1.
“วันๆ ก็ออกไป บางทีขาดทุน บางทีก็ได้ค่าน้ำมัน ค่ากับข้าว แล้วแต่ดินฟ้าอากาศจะอำนวย”
ทุกๆ เช้า เรือลำเล็กของ สัมฤทธิ์ ขนุนทอง จะออกจากฝั่ง เขาเป็นชาวประมงพื้นบ้านในจังหวัดสมุทรสาคร หน้าที่หลักคือจับเคย กุ้งเล็ก ปลาน้อย นำสัตว์น้ำใกล้ชายฝั่งอ่าวไทยที่จับได้เหล่านี้มาขายกับแพ 2-3 แห่งในจังหวัด แลกเป็นเงินเลี้ยงตัวและครอบครัว
“ชาวประมงพื้นบ้านบางทีออกไปก็ไม่ได้อะไร หักค่าน้ำมัน ก็เหลือนิดๆ หน่อยๆ บางทีก็ขาดทุน ส่วนมากจะขาดทุน ก็ทำกันอยู่อย่างนี้”
เรานั่งคุยกันริมคลองพิทยาลงกรณ์ หรืออีกชื่อคือคลองกำพร้า ซึ่งไหลเชื่อมกับปากแม่น้ำท่าจีน แม่น้ำสายสำคัญที่หล่อเลี้ยงชาวสมุทรสาคร เรือประมงลำเล็กลำน้อยกำลังจอดเรียงรายริมคลองสายนี้ในช่วงเช้า สาเหตุเป็นเพราะน้ำลดและยังไม่มีปลาให้จับ

คลองพิทยาลงกรณ์

สัมฤทธิ์ ขนุนทอง ชาวประมงพื้นบ้านในสมุทรสาคร
“เมืองประมง ดงโรงงาน ลานเกษตร เขตประวัติศาสตร์” คือคำขวัญของจังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดเล็กๆ ติดกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นจังหวัดปริมณฑลที่มีขนาดพื้นที่ไม่ใหญ่มาก แต่มีผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดต่อหัว (GPP per capita) สูงถึง 405,187 บาท คิดเป็นอันดับ 7 ของประเทศ หลักๆ มาจากภาคอุตสาหกรรม แต่ก็ยังโดดเด่นในการทำนาเกลือ ส่วนที่เหลือคือประมงพื้นบ้าน
วันนี้ ชาวประมงพื้นบ้านกำลังได้รับผลกระทบจากน้ำเสียที่ไหลลงอ่าวไทย “น้ำเสียตอนนี้มันไหลออกสู่ในอ่าว ทำให้สัตว์เล็ก กุ้งเล็ก ปลาน้อย ไม่สามารถที่จะอยู่ตามแนวชายฝั่งได้ น้ำตอนนี้เริ่มเหม็น บางทีเป็นแก๊สปุดๆ มันไหลออกไปนอกทะเล พวกปลา พวกกุ้ง มันก็ถอยลึกออกไป” สัมฤทธิ์เล่า
แต่สิ่งที่กำลังมาซ้ำเติมชาวประมงมากไปกว่านั้น ก็คือปลาหมอคางดำ
ปลาหมอคางดำคือสัตว์ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นรุกราน (invasive alien species) ที่เข้ามากัดกินสัตว์น้ำท้องถิ่น สร้างความเสียหายต่อระบบนิเวศ ที่สำคัญคือแพร่พันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว – นับแค่ในคลอง ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ชาวประมงสมุทรสาครก็ช่วยกันใช้อวนรุนจับปลาหมอคางดำได้มากถึง 530,000 กิโลกรัม
“ตอนนี้มันยังอยู่ในคลอง ถ้ามันออกไปนอกทะเลได้เมื่อไหร่ ประมงพื้นบ้านตายหมด สัตว์เล็กกว่ามัน มันจะกินหมด” สัมฤทธิ์ตั้งข้อสังเกต
ณ ขณะนี้ สมุทรสาครคือหนึ่งในอย่างน้อย 16 จังหวัด ที่พบการระบาดของปลาหมอคางดำ

ปลาหมอคางดำ
2.
ในห้วงที่ปลาหมอคางดำกำลังแพร่พันธุ์จนวิกฤต แพของ จารุจันทร์ จารวีไพบูรณ์ คือ 1 ใน 5 แพของสมุทรสาคร ที่รับซื้อปลาต่างถิ่นชนิดนี้จากชาวประมง
เดิมที แพริมฝั่งคลองพิทยาลงกรณ์แห่งนี้จะรับซื้อเฉพาะปลาที่ไม่มีราคา เช่น ปลาชลั้น ปลาลังเกย ปลากังฮื้อ และปลาจวด เพื่อขายต่อไปแปรรูป ส่วนใหญ่คือทำปลาร้า ก่อนหน้านี้ไม่นาน แม้กระทั่งปลาหมอคางดำก็ยังไม่สามารถรับซื้อได้ เพราะกฎหมายห้าม
“เริ่มแรกเลย รัฐบาลบอกว่า ถ้าใครจับ ครอบครอง จะผิดกฎหมาย เรือก็ไม่มีใครกล้าไปดู ไปจับ เพราะว่ากฎหมายเขาบังคับ” จารุจันทร์เล่า
“กฎหมายบังคับไม่ให้จับ ไม่ให้ครอบครอง ไม่ให้ซื้อขาย เราก็ซื้อไม่ได้นะ แล้วก็เพิ่งจะมารณรงค์ 2 ปีนี้ ให้จับ ให้ซื้อ ถึงตอนนั้น มันก็เยอะแล้ว”
การรับซื้อปลาหมอคางดำของแพมีจุดเริ่มต้นจากการประสานของกรมประมงกับสมาคมปลาป่นแห่งประเทศไทย โดยให้ราคาตามที่รัฐกำหนด เช่น ให้แพรับซื้อ 8 บาท เพื่อให้แพไปขายต่อโรงงานปลาป่นในราคา 10 บาท แพปลา อย่างเช่นแพของจารุจันทร์ จึงเริ่มรับซื้อ

จารุจันทร์ จารวีไพบูรณ์ เจ้าของแพริมคลองพิทยาลงกรณ์ ที่รับซื้อปลาหมอคางดำ

เรือประมงจับปลา
“ตอนรัฐบาลเขาประกาศให้ซื้อ ก็เริ่มซื้อ ตอนแรกๆ ไม่ได้ซื้อนะ พอได้ก็โยนลงไป ก็เอาปลาที่ขายได้ขึ้นมาขาย ปลาที่ขายไม่ได้ก็ไม่เอา บางทีเขาก็ปล่อยตาย เยอะเลย เพราะว่ายังไม่มีใครซื้อ ต้องไปอ่านกฎหมาย เขากำหนดมาเลย ห้ามมาเลย มันก็เลยแพร่พันธุ์เร็ว” เธอว่า
ลูกค้าโดยปกติจะเป็นโรงงานปลาป่น – แต่วันนี้ลูกค้าของจารุจันทร์พิเศษกว่านั้น ศศธร ศรีวิเชียร เป็นอาจารย์อยู่ที่คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชมงคลธัญบุรี เธอสอนหนังสือทั้งที่สถาบันดังกล่าว และวิทยาลัยอาชีวศึกษาสิงห์บุรี เธอเดินทางจากกรุงเทพฯ เพื่อมารับปลาหมอคางดำนับสิบกิโลกรัม นำไปให้นักศึกษาทดลองแปรรูปเป็นอาหาร
“มันมีโปรเจ็กต์ที่เด็กจะต้องทำ อาจารย์ก็เลยให้เขาคิด เขาก็เลยสนใจในเรื่องปลาหมอคางดำ เพราะว่ามันมีปัญหาตอนนี้ อย่างของราชมงคลธัญบุรี ก็จะเข้าประกวดเป็นโครงการสตาร์ตอัป ก็คือทำปลาหมอคางดำ เสริมโปรตีนจากพืช ถ้าเด็กทำแล้วผ่านเข้ารอบลึกไปถึงระดับประเทศ ก็จะได้ไปโชว์ในส่วนตรงนั้น” เธอเล่า
ไม่ต่างอะไรกับปลานิล – ทุกคนที่คลุกคลีกับปลาหมอคางดำที่เราได้ไปพูดคุยด้วย ยืนยันเหมือนกันว่า ปลาชนิดนี้กินได้ “ได้ แต่ต้องเลือกแหล่งที่มา ถ้าเกิดอย่างบึงมักกะสัน ให้อาจารย์กิน อาจารย์ก็เริ่มคิดหนักนะ” อ.ศศธร กล่าวติดตลก
“เนื่องจากมันเป็นปลาที่อยู่ในน้ำเน่าเสียก็ได้ ซึ่งถ้าเราเอาตัวนี้ไปกิน สารพิษทั้งหลายจะตกค้างไหม อันนี้คือสิ่งที่น่ากลัวมากกว่า เพราะฉะนั้น อาจารย์ก็จะค่อนข้างเลือกพื้นที่ ถ้าเกิดเป็นอย่างนี้ ที่เจอแถวริมคลอง แถวแม่น้ำเจ้าพระยา อันนี้อาจารย์โอเค ถ้าจะกิน”
ปลาหมอคางดำหลายสิบกิโลกรัมจะขึ้นรถของ อ.ศศธร มุ่งหน้าสู่ธัญบุรีและสิงห์บุรี และถ้าการทดลองประสบความสำเร็จ ปลาเหล่านี้ก็จะกลายเป็นลูกชิ้นปลาหมอคางดำ ไส้กรอกปลาหมอคางดำ น้ำพริกแกงส้มปลาหมอคางดำ และนักเก็ตปลาหมอคางดำ

ศศธร ศรีวิเชียร มาซื้อปลาหมอคางดำให้ลูกศิษย์ไปทดลองแปรรูปเป็นอาหาร

ปลาหมอคางดำบนตราชั่ง
3.
ที่สมุทรสาคร กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เริ่ม ‘คิกออฟ’ เปิดปฏิบัติการกำจัดปลาหมอคางดำด้วยการระดมชาวประมงในพื้นที่ใช้อวนรุนจับ ตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ที่วัดกำพร้า หรือวัดศรีสุทธาราม ริมแม่น้ำท่าจีน ตรงปากอ่าวไทย
เกือบครึ่งปีผ่านไป กับ 530,000 กิโลกรัมของปลาหมอคางดำที่จับได้ เผดิม รอดอินทร์ ประมงจังหวัดสมุทรสาคร กลับมายืนที่จุดเดิมอีกครั้ง
“ปลากระบอก” เขาชี้ให้เราดูฝูงปลาที่ริมท่า – สัญญาณถึงการลดลงของปลาหมอคางดำ
“สถานการณ์จริงๆ ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนกุมภาฯ มันก็แพร่ระบาดในจังหวัดสมุทรสาคร มี 3 อำเภอ มันก็มีครอบคลุมหมดทุกอำเภอ แต่ก็ยังมีบางหมู่บ้าน บางตำบล ที่มันยังไม่เข้าไปในโซนน้ำจืด แต่ในโซนที่ติดชายทะเล เราก็พบปลาหมอคางดำ ครอบคลุมเกือบทุกพื้นที่” เผดิมเล่าให้เราฟัง
เขาเท้าความว่า ปัญหาปลาหมอคางดำมีมานานแล้วพอสมควร และเริ่มจะสาหัสตรงกับช่วงการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา
“เรามาเจอ COVID-19 ทุกคนก็ต้องรักษาชีวิต เราก็ไม่ได้เหลียวแลปลาหมอคางดำ หรือไม่ได้ดูแลอย่างที่ควร ช่วงนั้นมันก็เหมือนเราเผลอไป เพราะว่าเราก็ต้องไปรักษาชีวิต ดูแลชีวิตคนก่อน ก็ทำให้เจ้าคางดำใช้โอกาสนี้ รุกคืบเข้ามาเกือบ 30 ปี จนแพร่ระบาด ณ วันนี้”

เผดิม รอดอินทร์ ประมงจังหวัดสมุทรสาคร
เมื่อแพร่ระบาด ที่ผ่านมาสำนักงานประมงจังหวัดก็มีมาตรการไปบ้างแล้ว เริ่มจากระดมชาวประมงช่วยกันจับ เมื่อจับได้ สำนักงานประมงจังหวัดก็ต้องรับซื้อ จากนั้นก็ขยายผลด้วยการประสานให้โรงงานปลาป่นช่วยรับซื้อจากแพ “เราก็ถือว่าสามารถที่จะจูงใจให้คนที่ออกไปทำการประมง จับปลามาส่ง” เขาว่า
เมื่อจับปลาตัวใหญ่ๆ ได้แล้ว เผดิมเล่าต่อว่า มาตรการที่เหลือคือการใช้ ‘ปลาผู้ล่า’ เช่น ปลากระพง อย่างที่เห็นกันตามข่าว
“บางคนก็บอกว่า กระพงกำจัดได้จริงหรือ อันนี้ต้องทำความเข้าใจ ปลากระพงไม่ได้กินตัวใหญ่ของปลาหมอคางดำ ซึ่งตามหลักวิทยาศาสตร์เป็นไปไม่ได้ ปากมันมีแค่นั้น เหยื่อมันต้องเท่าๆ ปากมันนั่นแหละ แล้วก็เล็กลงมา ที่เราหวังให้มันช่วย มันไม่ได้ช่วยทั้งหมดหรอก อวนรุนก็ไม่ได้ช่วย 100% แต่มันต้องมีมาตรการที่ 2-5 จะมีมาตรการอะไรก็แล้วแต่ที่จะกำจัดปลาหมอคางดำได้สักตัวสองตัว เราก็ต้องเอามาใช้” เผดิมอธิบาย
นอกจากนี้ กรมประมงยังมีมาตรการ ‘4 จ.’ เจอ แจ้ง จับ และจบ ให้ประชาชนช่วยเป็นหูเป็นตา แจ้งพิกัดปลาหมอคางดำให้กับประชาชน
ในอนาคต เมื่อหมดไปแล้ว ถึงจะเริ่มฟื้นฟูระบบนิเวศได้ “หน้าที่ของกรมประมง ก็ต้องคืนความอุดมสมบูรณ์ แหล่งน้ำไหนมีสัตว์น้ำอะไรในพื้นถิ่น บางทีธรรมชาติมันก็ฟื้นฟูด้วยตัวเองส่วนหนึ่ง หลังจากนั้น มันก็ต้องฟื้นฟูด้วยมาตรการทางรัฐ เราก็มีการสนับสนุนพันธุ์ปลา เรามีศูนย์ มีหน่วยที่ผลิต ส่วนไหนถ้ามันกำจัดเบาบาง เราก็ต้องเติมความอุดมสมบูรณ์กลับไป”

ปลาหมอคางดำ
ปลาหมอคางดำ หรือ blackchin tilapia มีถิ่นที่อยู่แต่เดิมในแอฟริกาตะวันตก แต่กลายมาเป็นสัตว์ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นในหลายๆ ประเทศ – ในไทย บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เพิ่งออกมาเปิดเผยว่า บริษัทนำเข้าลูกปลาหมอคางดำ 2,000 ตัว มาจากประเทศกานา ตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2553
แต่เนื่องจากปลามีสภาพไม่แข็งแรง ไม่ค่อยรับอาหาร ตัวซีด และทยอยตายต่อเนื่องทุกวัน จึงใช้คลอรีนใส่ลงในบ่อเลี้ยงเพื่อฆ่าเชื้อ และเก็บปลาทั้งหมดมาแช่ฟอร์มาลีน เพื่อทำลายทั้งหมด ในวันที่ 6-7 มกราคม 2554
อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคมที่ผ่านมา บัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง ก็ออกมาโต้ในประเด็นการทำลายปลาเมื่อปี 2554 โดยระบุว่า เมื่อปี 2560 เจ้าหน้าที่กรมประมงได้เข้าไปตรวจสอบที่บ่อเพาะเลี้ยงของซีพีเอฟ ที่ตำบลยี่สาร อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม ด้วยการทอดแหในบ่อเพาะเลี้ยง ก็พบว่า ‘เจอ’ ปลาหมอคางดำในบ่อ จึงได้เก็บตัวอย่างมาไว้กับกรมประมง
จนถึงวันนี้ ข้อเท็จจริงเรื่องการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในธรรมชาติยังคงคลุมเครือ และสังคมยังรอฟังคำตอบ ในขณะที่ทุกภาคส่วนต้องระดมทั้งกำลังและงบประมาณเพื่อกำจัดปลาต่างถิ่นชนิดนี้ – ไม่เว้นแม้แต่ซีพีเอฟเอง ที่ออกมาประกาศรับซื้อปลาหมอคางดำเพื่อทำปลาป่น โดยอ้างว่าช่วยประชาชนแก้ปัญหา

ปลาหมอคางดำในคลองมหาชัย
4.
ใครได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากการมาเยือนของปลาหมอคางดำ? หนึ่งในนั้น – จากคำตอบของทุกคน – ย่อมต้องมีวัง (ที่ไม่ใช่พระราชวัง แต่เป็นศัพท์ที่ใช้กันมาตั้งแต่โบราณ หมายถึง บ่อน้ำเพาะพันธุ์กุ้ง ปู ปลา หรือสัตว์น้ำอื่นๆ)
ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯ จุดหมายสุดท้ายของเราในสมุทรสาคร จึงเป็นวังปูม้า ในโครงการธนาคารปูม้าพันท้ายนรสิงห์ ไม่ไกลจากองค์การบริหารส่วนตำบลพันท้ายนรสิงห์ โครงการนี้ไม่ใช่อะไรใหญ่โต แต่เป็นวังปูม้าขนาดราว 30 ไร่ ที่ดูแลกันเองในบริเวณบ้านของ ป้าช้อย—ชุติมา ชุ่มชื่น และสามี ลุงทรง—สมทรง ชุ่มชื่น ซึ่งทำกันมาตั้งแต่ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง เมื่อปี 2540
ป้าช้อยและลุงทรงบอกว่าเห็นพวกเราเป็นเหมือน ‘ลูกหลาน’ จึงพาเดิน ‘ทัศนศึกษา’ รอบๆ วังปูม้าอย่างดี การมาครั้งนี้จึงทำให้ได้เห็นด้วยตาว่าปลาหมอคางดำทำลายสัตว์ท้องถิ่นและระบบนิเวศอย่างไร
“เมื่อก่อนพันท้ายนรสิงห์มีปูม้าเยอะมาก แทบจะไม่มีราคา กิโลฯ ละ 10-20 บาท มันก็เลยเป็นพื้นฐาน เป็นวิถีชีวิตชาวเล อยู่ตรงนี้ตั้งแต่ป้าเกิด เราก็อนุรักษ์ ลุงเขาชอบไง เล่นปลาเล่นอะไร ก็เอาถังสีมาเพาะปู ก็เพาะปู 10-20 ถัง เพาะเสร็จก็เทลงคลอง” ป้าช้อยเล่าให้เราฟัง

ป้าช้อย—ชุติมา ชุ่มชื่น และ ลุงทรง—สมทรง ชุ่มชื่น ผู้ดูแลธนาคารปูม้าพันท้ายนรสิงห์

ลุงทรงกับกระชังปูม้า
ตัวไหนไข่ก็เก็บไว้ ตัวเล็กปล่อยลงคลอง ตัวใหญ่แบ่งขายตามออเดอร์ร้านอาหารและแพกุ้ง ทำอย่างนี้มามากกว่า 20 ปี ป้าช้อยเล่าว่ามีรายได้หลักหมื่นบาทต่อเดือน แถมยังได้อนุรักษ์พันธุ์ปูม้าตามธรรมชาติไว้ให้ลูกหลาน
ทั้งหมดนี้กำลังเปลี่ยนไปเพราะปลาหมอคางดำ – ปูม้ามีวงจรชีวิต 6 ระยะ ตั้งแต่เป็นไข่จนถึงโตเต็มวัย ป้าช้อยบอกว่า ลูกปลาหมอคางดำตัวเล็กๆ ที่เข้ามา กินได้ตั้งแต่ไข่ปูม้า จนถึงลูกปูที่เพิ่งฟักออกจากไข่ เรียกว่า ระยะซูเอีย (zoea) และที่โตมาอีกหน่อย เรียกว่า ระยะเมกาโลปา (megalopa) ที่เริ่มมีก้าม แต่ก็ยังมีขนาดเล็กกว่าเหรียญสตางค์ คล้ายๆ แมงมุมตัวเล็กๆ
“มันไล่กิน ป้ายืนดูอยู่” เธอกับสามีตั้งตู้ปลาที่มีทั้งลูกปูและปลาหมอคางดำไว้ข้างบ้าน จะได้เห็นกันไปเลยว่าปลามากินปูอย่างไร
“พอมันอิ่ม มันก็ไปอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้” ป้าช้อยเล่า พลางส่องดูในตู้ปลา
“แล้วเวลาลูกมันขนาดเท่าเล็บ มันจะรุมกินไข่ที่ตัวแม่เลย มันก็เป็นฝูง ลอยไปสิ มันก็ตอด”

ไข่ปูม้า

ปลาหมอคางดำจะเข้าสู่วังปูม้าผ่านทางประตูที่เปิดให้น้ำเข้า
5.
คุยกันได้ไม่นาน ป้าช้อยกับลุงทรงบอกให้เราไปหยิบที่กระสอบที่วางไว้ข้างบ้านมารองนั่ง เราจะลงเรือไปจับปลาหมอคางดำกัน
ปกติแล้ว แต่ละวังจะมีตะคัด หรือตาข่าย ไว้ดักปลาตามแนวขวางของวัง ลุงทรงขี่รถซาเล้งพร้อมขนกะละมังใส่ปลา พาเราไปลงเรือพลาสติกลำเล็กๆ ที่ตะคัดตรงนั้น ก่อนจะพายตามแนวตะคัดเพื่อหาปลาที่ขนาดตัวใหญ่หน่อยมาทอดกิน
จับปลาหมอคางดำได้ 4 ตัวใหญ่ๆ เราขึ้นฝั่ง ตรงดิ่งสู่กระทะ
“ปลาหมอคางดำก็มากับน้ำ มาจากคลอง มาจากทะเลนี่แหละ” ป้าช้อยเล่า “ป้าก็เปิดน้ำ เวลาที่ป้าเปิดเอาปูออก ป้าก็เปิด พอน้ำแห้ง เราก็เอาน้ำทะเลเข้า นึกออกไหม ก็ชักลิ้น มันมีลิ้นกระดาน เพื่อเอาน้ำเข้ามาโดยที่ไม่ต้องใช้น้ำมัน มันก็มากับน้ำนี่แหละ มาจากคลอง มาจากทะเล”

ลุงทรงจับปลาหมอคางดำในวังปูม้า
และเมื่อปลาหมอคางดำเข้ามาแพร่พันธุ์ในวังปูม้าอย่างรวดเร็ว ป้าช้อยบอกว่า ปูม้าหายไปถึง 80% เพราะถูกกิน
“เราเป็นหนี้ ธ.ก.ส. พูดง่ายๆ เราจะไปใช้หนี้ ธ.ก.ส. เราก็หอบปลานี้ขึ้นไปด้วย ถามว่าปลานี้มันมาจากไหน แล้วตอนนี้ปลามันเต็มคลองไปหมดแล้ว จะปล่อยปูยังไง แล้วจะเอากุ้งที่ไหนกิน มันก็กิน มันหนาแน่นไปหมดเลย
“อย่าพูดเลย ป้ามีต้นทุนอยู่ 2 ล้านบาท ตอนนี้หมดแล้ว มันต้องเลี้ยงชีพ เลี้ยงชีวิต ค่าน้ำค่าไฟ อุปโภคบริโภค มันขึ้นมาตามตัว อย่างอ๊อกเหล็ก ถ้าเดือนละ 2,000 บาท ก็กลายเป็นเดือนละ 5,000 บาท เราก็อ๊อกให้นักศึกษาที่มาดูงานไม่ได้ นอกจากเขามาเราก็ต้องมาอ๊อกที เพราะว่าค่าไฟมันสูง” ป้าช้อยเปิดใจ
บนเขียง ลุงทรงตัดหัวปลา ขอดเกล็ด จากนั้นลงกระทะในน้ำมันร้อนๆ – แน่นอน เราได้ลองชิมปลาหมอคางดำที่เพิ่งจับขึ้นมาสดๆ จากน้ำ เนื้อของมันร่วนเล็กน้อย แต่หนังเหนียว และมีกลิ่นบางอย่างที่ไม่ใช่กลิ่นคาว

ปลาหมอคางดำทอดร้อนๆ ในกระทะ
“จริงๆ แล้วมันต้องกำจัด แต่ถามว่ากินได้ไหม กินได้” ป้าช้อยบอกกับเรา
ก่อนจะกล่าวอย่างเสียดายว่า “ปลาหมอคางดำกิโลฯ ละ 2-4 บาท ป้าไปขายมันคุ้มไหมล่ะ กับปูกิโลฯ ละ 500 บาท กับปลากระพงกิโลฯ ละ 200 บาท ภาครัฐบอกว่า เผื่อจะไปทำเป็นธุรกิจ คิดได้ไง? ชาวประมงไม่เอาหรอกธุรกิจ อยากสังหารมันให้หมดไปด้วยซ้ำ”
เราจัดการปลาหมอคางดำไปได้ 4 ตัว แต่ก็น่าคิดต่อว่า แล้วอีกล้านๆ ตัวตามธรรมชาติ จะเป็นอย่างไรต่อไป