“มันหมดยุคโพสต์การเมืองแล้วแบรนด์จะไม่จ้างแล้ว ผมว่าแบรนด์ต่างๆ ฉลาดพอที่จะมองเห็นในระยะยาวว่ายุคต่อไปอันรุ่งเรืองประชาชนจะชนะ”
ท่อนหนึ่งในสเตตัสของเพจที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขันอย่าง ‘บ้านกูเอง’ ที่มักเล่าเรื่องด้วยภาพต่างๆ เรียกเสียงหัวเราะให้กับผู้ติดตามกว่า 1 ล้านคนอยู่เสมอ
แต่ในวันที่สภาพสังคมมีแต่ข่าวความทุกข์ระทมและโกรธแค้นของประชาชน บ้านกูเองได้ออกมาโพสต์สเตตัสเชิญชวนให้เหล่าคอนเทนต์ครีเอเตอร์ออกมาเป็นกระบอกเสียงสะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้น
“วิธีแก้ปัญหาของคอนเทนต์ครีเอเตอร์ในระยะสั้นมันอาจแค่โพสอะไรที่หลีกเลี่ยงการเมือง แต่จะเลี่ยงไปถึงเมื่อไร? สู้ให้มันจบไปเลย แล้วตอนนั้นคุณก็จะสร้างคอนเทนต์สนุกๆ ได้อย่างสบายใจพร้อมฐานแฟนที่เค้าเชื่อในเสียงของคุณ”
The MATTER พูดคุยกับ นอท-สัณหณัฐ ทิราชีพ แอดมินเพจ บ้านกูเอง ถึงประเด็นที่คนดังออกมาสะท้อนปัญหาต่างๆ ในสังคม และรับฟังว่า ในยุคที่ปัญหาทั้งหลาย ไม่อาจถูกนิ่งเฉยได้อีกต่อไป แล้วการไม่พูดเรื่องการเมืองส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง
สมมติคนที่ฟังหรือคนที่ดูอยู่อาจจะไม่รู้จัก ‘เพจบ้านกูเอง’ อยากให้เล่าหน่อยว่าเพจบ้านกูเองคืออะไร มีธีมประมาณไหน
คอนเทนต์ส่วนใหญ่ของ ‘เพจบ้านกูเอง’ จะเป็นโฟโต้อัลบั้ม โดยเล่าเรื่องเป็นรูปๆ เหมือนการอ่านมังงะญี่ปุ่น นำเสนอผ่านมุมมองของผม อาจจะเป็นการตั้งคำถามหรือโชว์แง่มุมต่างๆ ที่เราเจอปัญหาๆ หนึ่ง แล้วเราจะพลิกแพลงสถานการณ์ยังไง เราไม่ทำแบบเดิมได้ไหม เราทำแบบใหม่ๆ ได้ไหม
แต่ว่าหลังๆ มานี้ก็จะมีพวกคลิปวิดีโอโผล่ๆ มาบ้างละ กำลังเขียนๆ อยู่ คลิปวิดีโอมันจะเป็นการตั้งคีย์บางอย่าง แล้วเอาหลากหลายเพศมาตอบในมุมมองเดียวกัน เช่น ครูบ้งๆ ในวัยเรียน ตามประสบการณ์ของผู้ชาย ผู้หญิง ของ LGBTQ+ เคยเจอครูสมัยเด็กแบบไหนมาบ้าง แล้วทำไมเขาเป็นอย่างนั้น หรือในประเด็นต่างๆ อย่างวันนี้อาจจะมีลงเรื่อง เคยโดนทัวร์ลง ก็พูดในมุมมองของหลายๆ เพศเหมือนกันว่าเคยโดนอะไรมาบ้าง
คอนเทนต์ที่ทำส่วนใหญ่จะค่อนข้างตลก แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันที่มีข่าวชวนหดหู่อยู่ตลอดแบบนี้ มีส่วนกับไอเดียหรืออารมณ์ขันที่เราใช้ทำคอนเทนต์มากแค่ไหน
หมายถึงสถานการณ์ในตอนนี้เนอะ ผมว่ามันมีส่วนนะ เพราะเอาแค่เรื่องง่ายๆ อย่างเพจผมเล่าเรื่องเป็นภาพ แล้วบริบทหรือกรอบสังคม ณ ปัจจุบันเขาต้องใส่แมสก์ อะ.. ฉิบหายแล้วนะ คือเล่าเรื่องไม่ได้เลย คือมันเป็นตัวละครที่ต้องมีคำพูด แต่มันปิดหน้าไปครึ่งหนึ่ง ก็เล่าเรื่องยากแล้ว
หรือแม้แต่ผมจะเขียนบทแค่ว่า วันหนึ่งกินข้าวอยู่ที่ร้านแห่งหนึ่ง ไม่ได้แล้วนะ เพราะว่านั่งที่ร้านไม่ได้ อะไรแบบนี้ คือมันติดขัดไปหมด มันกลายเป็นตีกรอบความคิดให้ต้องอยู่แต่ในบ้าน ซึ่งเราทำมา 2-3 ปี เราเล่นทุกมุมในบ้านหมดแล้ว ก็แทบไม่เหลืออะไรให้ทำแล้ว อันนี้ก็เป็นปัญหาที่เจอ
ส่วนปัญหาอื่นๆ ก็น่าจะเป็นเรื่องสภาพจิตใจ ก็คืออย่างที่โพสต์ลงไปในเพจว่า เราก็ฝืนที่จะต้องสร้างคอนเทนต์ที่มันสนุกสนาน คือเราทำได้ เราถนัด แต่ว่ากระแสสังคมตอนนี้ ประชาชนยังเศร้า ยังเครียดกับชีวิตตัวเอง แล้วเราสวนทางไปอย่างนี้มันก็ลำบากใจเหมือนกัน เราก็เลยอยากจะออกมาพูดสักอย่าง
เคยมีช่วงที่รู้สึกว่าพอโพสต์ไปแล้วรู้สึกผิดกับตัวเองไหม ที่เราโพสต์คอนเทนต์ตลกๆ ไป แต่ตอนนั้นคนกำลังโกรธหรือเศร้ากันอยู่
มีบ่อยเลยแหละ แทบทุกวัน คือเมื่อก่อน พอโพสต์คอนเทนต์ไปเราจะต้องมาเก็บ stat เก็บฟีดแบ็กว่ามันดีไม่ดียังไง หลังๆ มานี้ผมกลายเป็นว่า โพสต์แล้วปล่อยไปเลย เหมือนกับว่าเราทำงานสต็อกไว้แล้ว ที่มันจำเป็นต้องโพสต์ เราก็โพสต์ไป แล้วก็ไม่ได้ไปดูฟีดแบ็กว่าเป็นยังไง ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีใครมาว่าอะไรเรานะ แต่เรารู้สึกกับตัวเองว่ามันคนละเรื่องกับหน้าฟีดที่เจอเลย ใครจะอยากมาตลกกับเราวะ คือคิดไปเอง ทั้งๆ ที่พอไปอ่านจริงๆ ก็ยังมีคนสนุกอยู่นะ บางคนก็บอกว่ามันช่วยฮีลจิตใจเขาในบางวันได้เหมือนกัน แต่โดยส่วนตัวเราค่อนข้างฝืน แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ทำนะ เรายังรับงานอยู่ เพราะต้องใช้เงิน ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ อยู่
มีเหตุการณ์ที่เราลบโพสต์เองเหมือนกัน อย่างเช่น เราเคยทำมุกเกี่ยวกับการใส่หน้ากาก เหมือนเดินออกจากบ้านแล้วลืมใส่หน้ากาก ก็เลยหยิบกางเกงในมาใส่แทน เป็นมุกตลกๆ แต่ว่าอยู่แค่หน้าบ้าน ไม่ได้ไปไหนไกล แต่ความรู้สึกหลังจากโพสต์ไปแล้ว เราก็มาคิดอีกมุมหนึ่งว่า อ่าว..แล้วถ้าคนที่เขาไม่มีแมสก์ใช้ คนที่เขาไม่มีแม้แต่กระทั่งแมสก์จะใส่เพื่อปกป้องตัวเอง เขามาดูคอนเทนต์นี้เขาจะตลกกับเราไหม ก็เลยตัดสินใจลบทิ้งไปดีกว่า แบบนี้ก็มีเหมือนกัน
จากสเตตัสล่าสุดที่ออกมาพูดเรื่องการเมือง มีอะไรที่ทำให้รู้สึกว่า ต้องออกมาโพสต์แล้วไหม
หลักๆ ก็คือเรื่องสภาพจิตใจอย่างที่บอก แต่ว่าในโพสต์นั้นเราก็ไม่ได้เสนอแง่มุมแค่ด้านสภาพจิตใจของเรา เราอยากสร้างแคมเปญด้วย เชิญชวนให้ครีเอเตอร์ออกมาพูดกัน
แล้วก็อยากตั้ง mindset ใหม่ให้เหล่าครีเอเตอร์ว่า นี่มันเป็นยุคใหม่แล้วที่เราสามารถออกมาพูดการเมืองได้โดยที่ทุกคนเข้าใจ แบรนด์ต่างๆ ก็เข้าใจ เพราะเขาไม่ได้ใหญ่มาจากไหน เขาก็เป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์บ้านเมืองเหมือนกับเรา เขาก็ต้องเสียอะไรต่างๆ มากมายเหมือนเรา เขาเสียค่าโปรโมทไปแล้วก็ต้องหยุดระงับการงาน ทำไม่ได้ ขายไม่ได้ เขาก็วุ่นวายเหมือนกับเรา
ยิ่งประชาชน คนอ่านคอนเทนต์ก็ยิ่งเข้าใจเรา ทุกคนเข้าใจเรา เพราะฉะนั้น โพสต์แล้วมันเสียงานเป็นเปอร์เซ็นต์ที่น้อยมาก เพราะมันหมดยุคไปแล้ว ก็เลยจะโพสต์ออกมาให้ครีเอเตอร์มองมุมใหม่ว่า เราสามารถโพสต์ได้ และเรายังสามารถทำงานต่อไปได้
แล้วในสเตตัสอันนั้น ก็ยังแฝงเรื่องของการพูดไปถึงแบรนด์ด้วยว่า เราเข้าใจคุณ แล้วคุณก็เข้าใจเรา แล้วก็ชื่นชมเขาว่าเขายังสนับสนุนเราอยู่ ก็ต้องขอบคุณตรงนี้ด้วย
เพราะฉะนั้น ผมว่าการโพสต์ครั้งนี้ไม่ได้ทำให้รู้สึกแย่ หรือทำให้ทุกอย่างมันแย่ลง ทุกอย่างมันดีขึ้น ผมได้ระบายจิตใจตัวเอง คอนเทนต์ครีเอเตอร์ที่มาอ่านก็ได้รับพลังบวกเหมือนกัน เพราะเขาได้เจอเหมือนกับเรา แล้วเขาก็ได้ เออ จริงว่ะ โพสต์ได้ ผมก็เห็นหลายครีเอเตอร์ก็มาคอมเมนต์ บางคนก็เอาไปต่อยอด ไปโพสต์ในเพจตัวเองก็มี ลูกค้าอ่านแล้วก็จะแบบ เออ จริงว่ะ มันแตะต้องได้ แล้วเขาก็จะได้รับคำชมไปด้วย
อยากให้ขยายความอีกนิด กับคำว่า ‘หมดยุคที่โพสต์เรื่องการเมืองแล้วแบรนด์จะไม่จ้าง’
ทุกคนคือประชาชน แบรนด์ต่างๆ ก็คือประชาชน แบรนด์พวกนี้เขาก็ได้รับผลกระทบเหมือนกัน ก็เลยคิดว่ามันหมดยุคแล้วจริงๆ โดยส่วนตัวด้วยที่มีคอนเนกชันที่เป็นผู้ประกอบการหรือแบรนด์ต่างๆ เขาก็บ่น เขาก็ด่า คือมันก็ไม่มีใครไหวแล้วในยุคนี้ มันหมดยุคแล้วจริงๆ
แปลว่า มองว่าทิศทางของการเมืองข้างหน้าจะไม่ใช่การที่ทุกคนสามารถนิ่งเงียบได้ใช่ไหม
ใช่ ตอนนี้เราอยู่ในทิศทางที่ทุกคนไม่ไหวแล้ว และพร้อมจะระเบิดมันออกมา พร้อมจะพูด พร้อมจะแก้ปัญหาที่โครงสร้าง ไม่ใช่แก้ปัญหาที่ตัวเองอย่างเดียว
แต่ก็เห็นบางคนยังพูดว่า งานจะหายไป ถ้าออกมาพูดเรื่องการเมือง คิดเห็นยังไงบ้าง
ตอนนี้มีงานจริงหรือเปล่า มันเท่านั้นเลย ตอนนี้งานมันยังดีอยู่หรือเปล่า แล้วฐานแฟนคลับที่ติดตามเขายังสนับสนุนเราดีอยู่หรือเปล่า มองในทิศทางระยะยาวของคุณ มันได้อะไรจากซีนเงียบหรือเปล่า แบบว่า.. คุณไม่มีซีนในยุคนี้เลย แล้วใครจะมองเห็นคุณ มันเป็นการปิดไฟตัวเองไปเรื่อยๆ หรือเปล่า
ถึงอย่างนั้น หลายคนก็พูดว่า คนดังบางคนออกมาพูด แค่ไม่ให้โดนกระแสโจมตี หรือพูดแบบปลอมๆ ตรงนี้มองว่ายังไง
ก็ยังดีที่ออกมาพูด ถ้าให้คะแนนก็ไม่ได้เต็มสิบ ไม่ถึงขั้นติดลบ แต่ก็ได้คะแนนน้อย เข้าใจว่าบริบทหลายคนมันอาจจะไม่เหมือนกัน เขาอาจจะเริ่มๆ ผมว่ามันก็มีคนที่เข้าไปคอมเมนต์มากมายแล้วแหละว่ามันได้มากกว่านี้ ซึ่งเราก็ไม่ได้อยากจะไปติติงว่ามันแย่ แค่มันได้มากกว่านี้เฉยๆ
อย่างตัวผมเอง ถามว่าได้ทำดีเต็มสิบไหม มันก็ยังไม่ใช่ ผมก็ยังค่อยๆ ไต่ระดับเหมือนกัน คือเข้าใจทุกคนว่า เราถือไว้เยอะ เรากล้าปล่อยยาก กว่าที่ผมจะสรุปกับตัวเองว่ามันพูดได้ มันแสดงได้ในเพจตัวเอง มันก็ใช้เวลาเหมือนกัน ตอนนี้ผมก็ค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นไป ค่อยๆ ทำคอนเทนต์ที่เสียดสีออกมา ผมว่าก็อย่างที่บอกแหละว่ามันดีได้มากกว่านี้ แค่ช่วยกันพูด ช่วยกันบอก ให้เขารู้สึกว่า เฮ้ย กูทำได้ กูพูดได้ แล้วทุกคนก็เป็นทีมเดียวกัน
แล้วคิดยังไงกับคำว่า ‘ราคาที่ต้องจ่าย’
ไม่อยากให้คิดว่าเราต้องเสีย แบบผลกระทบเชิงลบว่าถ้าเราพูดเราจะเสียอะไรไปบ้าง มันยุคใหม่แล้ว กับคำว่าราคาที่ต้องจ่าย อย่างที่บอกว่า เราไม่ได้เสียอะไรมากขนาดนั้น แต่ให้มามองอีกมุมหนึ่งดีกว่าว่า ถ้าเราไม่พูด เราต้องจ่ายอะไรบ้าง เราต้องเสียอะไรบ้าง ตรงนั้นผมว่ามันฉิบหายกว่า ทิศทางที่กำลังจะไปในระยะยาว ทางไหนที่จะทำให้เราจ่ายน้อยกว่ากันแน่ ถ้าไม่พูดสิ มันจะยิ่งหนักกว่าเดิมนะ
เห็นในสเตตัสเขียนว่า เคยปฏิเสธที่จะรับงานแบรนด์เพราะมีความเห็นทางการเมืองที่ไม่ตรงกัน แปลว่าปกติจุดยืนของแบรนด์มันมีส่วนกับการเลือกรับงานของเราด้วยหรือเปล่า
มีครับ เราก็ดูว่าเขามีประเด็นอะไรที่เคยเห็นหรือเปล่า แต่ถ้าบางแบรนด์เขาแค่เคยไปเป็นสปอนเซอร์แล้วเขาถอนออก เราก็ยังเข้าใจว่ามันอาจจะไม่ใช่ก็ได้ แต่บางแบรนด์ที่เขาแสดงจุดยืนชัดเจนว่าเขาสนับสนุนรัฐประหาร เราก็ไม่เอาดีกว่า มันได้เงิน แต่ว่าเราจะได้ชื่อว่าเราเป็นอย่างนั้นตลอดกาล มันแค่ได้เงินตอนนี้ แต่มันส่งผลเสียต่อแบรนด์ของเราเองในระยะยาวเหมือนกัน
เล่าได้ไหมว่า คุยกับเขายังไงบ้าง ตอนที่จะไม่ร่วมงานด้วย
เรามีทีม เราก็บอกผู้ช่วยของเราไป บอกไปตรงๆ นั่นแหละว่าไม่รับเพราะอย่างนี้นะ เราไม่มั่นใจเหมือนกันว่า เขาไปคุยต่อให้มันซอฟต์ลงหรือเปล่านะ แต่ที่คุยกันมาคือ ก็คุยกับเอเจนซี่ไปตรงๆ นั่นแหละ เอเจนซี่ก็เข้าใจดี แต่เอเจนซี่ไปคุยกับลูกค้ายังไงต่อ อันนี้ไม่รู้เหมือนกัน มันมีหลายชั้นไง แต่โดยส่วนตัวเรา เราพูดตรงๆ ไปเลย
กลับมาที่สเตตัสที่โพสต์เรื่องการเมืองในเพจ ตอนนี้ มีผลตอบรับยังไงบ้าง
ผลตอบรับหรอ ก็รู้สึกว่าปกตินะ รู้สึกว่าไม่ได้เกิดผลเสียอะไรเลย รู้สึกว่าได้แต่ผลดีขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็น อย่างช่วงนี้มีเพจต่างๆ มาขอสัมภาษณ์เยอะ หลายเพจเลย แล้วคอนเทนต์ครีเอเตอร์ต่างๆ ก็มาร่วมเห็นด้วยกับเรา เหมือนเราได้รับแรงสนับสนุนว่าความคิดของเราถูกต้อง ได้รับกำลังใจจากคอมเมนต์ แล้วก็ได้คนติดต่องานมา ก็ยังปกติเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนเลย ได้รับกำลังใจจากเอเจนซี่ด้วย เหมือนเขาบอกว่า จะขายงานให้นะ คือเขามาให้กำลังใจอย่างนั้นเลย
อย่างที่บอกว่า ทุกคนแม่งคือพวกเดียวกันแล้ว ทุกคนคือคนที่ได้รับผลกระทบ เพราะฉะนั้น พูดไปเหอะ
คิดว่าการที่คอนเทนต์ครีเอเตอร์หรือคนดังทั้งหลายออกมาเป็นกระบอกเสียง มันสำคัญยังไงบ้าง
สำคัญยังไงเหรอ ถ้าเป็นเรื่องที่ทุกๆ คนรู้อยู่แล้วก็คือ เสียงคนดัง มันดังกว่า อย่างที่บอก มีคนเห็นเยอะกว่า แต่เห็นเยอะกว่าในทีนี้นอกจากสร้างแรงกระเพื่อมได้มากกว่า มันสร้างกำลังใจได้มากกว่าด้วย เฮ้ย คนที่เราติดตาม คนที่เราเชิดชู ชื่นชอบ เขายังพูดเลย มันสร้างกำลังใจในยุคที่ทุกคนห่อเหี่ยว ทุกคนสู้โดยไม่มั่นใจ แต่ถ้าคนที่เราเชื่อ คนที่เราชอบก็ยังสนับสนุนเรา ก็เป็นเหมือนการเติมกำลังใจให้สู้ได้ต่อไป
ส่วนตัวนอทเป็นคนสนใจเรื่องการเมืองอยู่แล้วหรือเปล่า
ผมสนใจอยู่แล้ว ด้วยคนที่อยู่รอบๆ ตัวผม ไม่รู้มันเกี่ยวไหมนะ ผมเรียนศิลปะมา เพื่อนๆ รอบตัวมันจะเดือดพวกเรื่องการเมืองมาก ทัศนคติของเขามองไปไกลกันมากๆ ในเฟซบุ๊กส่วนตัวนะ โห เราได้รับมุมมองที่มันดีๆ เยอะมาก ได้รับข่าวสารดีๆ ก็เลยทำให้ได้อ่าน ได้รับรู้อะไรเยอะ ในเฟซบุ๊กส่วนตัวผมก็แชร์ ก็อะไรเยอะนะ ในเพจเราก็เคยโพสต์ แต่เราไม่ได้เล่นใหญ่ไง แต่ตอนนี้เราเริ่มขยับขยายมันขึ้นมา
เหมือนกับว่า ในเพจเอง เราก็ค่อยๆ ขยับเพดานขึ้นมาเหมือนกัน
ใช่ แต่ถ้าในเฟซส่วนตัวเราดันเพดานมานานแล้ว คือเราสนใจมาตลอด
งั้นอยากให้เล่าให้คนที่ยังไม่ค่อยเข้าใจเห็นหน่อยว่า การเมืองมันสำคัญและใกล้ตัวเรายังไงบ้าง
การเมืองมันสำคัญยังไงเหรอ ให้ถามว่าอะไรที่มันไม่เกี่ยวกับการเมืองดีกว่า มันจะไม่สำคัญได้ไง ก็มันคือทุกอย่าง ทุกอย่างคือการเมือง ถ้าคนที่เขายังไม่เข้าใจ คือทำไมเขาไม่เข้าใจดีกว่า ผมไม่สามารถไปอธิบายให้เขาเข้าใจได้แล้ว มึงมองไปทางไหนมันก็คือการเมือง ทุกอย่างที่มึงหยิบจับ คือทำไมมึงไม่เข้าใจมากกว่า
นอกจากเรื่องนี้ ยังมีกระแสที่คนพูดถึงคำว่า ‘เป็นกลาง’ ด้วย เรามองคนที่พูดคำนี้ว่ายังไงบ้าง
ผมว่ามีหลายคนที่เขาพูดว่า เขาเป็นกลาง โดยที่คิดว่าเขาเป็นกลางจริงๆ คิดว่าเขาอยู่เหนือปัญหา อยู่เหนือความขัดแย้ง แต่จริงๆ แล้วคนเหล่านี้เขาขาดชุดความรู้ เขาอาจจะไม่ได้สนใจจนขาดชุดความรู้ที่จำเป็นว่า สถานการณ์ที่เป็นอยู่นี้ มันไม่สามารถเป็นกลางได้
ถ้าเป็นคนที่มีชื่อเสียง ผมว่าเขาก็น่าจะเข้าใจมากยิ่งขึ้นแล้วด้วยแรงทัวร์ที่เข้าไปอธิบาย เข้าไปยกเคสปัญหาต่างๆ ให้เขาเข้าใจมากขึ้น เขาก็คงมีความรู้มากขึ้น แล้วผมว่าเขาจะไม่คิดแบบเดิมแล้ว
ที่บอกว่ามันเป็นกลาง แปลว่าอะไร ทำไมถึงเป็นกลางไม่ได้
เป็นกลางไม่ได้เพราะว่าตอนนี้มันไม่ใช่สองพรรคการเมืองตีกัน แต่มันเป็นระบอบประชาธิปไตยกับรัฐประหาร กับการทำงานที่ไม่ถูกต้อง กับระบอบต่างๆ ที่ไม่สามารถให้คงอยู่ได้ มันถกกันคนละประเด็น คือถ้าเป็นกลางต้องเป็นอะไรที่สองฝั่งเถียงกันได้ ทั้งสองฝั่งเท่าเทียมกัน แต่ตอนนี้ มันคือการที่เราไม่สามารถตรวจสอบ ไม่สามารถขัดแย้ง ไม่สามารถทำอะไรเขาได้เลย ถ้าเขาจะทำอะไรก็ทำได้หมด
คือตอนนี้ฝั่งหนึ่งมันเรียกร้องให้เกิดความเท่าเทียมไง เกิดประชาธิปไตยจริงๆ เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นกลางก็คือ เป็นการสนับสนุนรัฐประหารเหรอ เป็นการสนับสนุนอะไรที่ไม่ถูกต้องเหรอ คือถ้ามันอยู่ในสังคมประชาธิปไตย แล้วมาเป็นกลางในนั้น มันเข้าใจได้ไง
คิดว่า การออกมาเรียกร้องกันในยุคนี้ เกี่ยวข้องกับเรื่องของเจเนเรชั่นด้วยไหม
ผมว่าก็มีส่วนแหละ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะว่ามันไม่ใช่แบบ เด็กจะเก่ง ผู้ใหญ่จะโง่ ผมมีผู้ใหญ่หลายคนรอบตัวหลายคนที่เขาไม่ได้โง่ เขามีชุดความคิดที่มันโอเค ผมเลยมองว่า มันแล้วแต่สภาพแวดล้อมที่เขาเติบโตมามากว่า เด็กๆ วัยรุ่นที่ขาดการเข้าถึงความรู้ที่ดีก็มีเยอะเหมือนกัน
เพราะฉะนั้น ผมว่ามันอยู่ที่สภาพแวดล้อมกับสังคมที่เขาถูกปลูกฝังทัศนคติต่างๆ มามากกว่า โดยเฉพาะคอนเทนต์ครีเอเตอร์ที่เป็นคนมีอายุ ผมว่าไม่ต่างจากวัยรุ่นเลย เขาฉลาด เขาเก่งและเขาทันโลก หรือมากกว่าวัยรุ่นด้วยซ้ำ เพราะเขามาอยู่ในโลกเดียวกับเราไง
ตัวนอทเอง ก็ถือเป็นคนรุ่นใหม่เหมือนกัน คิดยังไงเวลาที่ผู้ใหญ่บางคนชอบพูดว่า เด็กมันก็ตามๆ กันไป ไม่ได้คิดเองหรอก
ก็อาจจะจริงอยู่บ้างนะ เราก็ตามๆ กันอยู่บ้าง เช่น อะไรที่กำลังฮิต เราก็ซื้อตามๆ กันมา แต่สิ่งที่แตกต่างคือ เราไม่ได้ตามโดยไม่ตั้งคำถาม เราตั้งคำถามกับสิ่งต่างๆ ด้วย แม้แต่สิ่งที่เราทำตามๆ กันก็ตั้งคำถามกันว่า มันจริงหรือเปล่า ถูกต้องหรือเปล่า มีข้อมูลรองรับหรือเปล่า เป็นอย่างนี้มากกว่า
ผมว่า สิ่งมีชีวิตมักทำตามกันเป็นหมู่คณะอยู่แล้ว แต่ตรงนั้นมันไม่ใช่ปัญหา ปัญหามันคือ ตามโดยได้ตั้งคำถามไหม ได้ฉุกคิดหรือเปล่าว่าสิ่งที่เราตามมันถูกต้องแล้วหรือเปล่า
ในมุมของคุณเอง อยากเห็นสังคมของประเทศนี้เป็นแบบไหน
อยากเห็นสังคมที่มันปกติที่มันกิน ขี้ ปี้ นอนได้ปกติ เรามองไปทางไหนก็รู้สึกว่ามันปกติ เรามองไปทางไหนก็ไม่ได้รู้สึกว่า เอ๊ะ ทำไมมันเป็นอย่างนี้วะ ทำไมมันแย่อย่างนี้วะ แค่มันปกติ แค่ทุกคนใช้ชีวิตได้ปกติ โดยได้รับสวัสดิการอย่างถูกต้อง แบบที่จำเป็นต้องมี เอาจริงๆ แค่มันปกตินั่นแหละ เพราะตอนนี้ประเทศเรามันยังห่างจากคำว่าปกติเยอะ
คำว่าปกติที่พูดหมายถึงอะไร เพราะบางคนก็มองว่า ที่เป็นอยู่ตอนนี้มันไม่ปกติตรงไหน
ปกติก็คือ มนุษย์คนหนึ่งมีชีวิตที่ได้รับสวัสดิการในสิ่งที่ควรจะได้ อย่างของที่มีในโลก มันมีอยู่ 100% ความปกติเราไม่ควรที่จะได้แค่เศษเสี้ยวของมัน แล้วมีบางคนบางกลุ่มที่มันได้ไปเยอะๆ อันนั้นไม่ปกติ ชีวิตทุกคนควรจะปกติ ตื่นมาก็รู้ว่าชีวิตเราจะไปยังไงต่อ โดยไม่อดตาย ได้มีชีวิตต่อ เวลาเดินออกไปข้างนอกก็ไม่ได้รู้สึกว่ายากลำบาก มันเดินได้ง่าย เดินทางสะดวก หิวก็มีข้าวกิน เจ็บป่วยก็มีพื้นที่ให้เข้ารับการรักษา มันแค่นั้น นี่แหละคือความปกติ
แล้วยังมองว่า ประเทศเรามีความหวังที่จะไปสู่สังคมปกติแบบที่บอกไหม
มีครับ มีแน่นอน มีเยอะด้วย และตอนนี้ก็กำลังมุ่งหน้าไปทางนั้น