รู้ไหมว่าเราสามารถถูก Gaslight ในระดับการเมืองได้?
สมมติว่าวันหนึ่งเรากำลังเข้าร่วมขบวนประท้วงอย่างสันติวิธีที่เรียกว่า ‘การคว่ำบาตร’ แบนสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มทุนที่เรากำลังต่อต้าน งดเว้นการขายสินค้าและให้บริการพวกเขา หรือการขุดค้นประวัติที่หาได้ตามช่องทางสาธารณะของกลุ่มผู้มีอำนาจ ทั้งหมดนี้เพื่อตีแผ่ให้ผู้ร่วมขบวนหรือคนที่ผ่านไปผ่านมาเห็น เป็นการกระทำที่ไม่ได้ก่อให้เกิดภัยอันตรายหรือความรุนแรงในระดับบุคคล เป็นเพียงความต้องการกดดันเพื่อผลักดันความเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่าง สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้คงไม่เป็นที่พอใจจากกลุ่มที่ถูกคว่ำบาตร ซึ่งก็ถูกแล้วล่ะที่จะไม่พอใจ เพราะมันคือการประท้วงนี่!
พอประท้วงด้วยวิธีการแบบนั้นไปได้สักระยะก็เริ่มมีเสียงดังออกมา เสียงที่อาจจะมาทั้งจากฝั่งตรงข้ามหรือในขบวนด้วยกันเองว่า “เฮ้ ที่คุณกำลังทำนี่มันเท่ากับล่าแม่มดชัดๆ” ในจังหวะหนึ่งสั้นๆ เราอาจจะคล้อยตามกับคำพูดนั้น อาจจะเริ่มคิดว่าเราในฐานะคนกลุ่มใหญ่หนึ่งกลุ่ม กำลัง ‘แขวน’ คนอีกกลุ่มอยู่หรือเปล่า? หรือบางทีหรี่ตามองไกลๆ มันก็คล้ายกับการล่าแม่มดหรือเปล่านะ? เอ๊ะหรือว่าเราคือตัวร้ายของเรื่องนี้เหมือนกัน?
ถ้าคุณมีความรู้สึกเหล่านี้ นั่นคือคุณกำลังถูก Gaslight ในระดับการเมืองนั่นเอง เมื่อเราหรี่ตามองแล้วตัดทอนรายละเอียดและความซับซ้อนบางอย่างมากพอ สิ่งสิ่งหนึ่งอาจมีหน้าตาเหมือนกับอีกสิ่งหนึ่งได้เสมอ เช่นเดียวกันกับการคว่ำบาตรและการล่าแม่มด เมื่อเรามองโดยผิวเผินแล้ว 2 สิ่งนี้จะอาจจะถูกบิดเบือนให้เป็นสิ่งเดียวกันได้ แต่หากมองอย่างละเอียดแล้ว เรียกว่ามันทั้งคู่ต่างกันอย่างสุดขั้วเลยก็ว่าได้
ประวัติศาสตร์การคว่ำบาตร
ในขณะที่เราไม่อาจชี้ชัดได้แน่ว่า การประท้วงแบบคว่ำบาตรครั้งแรกเกิดขึ้นที่ไหน แต่เราสามารถรู้ที่มาของชื่อการกระทำนี้ว่า บอยคอตต์ (Boycott) โดยย้อนเวลากลับไปยังประเทศไอร์แลนด์เมื่อศตวรรษที่ 19 ช่วงที่ชาวนาไอร์แลนด์ต้องเช่าที่ดินทำกินของพวกเขา จากขุนนางอังกฤษผู้ถือครองที่ดินเหล่านั้น เหล่าขุนนางเป็นแลนด์ลอร์ดที่ไม่ได้อยู่ในประเทศด้วยซ้ำ แต่กลับเป็นเจ้าของที่ดินเกือบทั้งหมดในประเทศ แล้วเก็บค่าเช่าของชนพื้นเมืองผ่านตัวแทนผู้จัดการอสังหาริมทรัพย์ท้องถิ่นที่พวกเขาส่งเข้าไปในไอร์แลนด์
ปี 1888 เป็นปีที่ผลิตผลของเขตเมโยตกต่ำเป็นพิเศษ ขุนนางผู้ถือครองที่ดินจึงให้ตัวแทนฯ ของเขาอนุมัติลดค่าเช่าที่ดินลงจากเดิม 10% แต่กลุ่มชาวนาในพื้นที่เหล่านั้นคำนวณแล้วว่าไม่เพียงพอ จึงเรียกร้องให้ลดค่าเช่าที่ดินเพิ่มเป็น 25% ทว่าขุนนางผู้นั้นไม่ยินยอม ทั้งตัวแทนฯ ยังขู่จะไล่ที่ชาวนาในเขตนั้นจำนวน 11 คนออกจากพื้นที่ หลังจากนั้นองค์กรทางการเมืองที่ต้องการเปลี่ยนแปลงระบบที่ดินของไอร์แลนด์ ณ ขณะนั้นอย่างกลุ่ม Irish Land League จึงเข้ามามีส่วนร่วมในการเจรจา เพื่อช่วยให้ชาวนาได้เป็นเจ้าของที่ดินทำกินของตัวเอง
“หากใครเอาที่นาของคนถูกไล่ที่ไป ท่านจงหันหน้าหนีเขาเมื่อเดินเจอที่ไหล่ทาง หันหน้าหนีเมื่อเจอเขาในเมือง ไม่มองหน้าเขา เมื่อเขาเข้าร้านค้าของท่าน
รวมถึงในตลาด หรือแม้แต่ในโบสถ์ ตัดขาดให้เขาเหลือตัวคนเดียว
ตัดเขาออกจากสังคม จากประเทศทั้งประเทศ ทำราวกับว่าเขาเป็นพาหะเรื้อน
นั่นคือวิธีการที่เราสามารถบอกเขาได้ว่า เราขยะแขยงต่อการกระทำของเขา”
ชาร์ล สจวต พาร์แนล (Charles Steward Parnell) ประธาน Irish Land League กล่าว และทั้งหมดนั่นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวแทนฯ ของขุนนางอังกฤษในเขตเมโย
ตัวแทนฯ คนนั้นส่งข้อเขียนนี้ให้แก่สื่ออังกฤษ และยังอธิบายอีกว่าช่างตีเหล็กไม่ทำงานให้เขา ร้านซักผ้าไม่รับซักผ้าของเขา พนักงานไปรษณีย์หยุดส่งจดหมายของเขา และร้านค้าก็เลิกขายของให้แก่เขาทั้งสิ้น ทั้งหมดนี้เป็นการกระทำของคนพื้นเมืองเพื่อแสดงถึงความไม่พอใจที่มีต่อขุนนาง สื่อสารผ่านตัวแทนฯ คนนี้ จนท้ายที่สุดเมื่อเวลาผ่านไป เขาก็จำต้องออกจากไอร์แลนด์ไป ซึ่งเขาคนนั้นมีชื่อว่า ชาร์ล คันนิงแฮม บอยคอตต์ (Charles Cunningham Boycott)
เรื่องราวข้างต้นนี้นอกจากจะบอกที่มาของชื่อแล้ว มันยังเป็นการวาดภาพที่ชัดเจนเกี่ยวกับรูปแบบและจุดมุ่งหมายเบื้องหลังการคว่ำบาตรอีกด้วย เป็นรูปแบบการเรียกร้องที่แตกต่างจากการล่าแม่มด เพราะมันไม่ได้เกิดขึ้นโดยมีศาสนจักรหรือรัฐบาลอยู่เบื้องหลัง แต่การคว่ำบาตรถือเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากคนหมู่มากในสังคมรวมตัวกัน เพื่อแสดงพลังไปสู่ผู้ที่กุมอำนาจสูงสุดอยู่ และเป็นไปเพื่อเรียกร้องความเปลี่ยนแปลงและความยุติธรรมต่างหาก
ศตวรรษที่ 21 และวาทกรรมฝ่ายอำนาจนิยม
การบอยคอตต์หรือการคว่ำบาตร เติบโตและแพร่กระจายออกไปทั่วโลก ตั้งแต่การเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิพลเมืองของชาวแอฟริกันอเมริกัน ไปจนถึงขบวนการเพื่อเรียกร้องเอกราชของอินเดีย มาจนถึงแคมเปญ #แบน… อะไรก็ตามในปัจจุบัน การประท้วงผ่านการคว่ำบาตรมาเพื่ออยู่ และจะยังคงอยู่ต่อไป อย่างไรก็ดี การมาถึงของโซเชียลมีเดียนั้น ก็กระทบต่อรูปร่างและรูปทรงของการเคลื่อนไหวรูปแบบนี้ ทั้งในแง่บวกและลบ
หนึ่งในรูปแบบปัจจุบันที่สุดของการคว่ำบาตร คือการแคนเซิล (Cancel) หรือการคว่ำบาตรผ่านโซเชียลมีเดีย ซึ่งเชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะกลอกตาใส่ทันทีเมื่อได้ยิน เนื่องจากบทสนทนาถกเถียงรอบๆ ประเด็นนี้ อาจจะเป็นสิ่งน่าปวดหัวที่สุดหนึ่งอย่างเมื่อเราได้ร่วมวง แต่การแคนเซิลเองก็ถือเป็นการเคลื่อนไหวที่มีพลังมาก เพราะมันเกิดขึ้นในที่ที่เราได้ยินเสียงของคนจำนวนมากในโลกเท่าๆ กันผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ และนั่นก็พาให้การคว่ำบาตรเข้าถึงผู้คนหลายกลุ่มมากขึ้น และนำมาสู่ปัญหาที่หลากหลายเช่นกัน
ยิ่งกว้างขวางก็ยิ่งแปลว่าผู้คนสามารถนำวิธีเหล่านี้ไปใช้ได้มากขึ้น เมื่อเราคิดว่าทุกคนมีเสียงเท่าๆ กันในโซเชียลมีเดีย เราจะแคนเซิลใครเมื่อไรก็ได้ แต่ทุกครั้งสำหรับการแคนเซิลถูกนำไปใช้ในเรื่องที่เบื้องหลังไม่มีน้ำหนักมากพอ การตั้งคำถามเกี่ยวกับความชอบธรรมของมันก็จะเกิดขึ้น ซึ่งช่องโหว่เหล่านั้นเองก็อาจเป็นพื้นที่ของฝ่ายที่มีอำนาจจำนวนมาก ใช้วาทกรรมโจมตีตั้งแต่การแคนเซิลไปจนถึงธรรมชาติของการคว่ำบาตรเอง
“มีแต่วัยรุ่นเหลือขอกับเด็กดื้อ”
“บอยคอตต์ไปก็ไม่มีใครสนใจหรอก ไม่มีวันได้ผล”
“นี่มันคือการล่าแม่มดชัดๆ”
ข้อความข้างต้นคือวาทกรรมที่มักถูกกล่าวขึ้นมา เพื่อลดทอนคุณค่าของการเคลื่อนไหวรูปแบบดังกล่าว บ่อยครั้งก็เพื่อพยายามวาดภาพใหม่ให้ตัวเองเป็นเหยื่อ โดยเฉพาะการนำไปเปรียบเทียบกับการล่าแม่มด
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของประเด็นนี้คือ การมีอยู่ของพอดแคสต์ The Witch Trial of J.K. Rowling ที่วางภาพให้นักเขียนนิยายชุดแฮร์รี่พอตเตอร์ เป็นเหยื่อของการล่าแม่มดจาก “พวกโวค” (Woke) ว่าเป็นการออกความคิดเห็นเกี่ยวกับความปลอดภัยของเยาวชนเฉยๆ ทั้งๆ ที่รูปแบบของความเห็นของเธอนั้นถือเป็นภัยต่อการใช้ชีวิตและสิทธิของกลุ่มคนข้ามเพศโดยรวม
หากมองไปถึงแก่นของการเคลื่อนไหวเหล่านี้ สิ่งที่จำเป็นต้องคำนึงถึงอย่างมากคือ มิติทางอำนาจที่แตกต่างกันระหว่างการคว่ำบาตรกับการล่าแม่มด
มิติทางอำนาจอันแตกต่าง
การล่าแม่มดอันเป็นที่รู้จักและถูกเปรียบเทียบเข้ากับการคว่ำบาตร คือการล่าแม่มดในยุโรปและอเมริกา เมื่อศตวรรษที่ 15-18 ว่าด้วยความเชื่อเกี่ยวกับแม่มดนั้น เกิดจากพระสันตะปาปาให้อำนาจแก่ไฮนริค คราเมอร์ (Heinrich Kraemer) ผู้สอบสวนของศาสนจักร เพื่อตามหาและทำลายบุคคลผู้ได้รับพลังอำนาจมาจากปีศาจ ซึ่งบุคคลเหล่านั้นถูกจะเรียกว่า แม่มดหรือพ่อมด เขาเผยแพร่ความเชื่อและความชอบธรรมในการล่าและคร่าชีวิตแม่มดอย่างโหดร้าย ผ่านการเขียนและตีพิมพ์หนังสือชื่อ Malleus Maleficarum หรือที่แปลว่า ค้อนทุบแม่มด หนังสือเล่มนี้ยังได้สร้างอิทธิพลความเกลียดชัง และสร้างหนังสือแบบเดียวกันออกมาอีกมากมาย ซึ่งทำให้ความเกลียดกลัวแม่มดพุ่งทะยานขึ้นไปอีก
กระบวนการของการล่าแม่มด เริ่มจากสถานการณ์ย่ำแย่บางอย่างในพื้นที่ที่ผู้คนอาศัยอยู่ อาจจะเป็นการเก็บเกี่ยวที่ได้ผลไม่ดีพอ ปศุสัตว์ป่วยและล้มตาย การตายของเด็กแรกเกิด หรือความกลัวที่เกิดขึ้นมาจากโฆษณาชวนเชื่อของคริสตจักร ที่ทำให้ชาวบ้านพากันกล่าวหาใครสักคน แล้วนำไปสู่การจับกุมตัวคนคนนั้น เพื่อสืบสวนสอบสวนด้วยการทรมาน และผลจากการทรมานนี้เองก็นำไปสู่การยอมรับ รวมถึงการชี้เป้าไปยังคนอื่นๆ แล้วจึงเข้ารับการพิพากษา ก่อนจะนำไปประหาร ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นและกระทำโดยผู้ปกครองท้องถิ่น ซึ่งเป็นผู้กุมความชอบธรรมทางศาสนา
หากเราไปลองดูหน้าตาของเหล่าพ่อมดหรือแม่มดในสื่อกระแสหลักปัจจุบัน เราจะเห็นว่าหน้าตาของเหยื่อจากการล่าแม่มดในหนังสือของคราเมอร์กล่าวว่า ผู้หญิงมีโอกาสจะถูกปีศาจชักจูงง่ายกว่า คนชายขอบ เช่น คนแก่ คนจน หรือคนที่ไร้ญาติขาดมิตร ก็มักจะตกเป็นคนต้องสงสัยก่อน
สิ่งที่เราได้จากการชำแหละการล่าแม่มดออกมาเช่นนี้ คือความแตกต่าง เมื่อเรานำมันไปเปรียบเทียบกับการคว่ำบาตรทำให้เห็นว่า ส่วนสำคัญของการล่าแม่มด ไม่ใช่ความต้องการต่อสู้กับอำนาจใหญ่ แต่เป็นการที่อำนาจใหญ่ทำหน้าที่ลงทัณฑ์ผู้คน เพื่อสร้างความไม่ไว้วางใจต่อกันและกันแก่คนในสังคม สร้างคนชายขอบให้กลายเป็นแพะรับบาป เพื่อจะได้ไม่ต้องแก้ไขปัญหาปากท้อง และสร้างสังคมที่เต็มไปด้วยความกลัว เพราะความกลัวทำให้การปกครองนั้นง่ายขึ้นใช่หรือไม่?
แม้ว่าวิธีการจะเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ลักษณะของการล่าแม่มดในยุคปัจจุบันนั้นดูได้จากอำนาจที่พวกเขาถือ การเคลื่อนไหวต่างๆ ถูกหนุนโดยผู้ที่กุมหนทางการลงโทษอยู่หรือเปล่า? ความเชื่อและสิ่งที่พวกเขาเชื่อ คือการกดทับคนหมู่มากของสังคมหรือไม่? ความรุนแรงที่เกิดขึ้นต่อผู้ถูกกระทำอยู่ในระดับไหน? และแนวคิดที่อยู่เบื้องหลังการล่าแม่มดเหล่านั้น เชื่อมโยงเข้ากับกลุ่มอำนาจนิยมหรือไม่?
จึงเห็นได้ว่าการคว่ำบาตรและการล่าแม่มดวางอยู่ตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง ด้วยจุดกำเนิดที่ต่างกัน วิธีการที่ต่างกัน อำนาจที่ต่างกัน แต่ที่ต่างกันมากที่สุดอย่างหนึ่งคือ จุดมุ่งหมายของมัน การล่าแม่มดถือเป็นการใช้ความเกลียดกลัว เพื่อคงไว้ซึ่งสถานการณ์ปัจจุบัน
ทว่าการคว่ำบาตร คือการรวมตัวกันเพื่อส่งเสียงบอกเจตจำนงบางสิ่งของคนจำนวนหนึ่ง ที่เพียงตัวคนเดียวอาจเสียงดังไม่พอ เป็นเสียงที่หากใครได้ยินก็มักนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเพื่อส่วนรวม
อ้างอิงจาก