“มันเป็นการทำลายเงินเก็บของคนมหาศาล และเป็นคนในเจเนอเรชันที่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินเก็บสะสมเหล่านี้ เพื่อที่เขาสามารถที่จะอยู่รอดได้ กับคนซึ่งอยู่ในเจนฯ ที่ต้องการเงินไปประกอบการหรือลงทุนเพื่อสร้างธุรกิจหรือสร้างฐานะตัวเอง”
ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติที่เกิดจาก ‘เมืองสแกมเมอร์’ เริ่มก่อตัวให้เห็นเป็นรูปเป็นร่างนับตั้งแต่ช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 เป็นต้นมา ในพื้นที่ตามชายแดนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ว่าจะในเมียนมา ลาว หรือกัมพูชา เมื่อธุรกิจคาสิโนในพื้นที่เหล่านี้ได้รับผลกระทบจากโรคระบาด จึงส่งผลให้กลุ่มทุนสแกมเมอร์ ซึ่งนับว่าเป็น ‘ทุนจีนสีเทา’ เติบโตอย่างก้าวกระโดด
อะไรคือสาเหตุเชิงโครงสร้างที่นำมาสู่การแผ่ขยายของแก๊งสแกมเมอร์? พวกเขาทำงานกันอย่างไร? ผลกระทบที่เกิดขึ้นคืออะไรบ้าง? และอะไรคือการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน?
The MATTER พูดคุยกับ ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี ศาสตราจารย์จากภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เมื่อเร็วๆ นี้เธอยังเพิ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาแนวทางการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหาขบวนการค้ามนุษย์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์และบัญชีม้า โดยประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร
ในวันที่ปัญหาเหล่านี้ยังร้อนระอุ และส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศอย่างแท้จริง ชวนไปสำรวจและกะเทาะปัญหาพร้อมๆ กัน

ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี (ขอบคุณภาพจาก ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่)
มีคีย์เวิร์ดหลายคำที่เราพูดถึงกัน ไม่ว่าจะเป็น ‘ทุนจีนสีเทา’ ‘พนันออนไลน์’ ‘บ่อนใต้ดิน’ ‘แก๊งคอลเซ็นเตอร์’ อยากให้อาจารย์ช่วยชี้ว่า ปัญหาอาชญากรรมที่กำลังเกิดขึ้นตามชายแดนของประเทศไทย คือปัญหาอะไรกันแน่
หลักๆ เรามักจะมองเป็นกลุ่มอาชญากรรม เป็นอาชญากรรมซึ่งพัฒนามาจากบ่อนการพนัน แต่ในวงการวิชาการ เราจะมองว่ามันเป็นกลุ่มทุนชนิดหนึ่ง เป็นกลุ่มธุรกิจ กลุ่มทุน ซึ่งลักษณะสําคัญที่เราอาจจะเห็นพ้องต้องกันก็คือ มันเป็นทุนจีน ไม่มีชาติอื่นมาปน – ทุนจีน แล้วก็ไปหลอกชาติอื่น
เกิดอะไรขึ้นในจีน ถึงทำให้มีทุนเหล่านี้ออกมาอยู่นอกประเทศ
มีนักวิชาการพยายามจะอธิบาย ประเด็นเรื่องทุนจีน (Chinese capital) ถูกพูดถึงพอสมควร แต่ส่วนใหญ่ก็จะพูดถึงเฉพาะทุนที่เรียกว่า state-backed capital คือทุนที่รัฐบาลจีนสนับสนุน ซึ่งถูกส่งออกมาตั้งแต่ช่วงยุทธศาสตร์ออกสู่ตลาดโลก (Going Out Policy) จนกระทั่งมาถึงโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative หรือ BRI)
ก็มีคนอธิบายเยอะว่า มันเกิดจากวิกฤตการสะสมทุนที่ล้นเกิน (overaccumulation crisis) ในจีน ซึ่งทําให้ทุนที่ที่มีอยู่ไม่สามารถที่จะสร้างอัตรากําไรที่เพิ่มสูงขึ้นได้ จึงจําเป็นที่จะต้องออกไปหา spatial fix ในศัพท์ของ เดวิด ฮาร์วีย์ (David Harvey) ก็คือการไปแสวงหาภูมิศาสตร์หรือพื้นที่ที่อื่นๆ ที่มีต้นทุนที่ต่ำกว่า ที่เขาสามารถที่จะสะสมทุนได้มากขึ้น
แต่ทีนี้ ทุนที่ไม่ค่อยถูกพูดถึง ซึ่งออกนอกประเทศเหมือนกัน ก็คือ ทุนผิดกฎหมาย ซึ่งในงานวิชาการ ไม่ค่อยถูกพูดถึงในแง่นี้สักเท่าไหร่ ก็จะมีนักสังคมวิทยาคนหนึ่ง แอลวิน แคมบา (Alvin Camba) เขาพูดถึงทุนประเภทนี้ว่า มันเป็น flexible capital คือ ทุนที่ยืดหยุ่น
ในแง่ที่ว่า ประการแรก คือ มันเผชิญกับปัญหาที่คล้ายกัน ก็คือปัญหาที่มีทุนอยู่มาก แต่ไม่สามารถที่จะลงทุนได้ในประเทศ แต่เงื่อนไขที่เจอแตกต่างกัน มันเกิดจากรัฐจีนมีนโยบายในการบีบทุนพวกนี้ไม่ให้ลงทุนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุนการพนัน ดังนั้น เขามีความจําเป็นที่จะต้องดีดตัวเองออกจากการควบคุมของรัฐจีน ไปแสวงหาพื้นที่ใหม่ ซึ่งก็เหมือนทุนอื่นๆ ก็คือ หา spatial fix
แต่มีความซับซ้อนเพิ่มขึ้นมา คือ การไปหาพื้นที่ใหม่ไม่ใช่แค่หาทรัพยากรที่ถูกอย่างเดียว ความที่ต้นทุนสูงหรือต้นทุนต่ำ มันเกี่ยวข้องกับเรื่องทางการเมืองด้วย ทุนพวกนี้พยายามแสวงหาพื้นที่ที่มีความอ่อนแอของธรรมาภิบาล หรือการปกครอง (governance) มีปัญหาเรื่องอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดน (sovereignty) ที่รัฐศูนย์กลางมีอํานาจน้อย หรือมีอํานาจอ่อนแอในการควบคุมพื้นที่เหล่านี้ ทําให้รัฐท้องถิ่นมีอํานาจมาก ซึ่งง่ายต่อการเข้าไปซื้อ (co-opt) อํานาจเหล่านั้น
เพราะเราก็รู้ว่า สี จิ้นผิง (Xi Jinping) รณรงค์เรื่องการทําให้ประเทศสะอาด มันก็คุกคามหรือบีบรัดทุนจีนพวกนี้ ให้ไม่สามารถที่จะขยายอํานาจได้ ก็ไปเกาะตามพื้นที่ชายแดนเหล่านี้ แล้วก็สร้างเมืองคาสิโนขึ้นมา
ดังนั้น ช่วงประมาณปลายทศวรรษ 1990 จนถึงช่วง 2000 เราจะเห็นว่ามีเมืองคาสิโนเกิดขึ้นตามเขตชายแดนของพื้นที่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นจํานวนมาก
สิ่งที่น่าสนใจสําหรับทุนพวกนี้ คือ แน่นอน หนีการกดบังคับหรือการควบคุมของจีน แต่ทุนพวกนี้จะจัดวางตัวเองเป็นคนรักชาติ (patriots) ถามว่าทําไมต้องสร้างเมืองใหญ่ มันเป็นโมเดลซึ่งสืบต่อมาจนทุกวันนี้ การสร้างเมือง ในแง่ของภาพลักษณ์ ส่วนหนึ่งเป็นการทําให้เห็นว่า กําลังสร้างเมืองที่เจริญ เมืองที่ทันสมัย (modernized) และเป็นส่วนหนึ่งที่เอาไปยึดโยงกับโครงการพัฒนาของจีนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง BRI
อันนี้คือยุคของบ่อน ยุคของคาสิโนออนไลน์ พนันออนไลน์ ซึ่งสเกลของอาชญากรรมไม่ใหญ่ และลักษณะที่ต่างไปอีกอย่างหนึ่งก็คือ มันไม่ได้เกิดขึ้นบนพื้นฐานของการหลอกลวง คนไปเล่น ก็แน่นอน มันก็มีการติด มีการพนันกัน สเกลการหลอกลวงไม่เข้มข้นเท่าสแกนเมอร์ในยุคปัจจุบัน แต่มันก็สร้างปัญหา เพราะคนซึ่งติดการพนันแล้วไม่มีเงินจ่าย ก็ถูกแก๊งพวกนี้เอาไปขัง บางทีก็เอาไปฆ่า กลายเป็นคดี

บรรยายกาศเมืองชเวโก๊กโก่ ในเมียวดี ประเทศเมียนมา มองจาก อ.แม่สอด จ.ตาก เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2025 (Lilian Suwanrumpha/AFP)
แล้วสแกมเมอร์มาจากไหน
การกลายมาเป็นสแกมเมอร์ ซึ่งมีผลต่อไทย น่าจะเริ่มในช่วง COVID-19 ก็คือปี 2019-2020 ในเมืองเหล่านี้ ตั้งแต่ยังไม่เป็นเมือง สแกมเมอร์ก็ทําธุรกิจผิดกฎหมายอยู่แล้วหลายๆ อย่าง เพียงแต่ว่า ช่วง COVID-19 ซึ่งเป็นช่วงที่ธุรกิจการพนันซบเซา ลักษณะธุรกิจจึงเริ่มเปลี่ยน
อันนี้เรารู้ตั้งแต่ต้นว่า เมืองที่เกิดขึ้นตอนนี้ ซึ่งเรียกว่า เมืองสแกมเมอร์ เป็นเมืองที่มีธุรกิจสีเทา ที่เป็นธุรกิจคาสิโนมาก่อน ไม่ได้เริ่มต้นมาด้วยธุรกิจสแกมเมอร์ สองธุรกิจนี้มีลักษณะที่ต่างกันอยู่พอสมควร คือ สแกมเมอร์จริงๆ เป็นอาชญากรรมไซเบอร์ (cybercrime) โดยตรง คาสิโนไม่มีองค์ประกอบหลายๆ อย่างที่เป็นอาชญากรรมไซเบอร์ ไม่มีการหลอกลวงออนไลน์
เท่าที่เขาศึกษากันมา การหลอกลวงออนไลน์มีต้นกําเนิดมาจากไต้หวัน ตั้งแต่ทศวรรษ 1990 มันเติบโตขึ้นมาจากการโทรไปหลอกเงิน และเทคโนโลยีนี้ก็ถูกถ่ายทอดจากไต้หวันมาที่จีนแผ่นดินใหญ่ ในจีนแผ่นดินใหญ่มีธุรกิจสแกมเมอร์เกิดขึ้นอยู่แล้ว แต่สเกลไม่ใหญ่ แต่หลังจากโดนปราบปราม กลุ่มทุนย่อยๆ เหล่านี้ก็หนีกระโดดหนีออกมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ ประกอบกับช่วง COVID-19 เป็นช่วงที่ทุนคาสิโนใหญ่เริ่มไม่ทำกําไร
ทีนี้พอเปลี่ยนไปเป็นทุนสแกมเมอร์ ทุนสแกมเมอร์เป็นทุนในยุคดิจิทัล ต้องพูดอย่างนี้ มันเป็นทุนที่คน Gen Z เข้ามาทํากิจการเหล่านี้เยอะ ทุนเหล่านี้ไปเช่าที่กับทุนใหญ่ที่ครองเมืองคาสิโนอยู่ แล้วก็ทํากิจการเหล่านี้เพื่อที่จะหลอกเงินจากคนในรุ่น baby boomers กับ Gen X ดังนั้น เราอาจจะเรียกได้ว่า ทุนสแกมเมอร์เป็นทุนของดิจิทัลเนทีฟ (digital natives) เป็นกลุ่มบุคคลซึ่งมีความรู้ มีโนว์ฮาว (know-how) เกี่ยวกับเรื่องอินเทอร์เน็ตเป็นอย่างดี
จีนไม่ใช่แค่ส่งออกทุนการพนัน หรือทุนสแกมเมอร์ออกมา แต่ส่งออกวัยรุ่นที่มีโนว์ฮาวทางด้านดิจิทัลออกมาด้วย อันนี้ต้องย้อนกลับไปดูว่า มันมีปัญหาเชิงโครงสร้างในจีนที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์นี้ นอกจากปัญหาเรื่อง overaccumulation crisis แล้ว มีปัญหาการว่างงาน (unemployment) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเราไปดูอัตราการว่างงานในกลุ่มวัยรุ่น (youth unemployment) ในจีน มันสูงมาก ปีนี้ลงมา 17% แต่ว่าปีก่อนหน้านี้คือ 21% มันจึงไม่น่าแปลกใจ
เราจะเห็นปรากฏการณ์เด็กจีนออกมาเรียนในไทยเยอะแยะ หางาน มาเปิดธุรกิจ ทำร้านก๋วยเตี๋ยว ร้านของคนจีน ร้านบะหมี่ ไปดูเจ้าของกิจการทั้งหลาย อายุไม่เยอะ จํานวนไม่น้อยคุณจะเห็นวัยรุ่นพวกนี้เข้ามาเปิดกิจการ รวมถึงเป็นเจ้าของกิจการสแกมเมอร์เต็มไปหมด
ฟังคำอธิบายจากอาจารย์ ดูเป็นเรื่องของเศรษฐกิจ แล้วมิติด้านอาชญากรรมมาจากไหน นายทุนเหล่านี้ตั้งใจจะมาทำอาชญากรรมตั้งแต่แรกเลยหรือไม่
แน่นอน ทุนซึ่งเกิดจากแก๊งมาเฟียเก่า ที่เป็นกลุ่มแก๊งการพนันเก่ามันมีอยู่แล้ว ทุนการพนันเป็นทุนซึ่งยืนพื้นในจีน แล้วแม้จีนจะปราบ แต่จีนก็เปิดโอกาสให้มาเก๊าอยู่ได้
ทีนี้ถ้าเราสังเกต พวกเจ้าของหรือแก๊งมาเฟียเก่าก็มาจากแหล่งนี้ จ้าว เหว่ย (Zhao Wei) มาจากมาเก๊า เขาคลุกคลีอยู่ในวงการการพนันและอาชญากรรมในมาเก๊ามาเป็นเวลานาน วัน ค็อกคอย (Wan Kouk-koi) ซึ่งเป็นเจ้าของตงเหมยกรุ๊ป (Dongmei Group) เจ้าของเคเคปาร์ค (KK Park) ก็อยู่แถวนั้น เป็นพวกที่ติดคุกอยู่ที่ฮ่องกงเป็นเวลาหลายปี
พวกนี้เป็นเป็นมาเฟียในยุคอนาล็อกอยู่แล้ว เขาไม่ได้ทําแค่ทุนพนัน เขาเกี่ยวข้องกับธุรกิจอื่น ซึ่งมันมากไปกว่าการพนันด้วย ก็คือ ทุนยาเสพติด จ้าว เหว่ย เกี่ยวข้องโดยตรงอยู่แล้ว เพราะสหรัฐอเมริกาก็คว่ำบาตร (sanction) ระบุชื่อว่าเป็นอาชญากรข้ามชาติ (transnational criminal) ดังนั้น ทุนพวกนี้เป็นทุนที่เขามีเงินพอที่จะสร้างเมืองได้ มาซื้อเมือง หรือสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ในขณะที่ทําธุรกิจผิดกฎหมายของเขา
แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็เป็นนายทุนค่าเช่าด้วย ก็คือ ปล่อยเช่าให้กับนายทุนระดับย่อย ซึ่งก็เป็นกลุ่มคนที่เล่าให้ฟังว่า เป็นคนรุ่นใหม่บ้าง หรือเป็นทุนหน้าใหม่มาทําสแกมเมอร์
ดังนั้น เมืองสแกมเมอร์ตอนนี้มีโครงสร้างที่มีความซับซ้อน ชเวโก๊กโก่มีหุ้นส่วน 8 คน เท่าที่ดิฉันทราบชื่อ มี เสอ จื้อเจียง (She Zhijiang) และมีคนชื่อ หม่า ตงลี (Ma Dongli) ซึ่งเป็นคนที่เข้าไปซื้อวัสดุก่อสร้างในแม่สอด และติดต่อทําธุรกรรมต่างๆ เป็นคนซึ่งฝั่งไทยรู้จักดี เขาเคยยื่นข้อเสนอที่จะทําคาสิโนด้วย ตอนที่กรรมาธิการพิจารณา พ.ร.บ. เอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ ฉบับใหม่
ดังนั้น ใน 8 คนนี้ ถามว่าเป็นใคร พวกนี้เป็นเจ้าของเมือง เป็นนายทุนใหญ่ เป็นระดับ ‘เหล่าต้า’ คือเป็นบิ๊กบอส แต่เขาไม่ได้เป็นคนมานั่งรีครูต (recruit) คนงานเข้ามาทําสแกมเมอร์ พวกที่ทำเป็นนายทุนรายย่อย หรือผู้ประกอบการรายย่อยต่างๆ

เมืองชเวโก๊กโก่ ในขณะที่กองกำลัง BGF ลาดตระเวน เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2025 (AFP)
เมืองสแกมเมอร์มีลักษณะแตกต่างกันหรือไม่ ในแต่ละประเทศ ระหว่างเมียนมา กัมพูชา ลาว
มีทั้งส่วนที่เหมือนกับส่วนที่ต่าง ส่วนที่เหมือนกันก็คือ เป็นพื้นที่ที่รัฐศูนย์กลางอ่อนแอ อ่อนแอในที่นี้ไม่ได้แปลว่าเขาไม่มีกําลัง รัฐบาลเมียนมามีกําลังอยู่แล้ว กองทัพออกจะใหญ่ มีอาวุธ แต่อ่อนแอในแง่ที่ว่า เขาไม่สามารถที่จะดูแลพื้นที่ได้อย่างเสร็จเด็ดขาด มีอยู่ 2 อย่าง คือ ไม่สามารถที่จะดูแลพื้นที่ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด กับเป็น corrupt state เป็นรัฐที่เห็นใจส่วยสินบนมากกว่าที่จะพัฒนาพื้นที่ในประเทศ
ดังนั้น ในกรณีของเมียนมา เราก็รู้อยู่ว่า รัฐศูนย์กลางไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่ในชายแดนที่กะเหรี่ยงดูแล หรือตอนบนที่ว้าดูแลได้ มันก็กลายเป็นพื้นที่ที่มีรัฐซ้อนรัฐ รัฐท้องถิ่นมีอํานาจในการดีลกับคนจีน และกลุ่มจีนเขาก็รู้เรื่องนี้ดี ดังนั้น เขาก็ลงมาเจรจากับกลุ่มเหล่านี้ก่อน
ในขณะที่ในกรณีกัมพูชากับลาว ส่วนตัวคิดว่าเป็นรัฐผลประโยชน์ ก็คือเอาหูไปนาเอาตาไปไร่กับปัญหาที่เกิดขึ้น โดยได้รับผลประโยชน์ตอบแทน แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาโดนกดดันจากรัฐที่แข็งแรงกว่า เช่น จีน เขาก็ผ่อนปรนเล็กน้อย หรือพยายามที่จะร่วมมือกับจีนในการแก้ปัญหา
แต่เมื่อสถานการณ์ผ่านไป มันก็จะกลับมาเหมือนเดิม กรณีกัมพูชา เราก็เห็นอยู่ว่าสีหนุวิลล์เคยโดนล้อมปราบหนักมากเมื่อหลายปีก่อน ทําให้กลุ่มทุนจีนพวกนี้ย้ายมาอยู่ที่เมียวดี ออกมาเป็นหลายหมื่นคน ตอนนี้ก็กลับไปที่ปอยเปต กลายเป็นแมวไล่หนูอยู่ทุกวันนี้
สามารถนิยามอาชญากรรมเหล่านี้ว่าเป็นอาชญากรรมข้ามพรมแดน (transboundary crime) ได้หรือไม่ ซึ่งเป็นขอบข่ายที่ไทยประกาศว่าจะแก้ปัญหาอยู่หลายครั้ง
มันเป็น transboundary crime ที่ส่งผลกระทบทั่วโลก อาชญากรรมเหล่านี้เป็นอาชญากรรมที่มีลักษณะพิเศษต่างไปจากอาชญากรรมอื่น ตรงที่ว่า มันเกี่ยวข้องสิ่งที่เรียกว่าออนไลน์กับออฟไลน์
มันมีการผสมกัน (combination) ของทั้งปฏิบัติการที่ออนไลน์ กับปฏิบัติการที่ออฟไลน์ จุดที่ออฟไลน์คือจุดที่เกิดขึ้น ณ ชายแดน ถึงที่สุดแล้ว มันต้องการแรงงานมาทํางาน และปฏิบัติการนี้จําเป็นที่จะต้องอยู่ในที่ที่รัฐเข้าไม่ถึง เพราะมิฉะนั้น เดี๋ยวรัฐมาบุก อย่างกรณีจีน เราจะเจอข่าวบ่อย ในจีนก็มีแก๊งสแกมเมอร์ในเมืองใหญ่ๆ ไปเช่าอพาร์ตเมนต์ซ่อนอยู่
สิ่งเหล่านี้ใช้พรมแดนในแง่กายภาพจริงๆ ในการก่ออาชญากรรม หรือในการดําเนินธุรกิจ ดังนั้น อาชญากรรมเหล่านี้เป็น transboundary แต่มิติที่เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่ขายของกันในเขตพรมแดน แต่หลอกลวงคนในชาติต่างๆ ไปไกลถึงอเมริกา ไปไกลถึงชาติต่างๆ และเงินไหลเวียน เงินซึ่งเกิดจากการหลอกบรรดาเหยื่อซึ่งมาจากชาติต่างๆ ผ่านจุดต่างๆ จนเดี๋ยวนี้ยังไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหนบ้าง
มีการตามจับอยู่จํานวนหนึ่ง พบว่า มันมาโป๊ะอยู่ที่กรุงเทพฯ อยู่ในกระเป๋าเงินดิจิทัล (digital wallet) ของพวกทุนจีนเทา ซึ่งก็ฝังตัวอยู่ที่กรุงเทพฯ อันนี้คือมิติข้ามชาติ (transnational) เพราะไม่เกี่ยวกับพรมแดนแล้ว ขอบเขตของปฏิบัติการของมันไหลเวียนไปทั่วโลก สหรัฐฯ ถึงได้คว่ำบาตรสิ่งนี้ และเรียกว่าเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ (transnational criminal organization)
เพราะว่าสโคปของการทํางานขององค์กรพวกนี้ไปพ้นพรมแดน มันดึงเอาพื้นที่ทางอากาศของชาติต่างๆ เหล่านี้เข้ามาเกี่ยวข้อง มันดึงเอาสถาบันทางการเงินในที่ต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง

แรงงานและเหยื่อ ระหว่างปฏิบัติการปราบปรามโดย BGF ในชเวโก๊กโก่ เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2025 (AFP)
ดังนั้น ก็เป็นสโคปงานของการทูตไทยด้วย ที่ต้องแก้ปัญหา
เป็นแน่นอน นอกจากจะเป็นปัญหาของอาเซียนแล้ว มันเป็นปัญหาโลกที่ต้องร่วมมือกัน มันไม่ใช่ปัญหาของคนไทยอย่างเดียว แต่เราต้องเป็นตัวหลักในการนํา ให้เห็นว่าเราจะแก้ปัญหานี้อย่างไรบ้าง
มีหลายคนออกมาพูดว่า ตัดไฟ ตัดน้ําทําไม ทําไมเราต้องทุ่มทุนไปทําอะไรขนาดนี้ อันนี้เป็นปัญหาของจีน ให้จีนมาแก้ไขสิ ไม่ใช่ อันนี้เป็นอาชญากรรมข้ามชาติ เราก็เป็นส่วนหนึ่งของเหยื่อของอาชญากรรมนี้ เราต้องจัดการ จะมาชาตินิยมกับเรื่องพวกนี้ไม่ได้
โครงสร้างหรือกลไกในเมืองสแกมเมอร์มีลักษณะเป็นอย่างไร
ประการแรกเลย มันต้องมีการรีครูตคนเข้ามาทํางาน คนที่จะถูกรีครูตเข้ามาทํางานจะต้องเป็นคนที่อย่างน้อยใช้คอมพิวเตอร์เป็น มีความรู้ทางด้านอินเทอร์เน็ตประมาณหนึ่ง ดังนั้น แรงงาน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานผู้ชายและวัยรุ่น ซึ่งมีความรู้พอสมควรเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีสื่อสาร จะโดนหลอกเข้ามา คิดว่า 80% โดนหลอกเข้ามา และหลังจากนั้น พอมาเจอว่า ต้องมาหลอกคนและต้องทําเป้า ก็จะขัดขืน ก็จะโดนข่มขู่บ้าง และทําร้ายร่างกายบ้าง
แต่มันจะมีกลุ่มแกนหลัก (core) ซึ่งทํางานแบบเต็มใจ และเป็นระดับจัดการ (management) และหากเหนือขึ้นไปกว่านั้นก็จะเป็นพวกบอส ก็คือหัวหน้า เป็นเจ้าของกิจการ
ทีนี้ ระดับจัดการ ซึ่งเงินเดือนสูงมาก จะเป็นโปรแกรมเมอร์ ซึ่งคนเหล่านี้ก็จะต้องรีครูตคน ประกาศหาคนมา แล้วก็จ่ายเงิน ช่วยเปย์ทุกอย่างให้เขาเข้ามาให้ได้ แต่พอมาถึงปุ๊บ ก็จับเซ็นสัญญาทาส และฝึกคนเหล่านี้ว่าจะหลอกอย่างไร
อันนี้สําคัญ ในกรณีจีนที่เขาไปจับกันมา มันมีเอกสารคู่มือ romance scam คนเหล่านี้เข้าไปหนึ่งสัปดาห์แรกต้องอ่านคู่มือทํานองนี้ เพราะมันละเอียดอ่อนมาก มันทํางานด้านจิตวิทยาละเอียดมาก มันเล่นกับความอ่อนแอของคน ดังนั้น มันต้องมีคนที่เขียนคู่มือพวกนี้ให้ เพื่อที่จะฝึกให้คนที่จะเข้ามาหลอกคนสามารถโต้ตอบพูดคุยได้
ระดับโปรแกรมเมอร์จะทํางานโดยการเข้าไปซื้อขายข้อมูลในตลาดมืด รวมทั้งต้องทํางานในการติดต่อซื้อขายสิ่งของ หรืออุปกรณ์ทั้งหลาย อินเทอร์เน็ต เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้บริษัทดำเนินไปได้ ดังนั้น ระดับนี้เป็นระดับที่ทํางานโดยเต็มใจ ค่าตัวสูงมาก เวลาที่เกิดการทลายแก๊งสแกมเมอร์ตามที่ต่างๆ พวกนี้จะหนีไปอยู่ที่อื่น ตอนที่เขาทลายที่เล้าก์ก่าย ก็หนีไปไต้หวัน
เคยสัมภาษณ์ล่ามคนไทย ซึ่งอยู่ที่แม่สอด อายุน้อย และเป็นล่ามภาษาให้กับบอสในเคเคปาร์ค เวลาพูดถึงโครงสร้างขององค์กร เขาก็เล่าให้ฟังว่า มันจะมีการติดบัตร มีที่ห้อยคอ มีสี สีน้ําเงินก็จะเป็นคนชั้นล่าง แรงงาน สีแดง สีขาว เป็นระดับเมเนเจอร์ ที่จะออกไปข้างนอกได้ แต่ถ้าเป็นแรงงานที่ทํางานในนั้น ออกจากตึกไม่ได้เลย

แรงงานและเหยื่อ ระหว่างปฏิบัติการปราบปรามโดย BGF ในชเวโก๊กโก่ เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2025 (AFP)
ค่าจ้าง การหมุนเวียนของเม็ดเงิน และความเสียหายทางเศรษฐกิจเป็นอย่างไร
เท่าที่สัมภาษณ์เหยื่อมาแต่ละบริษัทคงมีอัตราที่ไม่เหมือนกัน เข้าไปถึงตอนแรกๆ เงินเดือนอาจจะดี ประมาณ 50,000 บาทต่อเดือน แต่ไปถึงก็จะจับเซ็นสัญญา สัญญาก็คือบังคับอยู่แล้วว่า คุณต้องทํางานกี่ชั่วโมงต่อวัน และถ้าคุณทํางานไม่ได้จะเป็นอย่างไร ทีนี้เข้าไปต้องทํายอด ถ้าคุณทําได้ตามยอด คุณก็ได้โบนัส เขาก็ให้เงินตามอัตราบริษัทที่เขาทํากันนั่นแหละ
มีงานศึกษาบางงานบอกว่า มันเป็นอุตสาหกรรมประเภทหนึ่ง มองเป็นแก๊งอาชญากรรมอาจไม่สะท้อนลักษณะองค์กรที่แท้จริง เขาดำเนินการแบบบริษัท เพียงแต่การจัดการแรงงานใช้ระบบแรงงานทาส ถ้าคุณทําไม่ได้ตามยอด ก็มีคำเตือน และตัดเงิน ถ้าไม่เหลือเงินให้ตัด ก็ต้องใช้วิธีช็อตไฟฟ้า การลงโทษทําหลายอย่าง มีให้วิ่งรอบสนามตอนกลางคืน มีเอากุญแจล่ามกับเตียงและช็อตไฟฟ้า
มันก็อาจจะมีกรณีที่รุนแรง หรือบีบบังคับ กระทั่งคนงานฆ่าตัวตายก็มี มันถึงได้กลายเป็นเรื่องที่จีนเริ่มไม่ทน
ทีนี้ ถ้าอยากจะออกไป เขาก็มีตัวเลือกให้ คือ จะต้องไถ่ตัวเอง เคยมีเคสเมื่อปีที่แล้ว แต่ไม่เป็นข่าว น้องผู้หญิงคนจีนคนหนึ่งติดต่อทางบ้านให้เอาเงินมาไถ่ 2 ล้านบาท ค่าตัวก็จะอัตราประมาณ 2-3 ล้านบาท เขาอ้างว่าเป็นค่าเครื่องบินที่เขาออกให้ ค่าเดินทางข้ามมา และค่าฝึกงาน รวมดอกเบี้ยแล้วก็ 2 ล้านบาท
ระดับใหญ่ หลายคนก็คงได้ยิน ตํารวจออกมาพูด หรือกระทั่ง คุณภูมิธรรม เวชยชัย ออกมาพูดอยู่แล้วว่า ต่อปี เราสูญเสียเงินประมาณ 20,000 ล้านบาท จริงๆ มากกว่านั้น เท่าที่เคยสัมภาษณ์ตํารวจไซเบอร์เมื่อปีก่อน เขาบอกว่า ประมาณ 30,000 ล้านบาท ตัวเลขจริงๆ น่าจะสูงกว่านั้น
ถามว่า 20,000-30,000 ล้านบาท มันใหญ่ขนาดไหน? มันใหญ่ขนาดจีดีพี (GDP) ของประเทศย่อยๆ ตัวเลขความเสียหายจากอาชญากรรมไซเบอร์ทั่วโลก 10.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มันถึงได้น่าตกใจ (alarming) สเกลมันใหญ่มาก สเกลความเสียหายมันใหญ่เกินกว่าที่ทั้งโลกจะแบกรับไหว
ในฝั่งของเหยื่อที่ถูกหลอกลวง ผลกระทบด้านมนุษยธรรมเป็นอย่างไรบ้าง
ถ้าดูตามข่าว เราก็จะเห็นอยู่ว่า เหยื่อโดนทําร้ายร่างกาย หรือกระทั่งล่าสุด เหยื่อชาวปากีสถานโดนช็อตไฟฟ้า มันก็ค่อนข้างหนัก ช่วงที่ไปทําวิจัย ก็จะมีข่าวว่า มีศพลอยมาติดตลิ่ง ผู้ใหญ่บ้าน กํานัน ก็ไม่รู้เป็นใคร ก็ไม่รู้จะทําอะไรได้ สืบสาวอะไรไม่ได้
ดังนั้น ถ้าพูดถึงในแง่ว่า อาชญากรรม ซึ่งทารุณคน และก่อให้เกิดคดี มันมีแน่นอนอยู่แล้ว การฆ่ากันก็มี ข่าวที่กระโดดตึก ซึ่งคงไม่กระโดดลงมาเอง คงถูกบีบบังคับ
พูดเรื่องค้ามนุษย์เลย แรงงานเหล่านี้ ถ้าเขาทํางานไม่ได้ เขาจะถูกขายต่อ
เหยื่อบางคน ที่เราไปสัมภาษณ์ บอกว่า เขาทํางานที่ต้นผึ้งมาก่อน [เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมคำ] โดนหลอกมา เป็นเหยื่อคนจีน 2 คน ถูกหลอกมาจากในหมู่บ้านที่เขาอยู่ มีคนมาชักชวนไปทํางาน เขาก็ไป มันดูเป็นงานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ หรืออะไรที่รายได้ดี แล้วก็ถูกพามาสามเหลี่ยมทองคําก่อน พอเขาทํางานไม่ได้ ถูกซ้อมอะไรต่ออะไร หน้างานที่นั่นก็รับปากว่า เดี๋ยวจะพากลับบ้าน แต่รู้ตัวอีกที พามาที่ท่าขี้เหล็ก และจากท่าขี้เหล็กก็ถูกส่งต่อมาที่ฝั่งเมียวดี ก็มาเจอแบบเดิม
สุดท้าย เขาตัดสินใจหนี ก็หนีมาเจอกองกําลังกะเหรี่ยง เข้าใจว่าโชคดีเจอ KNU เพราะถ้าไปเจอ BGF ก็คงส่งกลับ แต่พอไปเจอ KNU ก็เลยส่งให้ทหารไทย แล้วก็พาออกมา
มันสะท้อนอะไร? มันสะท้อนว่า มีขบวนการค้ามนุษย์เป็นเรื่องเป็นราว การจัดโครงสร้างขององค์กรธุรกิจ มีกลุ่มที่เป็นแรงงานคอปกขาว แรงงานอาชีพ ซึ่งเขามีทักษะเป็นโปรแกรมเมอร์ จัดการองค์กร กับแรงงานที่ถูกหลอกหลอกเข้ามา ถูกรีครูตเข้ามา
แต่มีอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเราเรียกว่าเป็นนายหน้าค้ามนุษย์ เขาใช้ระบบเอาต์ซอร์ส (outsource) นายหน้าประเภทใดบ้าง? มีตั้งแต่นายหน้าที่ทําเฉพาะกิจระยะสั้นๆ ก็คือพาคนข้ามแดน ซึ่งปักหลักอยู่แถวแม่สอด พาคนจากสนามบินมาส่ง กับนายหน้าค้ามนุษย์ ที่ขายคนเป็นทอดๆ
ที่เมียวดีมีตึกที่พอได้แรงงานมา ก็มาหย่อนลงตรงนี้ บริษัทอยากได้ใคร ก็มาซื้อกันตรงนั้น นั่นจึงไม่แปลกใจว่าทําไมเขาถูกขายเป็นทอดๆ ค่าตัวก็จะต่ำลงๆ และถ้าไปถึงที่แล้วยังทํางานไม่ได้อีก ก็คงโดนซ้อมจนไม่รู้จะยังไงแล้ว
หรือบางที ก็ถูกบังคับให้โทรกลับบ้าน เพื่อให้คนมาไถ่ตัวออกไป ดังนั้น ถ้าถามว่า เรื่องนี้เป็นการจัดการแรงงานประเภทไหน มันเป็นการจัดการแรงงานทาส เป็นระบบแบบมาเฟีย เป็นระบบแบบเก่าที่ยังคงใช้อยู่ แม้ว่าธุรกิจจะเป็นธุรกิจของยุคหน้า เป็นธุรกิจสแกมเมอร์ ซึ่งมีเทคโนโลยีแอดวานซ์มาก ขนาดตํารวจยังบอกว่าไล่ไม่เคยทัน แต่การจัดการแรงงานเป็นการจัดการแบบเก่า มันเป็นอะไรที่มันย้อนแย้งมาก สําหรับทุนอาชญากรรมสแกมเมอร์ชนิดนี้

บรรยายกาศเมืองชเวโก๊กโก่ ในเมียวดี ประเทศเมียนมา มองจาก อ.แม่สอด จ.ตาก เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2025 (Lilian Suwanrumpha/AFP)
ในกรณีของเมียนมา การที่มีรัฐบาลทหารปกครองประเทศส่งผลต่อการมีอยู่ของเมืองสแกมเมอร์อย่างไร และหากภูมิทัศน์ทางการเมืองในเมียนมาเปลี่ยนแปลงไป มองว่าปัญหาเหล่านี้จะพัฒนาไปในรูปแบบใด
เคยพูดไปแล้ว เราก็จะพูดย้ำอีกทีว่า การที่ประเทศเป็นประชาธิปไตย เป็นเงื่อนไขสำคัญมากที่ทำให้การเกิดขึ้นหรือแพร่ขยายของทุนจีนสีเทาเกิดขึ้นได้ยาก
กรณีของชเวโก๊กโก่ ถ้าจำกันได้ ในยุคที่ยังคงมีรัฐบาลเลือกตั้งอยู่ เมื่อชเวโก๊กโก่เริ่มมีปัญหาเรื่องคอร์รัปชัน รัฐบาลสมัยนั้นของ ออง ซาน ซู จี (Aung San Suu Kyi) ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบเรื่องนี้ แล้วก็มีคำสั่งให้ชเวโก๊กโก่หยุดดำเนินการ มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนนายทหารจำนวนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการรับสินบน เพราะเมืองเปิดให้เล่นการพนันหรือทำกิจการผิดกฎหมาย
เหตุการณ์นี้เป็นตัวสะท้อนว่า ถ้ามีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และเวลามีปัญหาขึ้น หรือประชาสังคมตั้งคำถามกับเรื่องพวกนี้ มันจะมีระบบตรวจสอบ ซึ่งรัฐบาลสามารถใช้อำนาจตามที่รัฐบาลมีในการตรวจสอบสิ่งที่ไม่ถูกหรือไม่ชอบมาพากลได้ แต่หลังจากรัฐประหาร สิ่งที่เราเห็นก็คือ ทุกสิ่งกลับมาเหมือนเดิม ชเวโก๊กโก่ก็ดำเนินไป และมันแย่ลงเรื่อยๆ ด้วย
เพราะรัฐบาลทหารเมียนมามีผลประโยชน์ หรือได้รับผลประโยชน์โดยตรง จากธุรกิจทำนองนี้
ถ้ามองไปข้างหน้า ถ้าหากว่าเมียนมาจัดการเลือกตั้งจริง มันก็อาจจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น แต่ว่ามากน้อยขนาดไหน? จริงๆ ส่วนตัวก็เรียกร้องกลุ่มที่เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงอยู่ตอนนี้ KNU ก็ดี หรือกลุ่มที่เคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย ถ้าหากว่ามีความตั้งใจที่จะแก้ปัญหาในเขตชายแดนจริง ควรจะถือประเด็นพวกนี้เป็นวาระ (agenda) ของเขาด้วย
การเลือกตั้งก็เป็นการเปลี่ยนผ่านอำนาจ แต่ถ้าอำนาจยังคงอยู่ในมือของรัฐบาลทหารเมียนมาชุดเดิม มันก็คงเหมือนเดิม คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ในระดับระหว่างประเทศ มีตัวแสดงหลากหลายฝ่ายที่เข้ามาเกี่ยวข้อง อยากให้กล่าวถึงมหาอำนาจอย่างจีนก่อน มีอะไรที่ทำไปแล้ว หรือมีอะไรที่ยังต้องปรับปรุง
จีนน่าจะพยายามเข้ามาเป็นตัวหลักในการสร้างความมั่นคงในระหว่างประเทศในแถบนี้ ก่อนหน้านี้เราจะเห็นว่าไม่ค่อย take action เท่าที่ควร และให้ปัญหาตกอยู่กับเจ้าภาพในพื้นที่ จีนจะเข้ามาทำอะไรก็ต่อเมื่อมันกระทบกับพลเมืองของเขา หรือพลเมืองเขาเป็นเหยื่อ และกลายเป็นข่าว ที่ผ่านมาจะเป็นเช่นนั้น
ซึ่งถ้าจะวิจารณ์ก็คือว่า จีนควรจะมีบทบาทสำคัญมากกว่านี้
เอาอย่างง่ายๆ เลย อย่างสหรัฐฯ คว่ำบาตรตัวละครใหญ่สำคัญๆ ซึ่งเป็นตัวละครจีน แต่เราก็ยังพบว่า จ้าว เหว่ย ยังคงมีความสัมพันธ์ดีกับรัฐบาลจีน อันนี้เราก็ต้องวิพากษ์ รวมทั้งรัฐบาลจีนออกหมายแดง (Red Notice) จับ เสอ จื้อเจียง คนเดียว ทั้งๆ ที่เรารู้อยู่ว่าแก๊งทั้งหมดตลอดแนวชายแดน มีบอสใหญ่เยอะ มีหลายคน
ดังนั้น ข้อวิพากษ์ก็คือ แทนที่จะรับออเดอร์จากจีนอย่างเดียว เขาสั่งให้เราตัดไฟ ตัดอินเทอร์เน็ต ซึ่งถูกต้อง ก็ต้องทำ แต่ไทยควรที่จะมีข้อเสนอไปยังรัฐบาลจีน ให้มีมาตรการซึ่งมีประสิทธิภาพ มีมาตรการในการกดดันตัวละครสำคัญหรืออาชญากร หรือมีเป้าหมายที่จะทำลายองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติที่เป็นระบบมากกว่านี้
คุณต้องคว่ำบาตรบรรดาตัวละครเหล่านี้ ให้เขาให้ไม่สามารถที่จะทำธุรกรรมทางการเงินได้ จนบัดนี้เรายังไม่รู้เลยว่าเงิน หรือคริปโตฯ หรืออะไรก็ดี มันกลับเข้าไปประเทศจีนรึเปล่า คือคุณต้องอายัดทรัพย์สิน (freeze assets) ของคนเหล่านี้ เพราะคนเหล่านี้มีฐานอยู่ในจีนอยู่แล้ว จ้าว เหว่ย มีทรัพย์สินอยู่ในจีนอยู่แล้ว รวมทั้งกลุ่มที่เป็นบอสใหญ่ของชเวโก๊กโก่ 8 คน พวกนี้มีฐานอยู่ในจีนอยู่แล้ว แต่เราไม่เห็นจีนทำอะไร

แรงงานและเหยื่อขึ้นเรือข้ามแม่น้ำที่ชายแดนไทย-เมียนมา โดยมีทหารไทยรอรับ เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2025 (AFP)
ขณะที่ตัวแสดงระดับพหุภาคีอย่างอาเซียน (ASEAN) ก็ระบุถึงการแก้ปัญหาคอลเซ็นเตอร์อยู่พอสมควร อาจารย์มองมาตรการของอาเซียนอย่างไร
ก็เห็นสิ่งที่เป็นแถลงการณ์ (statement) กว้างๆ ว่าจะร่วมมือกันในการหยุดยั้งอาชญากรรมข้ามชาติ แต่พอลงไปดูว่ามีกลไกอะไรหรือมาตรการอะไร ก็ไม่เห็นอะไรที่มันเป็นรูปธรรม ก็เลยมีความรู้สึกว่า พูดเรื่องพวกนี้มาหลายปีแล้ว โอเคแหละ สแกมเมอร์เริ่มต้นในช่วง COVID-19 ก็จริง แต่นับรวมกันแล้ว มันก็คงประมาณ 5 ปีได้
นอกเหนือจากตัดไฟ ตัดอินเทอร์เน็ต ซึ่งเราตัดอยู่ประเทศเดียว ประเทศอื่นไม่เห็นทำ สิ่งที่เห็นที่เป็นรูปธรรมที่สุดก็คือ ลาวร่วมมือกับตำรวจจีน มีการส่งตัวคนจีนออกมาจำนวนหนึ่ง แต่ลาวก็ยังคงปล่อยให้เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำดำเนินไปได้ แถมขยายด้วย ไปสร้างท่าเรือที่เมืองมอม มันก็คล้ายๆ กับเป็น lip service
ส่วนตัวถ้าจะเสนอ คือ อาเซียนต้องไปพ้นจากการมีแถลงการณ์ว่าจะร่วมมือป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ต้องมีมาตรการที่เป็นเชิงรุก
หลักๆ เลยคือ คุณจะตัดตอนอาชญากรรมข้ามชาติด้วยมาตรการใดบ้าง ตั้งแต่ระบบเกณฑ์แรงงาน ทำให้ระบบการค้ามนุษย์เกิดขึ้นไม่ได้ นั่นหมายความว่า มาตรการในการตรวจคนเข้าเมืองของทุกประเทศในอาเซียนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ต้องขัดขวางไม่ให้ข้ามประเทศหรือข้ามแดนเพื่อไปทำงานในเมืองสแกมเมอร์ได้โดยง่ายหรือสะดวกโยธิน
ต้องมีการตัดตอนเส้นทางการเดินทางของการค้ามนุษย์ การตัดตอนเส้นทางการเดินทางของการฟอกเงิน การตัดตอนตลาด หรือการทำลายตลาดมืดในการค้าข้อมูลผิดกฎหมาย ยังไม่รวมไปถึงการบังคับให้ระบบธนาคาร หรือระบบโทรคมนาคม มีความรับผิดชอบต่อปัญหาที่เกิดขึ้น หรือเข้ามามีส่วนร่วมในการพยายามหยุดยั้งไม่ให้ระบบพวกนี้ไปรับใช้ธุรกิจเหล่านี้
ในจีนเท่าที่ได้ข่าวมา เนื่องจากมีลูกศิษย์คนจีน เขาจะทำวิทยานิพนธ์เรื่องนี้ ก็นั่งคุยกันอยู่ เขาก็บอกว่า ปัจจุบัน จีนมีมาตรการที่เข้มงวดขึ้น และเรียกร้องให้บริษัทโทรคมนาคมกับธนาคารมีมาตรการในการตัดตอนบัญชีม้า
ลูกศิษย์เล่าว่า เฟซไทม์คุยกับเพื่อนที่เมืองไทยอยู่ ผ่านไป 10 นาที มี SMS เข้ามาเลยว่า สายที่คุณกำลังคุยอยู่ไม่ปลอดภัย ผ่านไป 15 นาที คราวนี้ตำรวจโทรมาเองเลย เขาใช้อินเทอร์เน็ตของโรงแรม แน่นอน นี่ประเทศจีน เขาก็ทำอะไรแบบนี้ได้ แต่มันสะท้อนให้เห็นว่า บริษัทโทรคมนาคมต้องลงทุนทำพวกนี้เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับลูกค้า ซึ่งนี่เป็นมาตรการที่ควรทำร่วมกันทั้งอาเซียน
ในช่วงที่คุณต้องการจัดการกับแก๊งสแกมเมอร์ ถ้าไม่มีมาตรการเหล่านี้ พูดแค่ว่าเราจะร่วมมือร่วมใจกันปราบแก๊งอาชญากรรม ส่วนตัวก็รู้สึกว่า มันก็เป็นแค่แถลงการณ์

อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สับสวิตช์ตัดไฟฟ้า 5 จุดในเมียนมา เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2025 (ขอบคุณภาพจาก การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค)
ที่พูดกันมาทั้งหมดนี้ อะไรคือโจทย์ใหญ่ของฝ่ายความมั่นคงไทย รวมถึงภาครัฐของไทยทั้งหมด อะไรคือความท้าทายหรืออุปสรรคที่สำคัญที่สุด
หนึ่ง ปัญหาอาชญากรรมสแกมเมอร์เป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของไทยโดยตรง ดิฉันคิดว่า ตอนนี้ฝ่ายความมั่นคงน่าจะมองเรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่แล้ว
หลังจากที่ผ่านมา เราไม่มีเจ้าภาพในการแก้ไขปัญหานี้ เขาเรียกว่า แก้ปัญหาแบบหน้างาน เจอเหยื่อก็ช่วยเหลือ พอช่วยเหลือเสร็จ ส่งเหยื่อกลับประเทศ จบ แต่ไม่มีการติดตามว่าจะจัดการกับคนที่หลอกเหยื่อไปอย่างไร จะทำให้คนที่หลอกเหยื่อถูกจับขังคุกอย่างไร เราไม่มีเจ้าภาพในการติดตามคดีนี้ให้เป็นระบบ
ดังนั้น ดิฉันเข้าใจว่า ปัจจุบันรัฐไทยเริ่มที่จะเอาจริง จึงอยากจะขอฝากรัฐบาลไทยว่า มีความจำเป็นที่จะต้องแก้ปัญหานี้อย่างเป็นระบบ ต้องตัดตอนกระบวนการนี้ให้ทำงานไม่ได้ ให้ต้นทุนของธุรกิจนี้สูงเกินกว่าที่จะสร้างกำไรได้
การตัดไฟ ตัดอินเทอร์เน็ตอย่างเดียว ไม่ได้แก้ปัญหาทั้งระบบ อย่างที่บอก ระบบธุรกิจนี้พึ่งพาการค้ามนุษย์ พึ่งพาตลาดซื้อขายข้อมูลผิดกฎหมาย พึ่งพาเทคโนโลยีโทรคมนาคม ซึ่งยังคงซื้อขายกันได้อย่างเสรี รวมทั้งการฟอกเงินและการเปิดบัญชีเงินม้าทั้งหลาย – 4 วงจรใหญ่นี้ต้องถูกทำลาย
ตอนนี้สิ่งที่รัฐบาลทำคือการพยายามที่จะตัดโครงสร้างพื้นฐาน – ทุกบริษัทต้องมีน้ำ มีไฟ ในการดำเนินกิจการ ถ้าไม่มี คุณดำเนินกิจการไม่ได้ – แต่อันนี้แค่จุดเริ่มต้น อิฐก้อนแรก
ทีนี้ ถ้าบริษัทเหล่านี้อยู่ในที่ที่ไม่มีน้ำ ไม่มีไฟ ก็ย้ายไปที่ใหม่ที่มีน้ำ มีไฟ มีอินเทอร์เน็ต ก็ทำงานได้เหมือนเดิม เพราะว่าอีก 4 วงจรยังอยู่ ดังนั้น คำถามสำคัญคือ คุณจะทำลายวงจรค้ามนุษย์อย่างไร จะทำลายระบบนายหน้าซึ่งค้ามนุษย์ ซื้อคนมา เอาคนมา และเดินทางผ่านด่านทั้งหลาย ไปถึงจุดที่เขาส่งตัวคน อย่างไร เรารู้อยู่ว่า การทำอย่างนี้ได้ ต้องจ่ายเบี้ยบ้ายรายทาง และเผลอๆ เจ้าของบริษัทอาจจะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐเอง
ถ้าคุณทำลายระบบการค้ามนุษย์ที่ผิดกฎหมาย มันคือการรื้อเอากลุ่มคนที่สนับสนุนขบวนการทั้งหมดให้ออกไป ตอนนี้ในบางข่าวจะเห็น มีการย้ายกันพอสมควร ย้ายผู้กำกับที่ ตม. ของแม่สอด ย้ายตำรวจที่ดูแล มีการโยกย้าย โยกย้ายแล้วอย่างไรต่อ? มันจะทำลายระบบส่วยในการของขนคนข้ามแดนได้หรือไม่?
ตลาดมืดซื้อขายข้อมูล เรื่องนี้ดิฉันคิดว่ามันไม่เหลือบ่ากว่าแรงตำรวจไซเบอร์ในการที่จะเข้าไปจัดการ เพราะขนาดคดีที่ยากๆ หรือคดีอินเทอร์เน็ตทั้งหลายที่เราก็รู้กันอยู่ ยังไปตามมาได้เลยว่าเป็นใครมาจากไหน อันนี้ไม่มีทางไม่รู้ รู้อยู่แล้วว่า เขาซื้อขายที่ไหน ใครเป็นคนเอามาขาย พวกนี้สามารถที่จะเช็คได้ ปัญหาคือ คุณจะทำหรือไม่
ก็มีข่าวออกมาอยู่บ้าง อย่าง 1-2 เดือนที่แล้ว ก็มีข่าวจับอดีตพนักงานบริษัทประกัน เอาข้อมูลของลูกค้าไปขาย แต่เราก็จะรู้แต่ข่าวแค่นี้ เราจะไม่รู้ว่า ตกลง ตำรวจมีโครงการที่จะจัดการทำลายตลาดซื้อขายข้อมูลแบบเป็นระบบหรือเปล่า
ในฐานะนักวิชาการที่ติดตามภูมิภาคนี้ มีความรู้สึกอย่างไรกับเรื่องราวทั้งหมด
ในแง่สเกล อาชญากรรมนี้เป็นสเกลที่ใหญ่มาก อาจจะเรียกได้ว่า ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์อาชญากรรมของมวลมนุษยชาติ ในแง่ที่ว่า ภายในเวลาอันสั้น 3-4 ปี มันก่อความเสียหายกับเศรษฐกิจของโลกได้ขนาดนี้ ขนาด 10 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ถ้าคูณเป็นเงินไทย โอ้โห 300 กว่าล้านล้านบาททั่วโลก
มันเป็นการทำลายเงินเก็บของคนมหาศาล และเป็นคนในเจเนอเรชันที่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินเก็บสะสมเหล่านี้ เพื่อที่เขาสามารถที่จะอยู่รอดได้ กับคนซึ่งอยู่ในเจนฯ ที่ต้องการเงินไปประกอบการหรือลงทุนเพื่อสร้างธุรกิจหรือสร้างฐานะตัวเอง
ดังนั้น มันเป็นการทำลายเศรษฐกิจฐานรากของเงินออม และทำลายเศรษฐกิจซึ่งจะนำไปสู่การลงทุนให้กับสังคมแต่ละสังคม โดยสเกลแล้วมันใหญ่มาก ดังนั้น มันจึงเป็นปัญหาเร่งด่วน ที่ประชาคมโลกต้องร่วมมือกัน
แน่นอน เรากำลังพูดถึงการผลักดันเศรษฐกิจไปข้างหน้า ทำอย่างไรให้ประเทศมีจีดีพีที่สูงขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน การทำให้จีดีพีสูงขึ้น มีความสำคัญเท่ากับการทำให้ฐานรากของเศรษฐกิจของเราไม่ถูกบ่อนเซาะหรือถูกทำลาย
ทีนี้ ประเด็นคือว่า เนื่องจากศูนย์กลางของอาชญากรรมอันร้ายแรงนี้อยู่ในเขตชายแดนของไทย และอยู่ในไทย ดังนั้น มันหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่ไทยจะต้องเป็นประเทศที่เป็นหัวหอกในการจัดการตัดไฟตั้งแต่ต้นลม คือ ปราบปรามอาชญากรรมนี้
แน่นอน เครือข่ายของอาชญากรรมซับซ้อนและใหญ่มาก เกินกว่าที่ประเทศเดียวจะรับมือคนเดียวไหว ดังนั้น มันจึงเป็นเหตุผลที่ไทยจะต้องแสวงหาความร่วมมือจากประเทศในอาเซียนในการจัดการกับปัญหานี้ให้ได้
ดังนั้น ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม รัฐต้องใช้องคาพยพทั้งหมดที่รัฐมี เครื่องมือทั้งหมดที่รัฐมี ในการแก้ไขจัดการกับปัญหานี้ให้ได้ เพราะมิฉะนั้น อาชญากรรมเหล่านี้จะขยายตัว และแผ่ขยายไปเรื่อยๆ เพราะเราจัดการกับมันไม่ได้ ถ้าลองดูสเกลของการขยายตัวของมัน มันน่าตกใจมาก ดังนั้น มันถึงเวลาที่ต้องจัดการกับต้นตอปัญหาให้สิ้นซาก
ก็ยังมีความหวัง จริงๆ ต้องขอชมเชยรัฐบาลไทยที่มีความกล้า ตั้งใจแก้ปัญหา ด้วยการวางอิฐก้อนแรก คือการตัดไฟ ตัดอินเทอร์เน็ต หวังว่าจะมีอิฐก้อนที่ 2 อิฐก้อนที่ 3 และก้อนอื่นๆ ต่อไป