กลายเป็นประเด็นใหญ่เมื่อตั้งฮกกี่ บะหมี่กวางตุ้งร้านบะหมี่ชื่อดังย่านโชคชัย 4 ถูก นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้ก่อตั้งองค์กรเก็บขยะแผ่นดิน และผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฏวัฒนะกล่าวหาว่าเป็นบะหมี่ ‘อริราชศัตรู’ และเรียกร้องให้ภาครัฐเข้าไปตรวจสอบร้านดังกล่าวว่ามีการหลบเลี่ยงภาษีหรือไม่ ทาง The MATTER ได้ติดต่อพูดคุยกับ อาร์ตและเกด สองเจ้าของร้านถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“เราคิดว่าการล่าแม่มดแบบนี้ มันควรจะหมดไปสักที เราไม่อยากให้ใครมาโดนแบบเราอีก เราไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมายเลย เราแค่เห็นต่างทางการเมือง แต่ถูกคนที่มีอิทธิพลระดมกำลังมาข่มขู่เรา มันไม่ยุติธรรมกับเราเลย” เกดหนึ่งในเจ้าของร้านตั้งฮกกี่กล่าว
สองเจ้าของร้านบะหมี่ตั้งฮกกี่เราให้ฟังว่า แรกเริ่มทางร้านก็ใช้โซเชียลมีเดียเพื่อโพสต์ขายบะหมี่ตามปกติ แต่เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ของโรค COVID-19 และมาตรการรับมือของรัฐบาลทำให้ “ร้านเกือบเจ๊ง” ทางอาร์ตจึงเริ่มออกมาวิจารณ์รัฐบาลผ่านทางเฟซบุ๊กของร้าน
อาร์ตยอมรับว่า โดยส่วนตัวเขาสนับสนุนขบวนการเคลื่อนไหวทางประชาธิปไตยอยู่แล้ว และเคยสนับสนุนข้าวกล่องส่งไปให้ม็อบเป็นประจำ แต่ก็ไม่เคยมีปัญหา จนกระทั่งเขาได้ส่งบะหมี่ไปให้พิธีกรช่อง Spookdark TV ที่เขาเป็นแฟนคลับ และเริ่มโพสต์แจกพวงกุญแจ ที่เหมามาจากผู้ต้องหาคดี 112 รายหนึ่ง ซึ่งนำมาขายเพื่อหาทุนต่อสู้คดี .
การคุกคามก็เริ่มขึ้น..
อาร์ตเล่าว่า ตั้งแต่ทางร้านแสดงจุดยืนทางการเมือง เริ่มมี IO เข้ามาป่วนทั้งในช่องคอมเมนท์ และข้อความในแชทเฟซบุ๊ก ซึ่งบางครั้งได้รับมากกว่า 1,000 ข้อความ/ วัน อย่างไรก็ตาม ทางร้านและตัวเขาก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร เพียงปล่อยผ่านไป อ่านบ้าง ไม่อ่านบ้าง
จนถึงเหตุการณ์ล่าสุด ซึ่งทางอาร์ตได้โพสต์รูปตัวเองที่ใส่ยูนิฟอร์มของทางร้าน ซึ่งเผอิญเป็นสีดำพอดี แล้วใส่ข้อความว่า “เสื้อตัวนี้สีเหลือง” ทำให้ นพ.เหรียญทอง นำภาพดังกล่าวไปแชร์และแปะป้ายว่า นี่เป็นบะหมี่ล้มเจ้า
“ต้องขอชี้แจงว่า เสื้อสีดำมันเป็นยูนิฟอร์มของร้าน ตลอด 365 วันเราก็ใส่สีดำอยู่แล้ว และด้วยความกวนก็เลยไปใส่ข้อความ “เสื้อตัวนี้สีเหลือง” บนรูป แค่นี้เองก็โดนข้อหาแล้ว” เกดชี้แจง
เกดเล่าต่อว่าตั้งแต่เริ่มมีประเด็นดังกล่าว ทางครอบครัวของทั้งสองก็แสดงความเป็นห่วง เพราะกลัวจะถูก “อำนาจมืด” รังแกทั้งคู่เอาได้ เกดเสริมว่า มันทำให้เธอทั้งคู่เริ่มหวาดกลัวเช่นกัน เพราะมีบางคนที่เริ่มข่มขู่ทางกายภาพ เช่น มาถ่ายภาพหน้าร้านแล้วโพสต์ลงโซเชียลมีเดียพรัอมข้อความ อาทิ ‘ให้เผาเลยไหม?’ หรือ ‘อยากกินบะหมี่เลือดเจ้าของ’
วันนี้ทั้งคู่จึงปิดร้านหนึ่งวันเพื่อเดินทางไปพบทนายแล้วแจ้งความดำเนินคดี นพ.เหรียญทอง และสำนักข่าว Top News ซึ่งนำเสนอข้อความของ นพ.เหรียญทอง พร้อมเขียนว่า “บะหมี่ชังเจ้าไม่สำนึก” ในข้อหาหมิ่นประมาทเชิงโฆษณา ซึ่งทางเกดเล่าว่า
“ที่เราต้องการฟ้องเพราะเราต้องการป้องกันตัว เราไม่อยากมีเรื่องกับใคร แต่การแขวนเราแบบนี้ก็ไม่ถูก มันเกินไป เราถูกรังแกถูกกล่าวหาว่าล้มเจ้า แล้วเรายังโดนขู่ถึงขั้นว่ามีคนมาถ่ายรูปหน้าร้านเราและโพสต์ว่า “ให้เผาเลยไหม?” หรือ “อยากกินบะหมี่เลือดเจ้าของ มันเกินไป”
“เราต้องการฟ้องเพื่อให้เขารู้ว่าเขาทำแบบนี้กับทุกคนที่เห็นต่างไม่ได้ ในเมื่อเราค้าขายปกติ ทำธุรกิจถูกต้องตามกฎหมาย แม้การแสดงความเห็นของเราอาจไม่ถูกจริตบางคน แต่กลายเป็นว่าเราต้องอยู่อย่างหวาดกลัวหรอ มันไม่ยุติธรรม” เกดระบุ
ทั้งคู่ยืนยันว่า ไม่เสียใจที่ทางร้านแสดงจุดยืนทางการเมือง เพราะนอกจากทั้งคู่คิดว่ามันเป็นเสรีภาพที่จะวิจารณ์การทำงานของรัฐบาลแล้ว มันยังทำให้ยอดขายดีขึ้นด้วย
“สำหรับผม ผมก็แค่คิดว่าฝ่ายอวยเผด็จการแล้วเปิดร้านอยู่ยังไม่เขินเลย แล้วทำไมคนที่อวยประชาธิปไตยต้องเขินด้วย เราก็เลยเปิดตัวไปเลย” อาร์ตเล่าแกมขำขัน
“ส่วนตัวเราทั้งคู่ไม่ได้เสียใจกับสิ่งที่แสดงออกมานะ ถ้าเราต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยความกลัวแบบนี้ หรือส่งต่อความกลัวแบบนี้ให้ลูกหลาน มันไม่ต่างจากการตายไปแล้ว เราใช้ชีวิตด้วยความกลัวทุกวัน ทั้งที่เราไม่รู้ว่าเรากลัวอะไรอยู่ ถ้าเราจะกลัวแบบนี้ต่อไป เขาก็จะปิดตา ปิดปาก ปิดหูเรา และส่งต่อสังคมที่อยู่ใต้เผด็จการแบบนี้ต่อไปให้ลูกหลาน อย่างงั้นหรือ?” เกดแสดงความเห็นบ้าง
อาร์ตเสริมว่า ถ้าวันพรุ่งนี้ กลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับเขามาที่หน้าร้าน ในฐานะเจ้าของร้านอาหาร เขาก็ยังเต็มใจบริการพวกเขาอยู่ดี พร้อมแนะนำเมนูเด็ดว่าคือ ‘เกี๊ยวทรงเครื่อง’
“ทางร้านยึดหลักคนเท่ากัน ใครมาทานอาหารที่ร้านเราก็ดูแลเท่ากัน และขอแนะนำเกี๊ยวทรงเครื่อง ร้อนๆ ออกมาจากห้องอบเลย รสชาติเผ็ดมันมาก คิดว่าคุณหมอจะชอบนะ เพราะทางร้านทำอาหารด้วยใจครับ เต็มที่ทุกเมนู” อาร์ตทิ้งท้าย