งานใหม่ ชีวิตใหม่ แต่ทำไมถึงรู้สึกโดดเดี่ยวสุดๆ วันแรกก็ดีอยู่หรอกที่มีคนชวนไปกินข้าว แต่ 1 เดือนผ่านไปแล้วยังไม่สนิทกับใครเลย ทุกคนดูมีกลุ่มมีก้อนกันหมดแล้วด้วย จะทำยังไงดี
ก็การทำงานมันน่าเบื่อนี่นา ถ้าเรามีเพื่อนสักคนเหมือนสมัยเรียน เพื่อนที่คุยเฮฮากันได้ทุกวัน เพื่อนที่เอาของใหม่มาอวดกันได้ตลอด เพื่อนที่ชวนไปกินข้าวกันตอนเย็นได้ก็คงดี การทำงานคงสนุกกว่านี้เยอะเลย จากที่เคยรู้สึกว่าสัปดาห์หนึ่งกว่าจะผ่านไปมันนานจังเลย พอมีเพื่อนสักแก๊ง เวลาก็เดินเร็วจนงงว่าวันศุกร์แล้วเหรอเนี่ย
เรานั่งข้างกัน แต่ใจเราไม่เคยได้ใกล้กันสักนิด
จากการสำรวจของ Gallup คนเราใช้เวลาอยู่ด้วยกันกับเพื่อนที่ทำงานถึงปีละ 2,000 ชั่วโมง แต่การใช้เวลาร่วมกันขนาดนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะสนิทกันเสียหน่อย เรานั่งทำงานข้างกัน เราไปกินข้าวด้วยกัน แต่เราไม่เคยได้มีบทสนทนาที่มากไปกว่าเรื่องอะไรกำลังเป็นประเด็นร้อนแรงในโลกอินเทอร์เน็ตเลย (และบางครั้งเราก็ไม่รู้เรื่องเลยด้วยซ้ำว่ามีอะไรแบบนั้นเกิดขึ้นด้วยเหรอ) เราไม่เคยรู้จักชีวิตส่วนตัวของพวกเขาเลยว่าชอบกินอะไร ชอบไปเที่ยวที่ไหน หรือสนใจเรื่องอะไร
ยิ่งเราเป็นน้องใหม่ในที่ทำงานที่ทุกคนสนิทกันหมดแล้ว ยิ่งเป็นเรื่องยากที่จะแทรกตัวเองเข้าไปอยู่ในกลุ่มไหนสักกลุ่ม ไม่รู้ว่าจะมีที่ยืนให้เราหรือเปล่า เราสนใจเรื่องเดียวกันไหมนะ ถ้าเราเล่าเรื่องนี้จะดูแปลกมั้ยเนี่ย แล้วบางคนก็ไม่ชอบการคุยเรื่อยเปื่อยหรือเปล่า แค่คิด ระดับความเครียดในใจก็พุ่งสูงปรี๊ด
หลายคนเลยจบที่การทำอะไรก็ได้เพื่อให้เข้าสังคมได้ทั้งที่ไม่ได้รู้สึกสบายใจ เราไปกินข้าวกับเพื่อนกลุ่มนี้ และนั่งฟังเขาเมาท์มอยเรื่องคอนเสิร์ตของวงดนตรีที่เราไม่รู้จัก หรือเรายอมร่วมสั่งชานมไข่มุกด้วยทั้งที่เราไม่ได้ชอบกินมันสักนิด เพื่อจะมีโอกาสได้เข้าไปอยู่ในกลุ่มก้อนนั้นได้เสียที
ไม่ต้องมีหมอดู เราก็ทำนายอนาคตของตัวเองไปก่อนแล้ว
การมาเริ่มทำงานในสิ่งแวดล้อมใหม่ทำให้เรารู้สึกว่าทุกอย่างไม่แน่นอนเอาเสียเลย ซึ่งสภาวะแบบนี้เป็นสิ่งที่สมองเราเองก็ไม่ชอบเหมือนกัน เพราะมีงานวิจัยที่ชี้ว่าสมองของเราจะพยายามประมวลผลและทำนายอนาคตล่วงหน้าอยู่ตลอดเวลา เมื่อมีข้อมูลไม่มากพอ เราจึงรู้สึกขาดความมั่นใจจนทำอะไรไม่ถูก เครียดไปหมดเวลาที่คนมาคุยด้วย ไม่เป็นธรรมชาติอย่างแรง
เมื่อเรารู้สึกเครียด เราจะตีตัวออกห่างอะไรก็ตามที่คิดว่า ‘จะเป็นภัยในภายภาคหน้า’ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงรู้สึก‘ไม่ถูกชะตา’ กับใครบางคนในที่ทำงานในช่วงที่เราเข้ามาเป็นน้องใหม่ ทั้งที่เราเองก็ยังไม่ได้รู้จักกับเขามากพอจะตัดสินด้วยซ้ำ ก็เลยเกิดเป็นเหตุการณ์ “เราขอโทษนะ ตอนนั้นเราคิดว่าแกหน้าหยิ่งมาก ก็เลยไม่อยากคุยด้วย แต่ตอนนี้เราสนิทกันแล้วเนอะ” ในภายหลัง
และอีกหนึ่งสิ่งที่เราจะทำเมื่อเครียดคือการโทษการกระทำตัวเองไว้ก่อนเลย ที่เรายังไม่มีเพื่อนเพราะเราไม่ยอมไปกินข้าวกับแก๊งนั้นใช่มั้ย แล้วที่เมื่อกี้มีคนเอาช็อกโกแลตมาให้ เราปฏิเสธไปเพราะไม่ชอบกิน เขาต้องคิดว่าเราเป็นพวกมนุษยสัมพันธ์แย่แน่เลย เราทำนายไปก่อนแล้วว่ามันจะต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ และโทษตัวเองกับทุกเรื่องที่เกิดขึ้น เราเลยเชื่อฝังหัวไปแล้วว่าคนอื่นเขาสนิทกันหมดแล้ว มันต้องไม่มีที่ว่างสำหรับเราแน่
อย่าเพิ่งท้อใจ แค่รอเวลา
ความจริงก็ไม่ใช่แบบนั้นเสมอไปหรอก ในเมื่อเหตุการณ์ขอโทษขอโพยเรื่องในอดีตที่เคยมองกันผิดไปมันเกิดขึ้นบ่อยขนาดนี้ เรื่องหนึ่งที่เราทำได้เมื่อมาเป็นน้องใหม่ในที่ทำงานคือการถอดฟีลเตอร์ ‘ความกลัว’ ออกไปก่อน หนึ่งคือเรากลัวว่าเราจะดูแปลกแยกแล้ว สองคือการที่เพื่อนคนอื่นอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่มก้อนยิ่งทวีความน่ากลัวเข้าไปใหญ่ แต่ถ้าเรากล้าที่จะคุยกับคนอื่นให้มากขึ้น แต่จะต้องเป็นเรื่องที่เราสนใจจริงๆ จะได้คุยกันได้อย่างเป็นธรรมชาติและสามารถสร้างมิตรภาพที่ยืนยาวได้
และอีกอย่างที่ต้องใช้คือ ‘เวลา’ การที่เราเข้าร่วมกลุ่มหรือเป็นเพื่อนกับใครสักคนได้ เราต้องใช้เวลาร่วมกันอย่างมีคุณภาพ หรือบางครั้งอาจจะต้องเกิดสปาร์กอะไรในใจขึ้นก่อนก็ได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่สามารถเกิดได้ทุกวัน ดังนั้นการเข้ามาเป็นน้องใหม่ในที่ทำงานที่ทุกคนสนิทกันหมดแล้วต้องรอให้เหตุการณ์พิเศษอะไรบางอย่างเกิดขึ้นก่อน แล้วเราอาจจะได้เจอเพื่อนที่สามารถสนิทกันไปได้ตลอดชีวิตเลย
“พูดก็ง่ายสิ!” หลายคนอาจจะกำลังคิดว่ามันทำได้ที่ไหนกัน กับการไม่กลัวคนอื่นและพยายามคุยกับเขาเนี่ย เราบอกก่อนเลยว่าไม่ต้องกลัวว่าเราจะดูแปลก หรือไม่ค่อยมีเรื่องอะไรคุย การหาเพื่อนก็เหมือนการหารองเท้าที่จะไม่กัดเรานั่นแหละ เราต้องลองสวมมันเข้าไป ลองเดินในรองเท้าคู่นั้นจนกว่าจะได้รู้ว่ามันไม่กัดเราจริงๆ ถ้าวันไหนที่เราคุยกันไปแล้วรู้สึกว่าไม่คลิกกันอีกต่อไปก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องเสียใจหรอก อย่าลืมว่าการเป็นเพื่อนกับใครสักคนจะต้องไม่รู้สึกเหนื่อยเกินไป พยายามมากเกินไป เราจะเหนื่อยเปล่าๆ
การหาเพื่อนสักคนมันยาก ชีวิตทุกวันนี้ก็เหนื่อยพอแล้วนะ แล้วถ้าอยากจะพอแล้ว ไม่ต้องมีเพื่อนเลยจะได้ไหม แชนนอน การ์เซีย (Shannon Garcia) นักจิตบำบัดได้ให้ความคิดเห็นกับเรื่องนี้เอาไว้ว่าเพื่อนที่ทำงานก็เป็นหัวข้อหนึ่งที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในหมู่ผู้มาเข้ารับการบำบัด เธอสรุปเอาไว้ว่าการทำงานจากที่บ้านหรือแบบไฮบริดที่เข้าออฟฟิศเพียงไม่กี่วันนั้นสร้างระยะห่างระหว่างกันได้จริง เมื่อเราไม่ได้เจอหน้ากับคนที่ทำงาน ก็เป็นการยากที่จะเป็นเพื่อนกับพวกเขา ซึ่งเราต้องใช้ความพยายามมากกว่าปกติในการเป็นเพื่อนกับใครสักคน แต่ถ้าเราไม่ได้อยากพยายามขนาดนั้นก็ไม่ใช่เรื่องผิด
ขอให้ทุกคนได้เจอคนที่อยากเข้าออฟฟิศไปหัวเราะด้วยกันในทุกวันนะ อาจจะใช้เวลาหน่อย แต่คนคนนั้นมีอยู่จริงแน่นอน
อ้างอิงจาก