“สวัสดีค่ะ ทางเราได้รับข้อมูลมาว่า ชื่อของคุณ มีการกระทำผิดกฎหมาย โปรดเร่งตรวจสอบ โดยการแอดไลน์…”
“จากบริษัทขนส่ง เรียนแจ้งว่า พัสดุของคุณค้างอยู่ที่จังหวัด… โปรดกดยืนยันผ่านทางลิงค์…”
“คุณกำลังพูดสายอยู่กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ขอแจ้งให้ทราบว่าคุณมีชื่อในคดีฉ้อโกง หากไม่สะดวกมารายงานตัวกรุณาแจ้งผ่านลิงก์…”
ข้อความข้างต้นนี้ เรามักจะพบเจอหรือได้ยินอยู่บ่อยๆ ผ่านทางโทรศัพท์ ไม่ว่าจะในข้อความหรือสายที่โทรเข้า แม้ว่าจนแล้วจนเล่าประเทศไทยก็ยังหาวิธีแก้ปัญหานี้อย่างเด็ดขาดไม่ได้เสียที แถมปัญหาคอลเซ็นเตอร์นี้ ไม่ได้หยุดอยู่แค่การถูกหลอกให้โอนเงินอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวโยงไปถึงกระบวนการค้ามนุษย์ระดับโลกที่มีหลายประเทศเข้ามาเกี่ยวข้องอีกด้วย
บ่ายวันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568 สส.พรรคเป็นธรรม ‘กัณวีร์ สืบแสง’ ที่อดีตเคยทำงานกับสำนักความมั่นคงกิจการชายแดนและการป้องกันประเทศ The MATTER ชวนเขามาแลกเปลี่ยนมุมมอง ถึงกระบวนการทำงานของรัฐไทยที่ถูกคาดหวังให้แก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง โดยเขาเริ่มเล่าถึงสถานการณ์ในเมียนมา
“สถานการณ์ ณ ปัจจุบัน เราจะเห็นเหมือนกับมีคนแข่งขันกัน โดยเฉพาะกองกำลังชาติพันธุ์ 2 กลุ่ม คือ BGF (กองกำลังพิทักษ์ชายแดน – Border Guard Forces) กับ DKBA (กองทัพกะเหรี่ยงพุทธประชาธิปไตย – Democratic Karen Buddhist Army) ซึ่งล่าสุดทาง DKBA ได้ประสานตรงมา ว่ามีอีก 317 ชีวิตที่เขาได้เข้าไปช่วยเหลือจากเงื้อมมือของบอสจีนต่างๆ จากที่ควบคุมของเขา และเขาก็พยายามจะส่งตัวกลับมา แต่ต้องมีการประสานงานกับทางรัฐบาลไทย
ท่านผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีนก็เข้ามาในประเทศไทย และก็มีการข้ามชายแดนเข้าไปฝั่งเมียนมา มีความเป็นไปได้ที่จะนำตัวคน 200 ชีวิต กลับไปประเทศจีนโดยตรง โดยเร็ว โดยไม่ผ่านกระบวนการและกลไกต่างๆ ในการพิจารณากฎหมายไทย” กัณวีร์เริ่มเล่า
ซึ่งอันนี้น่าเป็นห่วงจริงๆ ถ้าสมมติว่าถ้ารัฐบาลจีนสามารถทำได้อย่างนั้น เราจะขาดตอนไปเลย การสืบสวน สอบสวนเกี่ยวกับกลุ่มของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พวกออนไลน์สแกมเมอร์ รวมถึงกระบวนการนำพา ค้ามนุษย์ —กัณวีร์ สืบแสง

Photographer: Channarong Aueudomchote
กัณวีร์ บอกว่า มาตรการตัดไฟฟ้า ตัดน้ำมัน รวมถึงสัญญาณโทรศัพท์ สัญญาณอินเตอร์เน็ต มันเป็นการทำให้ธุรกิจฝั่งเมียนมาสะดุดหนักเพราะเป็นยาแรง ที่แม้จะช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าระยะสั้นได้ แต่ในระยะยาวต้องมีมาตรการเพิ่มเติม เพื่อแก้ปัญหาในเชิงลึกด้วยเช่นกัน
“ยาแรงต้องเข้าใจนะ ยาแรงหมายถึงตัวอย่างเช่น เรามีโรคผิวหนัง เป็นแผลที่ผิวหนัง เราไปใช้สเตียรอยด์ พอเราไปทาสเตียรอยด์มันระงับ ทำให้แผลมันหยุด แต่พอเราหยุดการใช้ยาแรงเข้าไปแผลมันก็จะลาม เพราะฉะนั้น การใช้ยาแรงมันคือการใช้ยาที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่ต้นตอได้” กัณวีร์กล่าว
กัณวีร์แย้งว่า นักธุรกิจเหล่านี้มีการเตรียมพร้อมไว้ก่อนแล้ว ขณะที่รัฐบาลไทยเองก็ได้ให้เวลาพวกเขาเตรียมตัวนานถึง 13 วัน ซึ่งนั่นหมายความว่าแม้ธุรกิจของพวกเขาจะสะดุด แต่ก็ยังเดินหน้าต่อได้ แน่นอนว่าธุรกิจคาสิโน และการหลอกลวงคนยังคงดำเนินต่อไปเช่นกัน
“เขาทราบแล้วว่ารัฐบาลไทยต้องตัดแน่ แต่การใช้ระยะเวลาทั้งหมด 13 วัน ตั้งแต่วันที่ 24 มกราคมถึงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ วันที่เราตัดไฟจริงคือวันที่ 5 กุมภาพันธ์ เราใช้เวลา 13 วันในการบอกเขาเป็นการ ‘เตือน’
“นักธุรกิจเขามีการเตรียมความพร้อม การลงทุนของเขาเป็นแสนๆ ล้าน เขาคงไม่ทำให้ธุรกิจของเขาสะดุดนานเกินไป ซึ่งพวกเขาไม่ได้มีแค่เครื่องปั่นไฟที่ใช้น้ำมันอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงแรงดันน้ำ และถ่านด้วย ทำให้เห็นว่าพวกเขายังสามารถทำงานกันได้ทั้งคาสิโน และออนไลน์ต่างๆ” กัณวีร์เล่า

Photographer: Channarong Aueudomchote
นอกจากยาแรงจากไทยแล้ว ยังมียาแรงจาก ‘จีน’ ที่สะท้อนถึงการทำงานของรัฐบาลไทย ที่ให้ประเทศอื่นใช้ตนเป็นสะพานข้ามไป-ข้ามมา จนเกิดเป็นคำถามที่ว่า แล้วรัฐไทยทำอะไร รวมถึงไทยเองอยู่ตรงไหนของปัญหานี้กันแน่?
กัณวีร์ กล่าวว่า รัฐบาลจีนส่งตัวคนคนนี้มา ซึ่งพอเข้ามาที่ไทย ก็ได้ข้ามไปฝั่งเมียนมา ขณะที่ชายแดนไทย-เมียนมาได้อนุญาตให้คน 2 สัญชาติข้ามไป-มาเท่านั้น แต่คนจีนคนนี้เป็นคนสัญชาติจีน ซึ่งถ้าอิงตามกฎแล้วคือไม่ได้รับอนุญาตจากทั้งฝั่งไทยและเมียนมา
“แต่เขาได้รับการยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ เขาเป็นแขกของฝั่งไทยที่ข้ามไปทำงาน ก็เลยมีการยกเว้น เขาก็ไม่ผิดกฎหมาย ซึ่งนี่เป็นคำชี้แจงของกระทรวงกลาโหมของไทย…แต่มันมีเครื่องหมายคำถามเต็มไปหมด ว่าแล้วรัฐมนตรีของไทยทำอะไรไม่ได้เหรอ?”
ทำไมต้องไปพึ่งรัฐมนตรีจีน เรามีศักยภาพเพียงพอหรือไม่ หรือเราไม่มี หรือเราไม่รู้ ว่าจะต้องคุยยังไงถึงจะสามารถแก้ไขปัญหาในพื้นที่ชายแดนของเราได้—กัณวีร์ สืบแสง
กัณวีร์มองว่า สิ่งนี้เป็นอธิปไตยของประเทศไทย สำหรับประเทศเพื่อนบ้านก็จำเป็นต้องใช้นโยบายการต่างประเทศในการแก้ไขปัญหา ทั้งนโยบายความมั่นคงบริเวณชายแดน นโยบายการต่างประเทศในประเทศเพื่อนบ้าน และตั้งคำถามว่าทำไมไทยถึงยืมมือจีนมาใช้ ประเทศไทยหมดบทบาทแล้วหรือ?

Bangkok, Thailand – November 4 2018
แปลว่ารัฐไทยอ่อนแอ?
“เราอ่อนแอทางด้านนโยบาย เราอ่อนแอเรื่องเกี่ยวกับศักยภาพความรู้ในเชิงพื้นที่ เราไม่ทราบว่าตัวละครที่เราจำเป็นต้องพูดคุยเป็นใครบ้าง หรือเราทราบแต่เราไม่อยากคุย? ซึ่งพอทำแบบนี้ ความอ่อนแอเชิงนโยบายมันแสดงให้ประชาชนเห็นว่าเรายอมรับคนอื่น มากกว่ายอมรับตัวเราเอง”
สส.พรรคเป็นธรรม อธิบายว่า จริงๆ แล้วรัฐมีความแข็งในเชิงอำนาจอยู่ คือรัฐราชการของประเทศไทย อยู่มาเป็นระยะเวลาน่าจะเกินสองศตวรรษ ก็น่าจะเกิน 200 ปีแล้ว แต่ปัญหาคือความใหญ่โต ความอุ้ยอ้ายของรัฐราชการไทย ประกอบกับความอ่อนแอทางสถาบันการเมือง ในการที่ไม่สามารถเอาคนที่มีศักยภาพเข้ามากุมบังเหียนได้
“พอรัฐไทยไม่สามารถอ่อนตัวได้ ความแข็งตัวที่อยู่มาสองศตวรรษแล้ว มันทำให้เราไม่สามารถปรับตัวเผชิญสถานการณ์เพื่อตอบรับสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที” กัณวีร์ตอบ

Photographer: Channarong Aueudomchote
รัฐไทย = ตัวกลาง?
“ต้องเข้าใจว่าตอนนี้อาชญากรรมข้ามชาติ เราไม่ได้ดีลกับมาเฟียในระดับท้องที่ เราไม่ได้ดีลกับระดับประเทศเท่านั้น แต่ที่เราพูดอยู่คือมาเฟียระดับโลก มาเฟียที่อยู่ในหลายหลายประเทศ เราเห็นเลยว่าใน 260 คน มาจาก 20 ประเทศ อย่างน้อยต้องมีมาเฟีย 20 ประเทศที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ตรงนี้ ในการนำพาคนมาจากประเทศต้นกำเนิด ผ่านเข้ามาในประเทศไทย”
กัณวีร์ ตั้งข้อสังเกตว่า จริงอยู่ที่บริเวณชายแดนทั้งหมดกับเมียนมานั้น มีช่องทางตามธรรมชาติเยอะแยะมากมาย ที่สามารถนำพาคนจากประเทศต่างๆ ข้ามไปประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายมาก แต่ทำไมเจ้าหน้าที่ของไทยถึงปล่อยให้คนต่างชาตินับหมื่นคน ถูกอาชญากรข้ามชาตินำตัวไปอีกฝั่งได้อย่างง่ายดาย
ลองคิดดูว่าเราพูดถึงคนต่างชาติจำนวนมากกว่า 2- 3 หมื่นคน หรืออาจจะถึง 60,000 คนที่ข้ามชายแดนไทยไปฝั่งนู้น 60,000 คนนี่ใหญ่นะครับ มากกว่าเป็นอำเภออำเภอหนึ่ง เดินข้ามชายแดนไป จะไม่รู้เลยเหรอ?—กัณวีร์ สืบแสง
คอลเซ็นเตอร์นำหน้าหลายก้าวเสมอ
กัณวีร์มองว่า แม้ว่าเราจะสามารถปราบปรามได้ แต่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็จะโยกย้ายไปที่อื่นอยู่ดี ซึ่งการโยกย้ายกระจายตัวนี้ มีอยู่ตลอดอยู่แล้วเป็นปกติ
“เพราะตอนนี้มันเริ่มขยายจากกัมพูชาไปอยู่ติดกับชายแดนกัมพูชา-เวียดนามเรียบร้อยแล้ว และมันจะไหลไปเรื่อยๆ ซึ่งจะปราบยังไงมันต้องใช้ความร่วมมือระหว่างประเทศ
“และถ้าเราจะพูดจริงๆ ว่า ‘ประเทศไทย’ เรามีหรือไม่ อันนี้ก็น่ากลัว เพราะว่าการใช้พวกออนไลน์มันสามารถดึงสัญญาณจากที่อื่นได้ เพราะฉะนั้น ถ้าจะตามก็ต้องตามเขาให้ทัน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะตำรวจไซเบอร์ งานด้านข่าวกรองก็ต้องจำเป็นที่จะต้องติดตาม” สส.รายนี้กล่าว
เราต้องล้ำหน้าเขาไปสักก้าวหนึ่ง แต่ปัจจุบันเราตามหลังเขาอยู่ 3-4 ก้าว มันต้องทำตัวให้เร็วขึ้น คิดออกนอกกรอบให้ได้ จะได้ตามเขาทัน—กัณวีร์ สืบแสง
นอกจากไทยจะตามหลังอาชญากรแล้ว มาตรการของรัฐเองก็ยังคงคลุมเครือ ซึ่งกัณวีร์มองว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องทำให้ชัดเจนด้วย
“เราทำงานแบบตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น มากกว่าที่จะเป็นคนวางแผน มากกว่าเป็นคนที่มองว่ามันจะเกิดสถานการณ์อะไร เราต้องไปวางมาตรการต่างๆ เหล่านี้ให้ชัดเจนตลอดเวลา เพราะอาชญากรรมข้ามชาติมันไม่ใช่แค่เรื่องความมั่นคงอย่างเดียว
“นอกจากนี้ มาตรการของรัฐไทยที่จำเป็นต้องมีด้วยคือเรื่องเกี่ยวกับการเยียวยาเหยื่อการค้ามนุษย์ หลังจากที่ช่วยคนมาแล้ว ก็มีการพูดออกมาจากทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่ามีแค่ 1% ที่เป็นเหยื่อนอกนั้นไม่ใช่เหยื่อ ทำไมต้องมีการชี้นำขนาดนั้น? เราต้องมีการทบทวนมาตรการ การชี้นำข้อมูลของกลไกที่ยังไม่สำเร็จเสร็จสิ้นสามารถทำได้หรือไม่ควรทำ เราต้องมีมาตรการและนโยบายออกมาให้ชัดเจน”

Sathon, Bangkok, Thailand – October 30, 2020
เมื่อประเทศไทยกลายเป็นทางผ่านที่เหมาะที่สุด?
“เราเป็นประเทศทางผ่าน ที่อุณหภูมิเหมาะสมที่สุด ณ ปัจจุบัน หมายความว่าสามารถเข้าประเทศไทยได้ง่าย และก็สามารถเคลื่อนไหวได้ฟรีวีซ่าไปที่ไหนก็ได้ มาตรการต่างๆในการติดตามฟรีวีซ่านักท่องเที่ยวก็ไม่มี แต่พูดแบบนี้ก็ไม่ได้ปฏิเสธการฟรีวีซ่า เพราะเป็นนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของไทย เพียงแต่ว่ามาตรการตรงนี้ต้องถูกทบทวนหรือไม่” กัณวีร์ ให้ข้อสังเกต
นอกจากนั้น เขายังมองว่า ถ้าทางการไทยจะให้มีฟรีวีซ่า ก็ควรมีมาตรการติดตามนักท่องเที่ยวว่าไปอยู่ที่ไหน รวมถึงการจัดทำโซนนิ่งบริเวณชายแดน ที่ควรนำมาถกเถียงกันว่า ควรมีหรือไม่ เนื่องจากไทยเป็นตัวกลางทางผ่านของปัญหานี้อย่างชัดเจน
“การทบทวนมาตรการ มันเหมือนๆ กับการที่เรามีหนังสืออยู่ในมือ สมมติว่าเวลาเกิดเหตุเราก็เปิดหนังสือ เมื่อเห็นว่าเราต้องทำอะไร มีแนวทางปฏิบัติอย่างไรแล้ว มันต้องควบคู่ไปกับการฝึกฝน และทำงานร่วมกับภาคประชาชนด้วย ช่วยกันเป็นหูเป็นตา เพราะแค่หน่วยงานรัฐอย่างเดียวมันไม่พอ ด้วยกำลังคนที่น้อยกว่า ดังนั้น การดึงภาคประชาชนให้เข้ามามีส่วนร่วมด้วย เป็นสิ่งที่ดี”