดหรอก
“คุณกำลังผลิตคนเป็นแสนที่ไม่ตั้งคำถาม ยินยอมกับระบบ สร้างลำดับชั้นที่ไม่ได้วัดจากความสามารถ วินัยของทหารคือการเอาทุกคนมาอยู่บนเส้นเดียวกัน ตื่นเช้าได้ ปูเตียงได้ ซักผ้าได้ โอเค เหล่านี้คือพาร์ทที่ดีขึ้น แต่มันมีพาร์ทที่กดลงเต็มไปหมด”
คำว่าถูก-ผิดค่อยๆ สลายหายไป เหลือเพียงว่า วันนี้จะโดนแดกไหม วันนี้จะรอดหรือเปล่า
“บางวันยืนเฉยๆ ยังมีคนโดน หาว่ามองหน้าเหรอ เล็บยาว หนวดยาว กระดุมลืมติด โดนได้ทุกอย่าง สิ่งที่รู้สึกระหว่างทางตลอด คือการถูกลดทอนความเป็นมนุษย์ไปเรื่อยๆ เราไม่มีสิทธิในร่างกายตัวเองเลย
“ครูฝึกเคยสั่งให้หมอบตอนอาบน้ำ สั่งให้เอาหน้าไปแนบตูดเพื่อน หรือให้ตั้งแถวตอนเรียงหนึ่ง แล้วจับไข่เพื่อน เดินวนรอบห้องน้ำ บางทีก็ดึงผ้าขนหนูไปซ่อน ดึงชุดไปโยนไว้ไกลๆ ไม่มีคำอธิบายว่าทำไปทำไม เพราะไม่มีใครกล้าตั้งคำถาม โอเค มันคงมีเรื่องต้องแอ็คทีฟตลอดเวลา ต้องเชื่อฟังผู้บังคับบัญชา แต่ระหว่างทางทำแล้วมันส์ไง กลายเป็นความบันเทิงของครูฝึก แล้วเหมือนอยู่ในร่องรอยการฝึกด้วยนะ แต่ผมมองว่านี่ไม่เกี่ยวกับการฝึกแน่ๆ ไม่เกี่ยวกับวินัยของทหารแล้ว เป็นความมันส์ของมึงแล้ว!”
“เจอแบบนั้นบ่อยๆ คุณทำยังไง” ผมสงสัย
“โกรธ” เขาตอบ เงียบนาน “แต่ทำอะไรไม่ได้”
พออยู่ไปนานๆ เราไม่ทันได้สังเกตว่าตัวเองเปลี่ยนยังไงหรอก เห็นแค่ว่ากินเก่งขึ้น แต่ละวันคือการเอาตัวรอด
-5-
เมื่อทุกๆ การเรียนและการฝึก ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ มีปลายทางคือการสอบวัดผล ทหารเกณฑ์ทุกคนจึงต้องท่องจำและฝึกฝนอย่างเต็มที่ ยิ่งไปกว่านั้น คำว่า ‘ผ่าน’ ไม่ได้เกิดจากการที่ทุกคนตั้งใจทำให้เต็มที่แล้วนำคะแนนมาหาค่าเฉลี่ย แต่การสอบมีลักษณะสุ่มข้อ-สุ่มคน โดยทุกคนมีโอกาสตอบเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ความกดดันจึงมากกว่าที่คุ้นเคย
“เรียนหลายวิชามาก เช่น ความรู้ทั่วไป ความรู้ทางการทหาร การปฐมพยาบาล แผนที่ เครื่องมือสื่อสาร ยิงปืน ฯลฯ การสอบมีทั้งตอบด้วยความรู้และการปฏิบัติ คนสอบจะติดเบอร์เหมือนนักกีฬา รอครูฝึกเรียก ‘ข้อแรก เบอร์สอง’ เบอร์สองก็วิ่งออกมา ‘กระผม พลทหาร…ตอบว่า…ครับ’ ทุกคนมีโอกาสครั้งเดียว โดยไม่รู้ล่วงหน้าว่าจะสุ่มไปตอบวิชาอะไร แล้วจะโดนข้อไหน การสอบเกิดขึ้นช่วงท้ายของเดือนที่สาม ทั้งหมดเกิดขึ้นในวันเดียวประมาณสี่ห้ารอบ”
“มีการขู่อยู่ตลอด ‘ถ้าตกต้องอยู่ต่อนะ!’ แต่ผมว่าไม่มีหรอก ถ้ารุ่นนี้ตก ปีหน้าก็มาคอยแล้วไง ครูฝึกคงขู่เฉยๆ”
“อยู่ไปสักพัก ความเอาตัวรอดมากขึ้นเรื่อยๆ ในหัวคือ ใครโดนก็ได้ แค่ไม่เป็นกูก็พอ เช่น พอข้าววางตรงหน้า ทำยังไงก็ได้ให้ท้องอิ่มที่สุด ถ้าอยู่ข้างนอกเราจะคิดเรื่องแบ่งปันกัน หรืออย่างการสอบ ผมคิดแค่เอาตัวเองให้รอด ไม่คิดเรื่องติวให้คนอื่นเลย สิ่งที่เจอค่อยๆ เปลี่ยนให้เราคิดว่า กูต้องรอด กูต้องไม่โดนแดก เพราะในทุกๆ แอ็คชั่นโดนได้หมด ขี้ช้าก็โดน เยี่ยวช้าก็โดน
“พออยู่ไปนานๆ เราไม่ทันได้สังเกตว่าตัวเองเปลี่ยนยังไงหรอก เห็นแค่ว่ากินเก่งขึ้น แต่ละวันคือการเอาตัวรอด ก่อนไปสอบวัดผล ทุกคนจะมีชีทข้อสอบเก่า ทหารมีหน้าที่อะไร ระบอบการปกครอง ค่านิยม 12 ประการ ฯลฯ เราเป็นเด็กจบปริญญามา การจำไม่ใช่เรื่องยาก ผมจดสูตรการจำเต็มไปหมด ใกล้วันสอบ เหมือนทุกวันมีอาบน้ำเสร็จแล้วมารวมที่ลานปูน ผมนั่งอ่านอยู่ เพื่อนคนนึงพูดขึ้นว่า ‘กูว่าแยกกันอ่านไม่รอดว่ะ ต้องให้ใครสักคนติว’ วินาทีนั้น ผมมองชีทในมือเป็นก้อนความเห็นแก่ตัว เราตอบได้อยู่แล้ว ท่องซ้ำก็เพื่อเมคชัวร์ว่าตัวเองจะรอด แต่ตรงนั้นยังมีเพื่อนที่จำไม่ค่อยได้ ไปจนถึงบางคนที่อ่านหนังสือไม่ออกด้วยซ้ำ
“ตอนนั้นผมแค่พูดถามตอบให้เพื่อนที่สนิทกัน ไม่คิดว่าจะติวให้ใครเลย คำพูดของเพื่อนคนนั้นทำให้รู้ตัว แต่ผมเป็นแบบนั้นจนใกล้จะจบแล้ว ผมวิ่งไปถามครูฝึก ‘แบบนี้ดีไหม ให้เพื่อนจบปริญญาช่วยกันติว’ ปรากฏว่าคำตอบเป็นประโยคเดิมๆ ที่เจอบ่อยๆ ‘มึงอย่าแหลมเลย เอาตัวเองให้รอดก็พอ’ ครูคนนั้นไม่ได้เกลียดผมนะ แค่บอกให้ว่า ‘มึงรอดอยู่แล้ว อยู่เงียบๆ ไปเถอะ’
“ผมรู้สึกถึงความต่ำต้อยไร้พลัง ทั้งของผมและของครูฝึก ครูบอกว่า ‘เคยอยากทำแบบมึงนะ แต่อย่าเลย ไม่มีประโยชน์หรอก’ ทุกคนอยู่กับคุ้นชิน ที่ผ่านมาเป็นแบบนี้ ทำแบบนี้แล้วรอด เซฟสุด การลองออกไปทางอื่น มันไม่รู้ความเป็นไปได้ มันแค่เท่าตัวกับโดน แล้วครูฝึกเองก็ไม่ใช่ผู้มีอำนาจสูงสุด”
ครบ 3 เดือน การฝึกหนักสิ้นสุดลง บางคนยังเหลืออีกปีครึ่ง บางคนอีกครึ่งปี ขณะที่เขาเหลือเพียงสามเดือน ทหารเกณฑ์จำนวนหนึ่งพาตัวเองไปประจำบ้านนายทหารยศสูง แล้วใช้ชีวิตอยู่กับการเป็นคนรับใช้ ขณะที่บางคนก็อยู่ประจำหน่วยต่างๆ จนครบกำหนด
“ความพีคคือสามเดือนแรก การตัดหญ้าหรือขัดส้วมในสามเดือนที่เหลือ เทียบไม่ได้กับการโดนตบ โดนพุ่งหลัง 500 ครั้ง ชีวิตเราจะเจออะไรก็ได้ แค่ไม่ตายก็พอ”
บ้านเราผูกคำว่า ‘ทหาร’ กับ ‘การรับใช้ชาติ’ ไว้เยอะมาก แต่พอเข้าไป ผมว่าสิ่งที่ตัวเองทำไม่ได้ช่วยอะไร
-6-
“ก่อนเข้าไป คุณนิยามคำว่า ‘รับใช้ชาติ’ หรือ ‘รักชาติ’ ไว้ยังไง” ผมถามอดีตทหารเกณฑ์ตรงหน้า
“ผมมองว่าชาติคือสังคม ถ้าตอบคำถาม มันคือการทำเพื่อสังคม เบื้องต้นก็เสียภาษีครบถ้วน งานจิตอาสา ทำตามกฎหมาย มากกว่านั้นก็ใช้ความสามารถมาแก้ปัญหาสังคม ไม่ไปซ้ำเติมปัญหาที่มีอยู่ ผมจะไม่ยัดเงินให้ตำรวจ จะไม่ใช้วิธีจ่ายเงินใต้โต๊ะ ตอนนี้ยังไม่เคย แต่อนาคตผมไม่รู้ว่ะ (หัวเราะ) ทำเรื่องนี้ในประเทศนี้ ยากเหลือเกิน
“บ้านเราผูกคำว่า ‘ทหาร’ กับ ‘การรับใช้ชาติ’ ไว้เยอะมาก แต่พอเข้าไป ผมว่าสิ่งที่ตัวเองทำไม่ได้ช่วยอะไร การตัดหญ้า ขัดส้วม แค่ทำให้หน่วยฝึกสะอาด แต่งตัวเนี้ยบแค่ทำให้ภาพลักษณ์กองทัพดูดี มันแค่ทำเพื่อสถาบันทหาร มันเพื่อกลุ่มคน ไม่ได้เพื่อสังคม”
ศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยให้สัมภาษณ์กับ The MATTER ไว้ว่า “เวลาเรียนรัฐศาสตร์ ผมพูดกับลูกศิษย์เสมอว่า วิชารัฐศาสตร์ไม่มีคำว่า ชาติ หรือ Nation อย่าตกใจนะครับ วิชารัฐศาสตร์มีแต่คำว่า State หรือ รัฐ ถ้าพูดในความหมายว่า การรับใช้รัฐ ในความเป็นพลเมือง เรามีสถานะผูกพันกับรัฐ มีสถานะต้องรับใช้รัฐ นี่แหละพื้นฐานของกฎหมายเกณฑ์ทหาร การรับใช้รัฐคือการไปรบให้รัฐ ตอบเรื่องเดิมเลย แต่ประกาศในยุคนโปเลียน เขาไม่ได้เรียกร้องทุกคนไปรบ ผู้หญิงก็มีหน้าที่รับใช้ชาติ เช่น วันที่ขบวนทหารไปรบ ผู้หญิงต้องออกมาที่จตุรัสแล้วเชียร์ ย้อนกลับไป คำว่ารับใช้รัฐ มันไม่ได้แปลว่าต้องเป็นทหารอย่างเดียว แต่วาทกรรมในอดีตที่เล่ามา มันติดสืบเนื่องกันมา จนดูเหมือนคำว่ารับใช้รัฐ มีมิติเดียวคือการเป็นทหาร
โลกสมัยใหม่ สังคมไม่ได้อยู่ได้ด้วยอาชีพเดียว ความซับซ้อนของสังคมเหมือนเป็นนาฬิกาที่มีฟันเฟืองหลายอันซ้อนอยู่ ฟันเฟืองตัวเดียวหมุนนาฬิกาไม่ได้ ทุกอาชีพมีหน้าที่รับใช้รัฐและสร้างรัฐด้วยกันทั้งหมด ทุกอาชีพคือหนึ่งฟันเฟืองในนาฬิกาที่ต้องหมุนไปด้วยกัน”
“ในนั้นพูดถึงคำว่า ‘รับใช้ชาติ’ หรือ ‘รักชาติ’ ไว้ยังไง” ผมรอคำตอบจากประสบการณ์ตรงของเขา
“มักมากับคำว่า ‘เสียสละ’ ทุกคนเสียสละเวลามาเป็นทหาร เสียสละการอยู่ใกล้ครอบครัวมา นั่นคือภาพที่สร้างขึ้นมา แต่ทุกคนก็รู้ ตอนได้ใบแดงเข่าอ่อนหมด ถ้ามันน่าภูมิใจนักก็ต้องมีคนยืดอกมาสมัครเลยสิ ผมไม่เคยเห็นใครเลย รุ่นเดียวกัน เกือบทุกคนเข้ามาด้วยจำใจ ไม่มีใครอยากสูญเสียอิสรภาพหรอก หรือต่อให้ทหารอาชีพ ส่วนใหญ่ก็มองเรื่องอาชีพมั่นคง
“สามเดือนฝึกให้คนไปฆ่าคนไม่ได้หรอก ถ้าเอาไปเป็นทหารเลว เป็นเบี้ย ก็คงยืนได้หมอบได้ ยิงๆ ไป ไม่หันกระบอกปืนหาผู้บังคับบัญชา อันนั้นทำได้ แต่มันไม่ได้ฟังก์ชั่นขนาดนั้น ทหารเกณฑ์เอาไว้ให้ตายก่อนอยู่แล้ว คนไปรบต้องฝึกหนักกว่านี้ เพื่อให้พร้อมจริงๆ ค่าตอบแทนสูงๆ เป็นค่าความเสี่ยงไปเลย”
“ที่ยอดทหารเกณฑ์เพิ่มขึ้นทุกปี ทั้งที่ประเทศไม่ได้มีสงคราม มาจากขันทุกใบ สบู่ทุกก้อน เสื้อทุกตัว ค่าน้ำค่าไฟ มันมีส่วนต่าง เปรียบเทียบคือ ผมเป็นหนึ่งในส่วนต่างให้บริษัทนี้ สิ่งที่เขาเคลมว่าให้บริการ คือความมั่นคงของคนในประเทศ พอเขาตีความความมั่นคงแบบนี้ สิ่งที่ทำเพื่อซัพพอร์ทความมั่นคงนี้ คือ หน่วยทหารตามจุดต่างๆ โอเค บริษัทนี้คงต้องมีอยู่แหละ แต่จะอยู่อย่างยั่งยืนยังไง ต้องปรับบริบทหน้าที่ ไม่ใช่มีกองทัพเยอะๆ เช็ดถูตัดหญ้ากันไป แต่ควรมาช่วยสังคมในบริบทอื่นมากขึ้น
“ทหารจะด่านักการเมืองให้ฟังบ่อย ทหารส่วนใหญ่จะเกลียดมาก พอพูดถึงนักการเมือง ทหารที่ดูเรียบเรียบที่สุดจะเปลี่ยนเป็นก้าวร้าวทันที ‘นักการเมืองมันเลว พวกเราถึงต้องเข้ามาไง’ เหมือนในสื่อตอนนี้เลย ใช้คำว่านักการเมือง นักธุรกิจ มันเลว เรามาเพื่อช่วยประชาชน แต่ผมรู้สึกว่าเขากำลังทำเพื่อองค์กร ทำเพื่อกลุ่มคนมากกว่า ไม่ใช่ประชาชน ผมแทบไม่ได้ยินคำว่าทหารของประชาชนเลย ”
ตอนนี้คนในสังคมเกลียดทหารเยอะ แต่ยังไงประเทศก็ต้องมีทหารอยู่ อยากให้ทุกคนทำความเข้าใจ ที่เลว ไม่ได้เลวในปัจเจก
-7-
ต่อคำถามว่าทหารมีไว้ทำไม ศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข เคยตอบไว้ว่า “ทหารมีไว้เพื่อป้องกันประเทศ ไม่ว่าชอบหรือไม่ ไม่ว่ามีจุดยืนอย่างไร คำตอบนี้ตรงไปตรงมา ไม่ว่าประเทศจะอยู่ระบบการเมืองอย่างไร เรายังต้องมีกองทัพ ถ้าพูดด้วยภาษาทฤษฎี ระบอบประชาธิปไตยสมัยใหม่ หรือ Modern Democracy ไม่ได้ปฏิเสธการดำรงอยู่ของกองทัพ แต่โจทย์ใหญ่คือ เราจะจัดความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพกับประชาธิปไตย หรือระหว่างกองทัพกับการเมืองในโลกสมัยใหม่อย่างไรต่างหาก”
จะชอบหรือไม่ก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่าทหารมี ‘ฟังก์ชั่น’ บางอย่างในฐานะหน่วยหนึ่งของประเทศอยู่จริง
ในฐานะศิษย์เก่า ผมชวนเขาจินตนาการถึง ‘การเกณฑ์ทหาร’ ที่ดีกว่าเดิม (ในสายตาเขา) ปิดท้ายการสนทนา
“การกดดันให้มีระเบียบเป๊ะๆ ถ้ามองฟังก์ชั่นของการไปรบ ส่วนนั้นคงเก็บไว้ แต่ควรตัดเรื่องการใช้กำลัง ถึงเนื้อถึงตัวออกไป การกดดันผ่านการออกกำลังกาย ผมว่าโอเค และพาร์ทที่เสริมไปได้ เช่น Design Thinking วิธีการมองจากปัญหาจริงๆ หรืออีกอันที่อยากให้มีมาก คือการให้ฟีดแบค ชี้แจง มันมีวิธีที่พูดให้หัวหน้าไม่เสียหน้าอยู่แล้ว ผู้ใต้บังคับบัญชาอาจบอกว่า ‘ชอบส่วนนี้มากเลยครับ แต่ยังเสริมได้แบบนั้นแบบนี้’
ประยุทธ์ถูกกรองฟีดแบคจากลูกน้องตลอดเวลา จนเขาคิดว่าตัวเองเก่งที่สุดในโลก นึกดูนะ ถ้ามีรูรั่วของกำแพง แต่ลูกน้องไม่กล้ารายงาน ศัตรูจะบุกเมื่อไรก็ได้ คุณไม่เอื้อให้ลูกน้องพูดความจริง เช่นกัน เศรษฐกิจทุกวันนี้ไม่ดี ผมไม่รู้ว่าประยุทธ์เชื่อยังไง ไม่มากก็น้อย ลูกน้องก็กรองข่าวไม่ดีออกไป แล้วเขาก็แก้ปัญหาไม่ได้ ผมเชื่อว่าถ้าตั้งต้นด้วยฟีดแบคที่ดี เรื่องอื่นๆ จะตามมา
ตอนนี้คนในสังคมเกลียดทหารเยอะ แต่ยังไงประเทศก็ต้องมีทหารอยู่ อยากให้ทุกคนทำความเข้าใจ ที่เลว ไม่ได้เลวในปัจเจก ประยุทธ์ไม่ใช่ทหารที่เลวที่สุดในโลกหรอก เขาคงมีความตั้งใจในแบบของเขา เราควรมองทหารเป็นระบบ เราทุกคนจะมีวิธีทำให้ระบบนี้ดีขึ้นได้ยังไงบ้าง
สุดท้ายระบบนี้ หรือเรียกว่าบริษัทนี้ มันส่งผลต่อทุกคนในประเทศมากจริงๆ เราหนีเขาไม่ได้ กันเขาออกไม่ได้ ทำลายก็ไม่ได้ สุดท้ายต้องหาวิธีทำงานด้วยกันให้ค่อยๆ ดีขึ้น ค่อยๆ เปิดกว้างขึ้น ค่อยๆ ปรับตัวกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป ถ้าไม่มีคนข้างนอกคอยสะท้อน เขาไม่มีทางหมุนตามโลกได้ทันหรอก”
อ่านบทความ “กองทัพขนาดใหญ่ไม่ใช่คำตอบของสถานการณ์ความมั่นคงในอนาคต” ศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข ได้ที่ https://thematter.co/pulse/big-army-interview/22354