“นี่เรายังรักกันเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า”
“ไม่รู้เหมือนกัน”
เราเคยส่งเพลงให้กันทุกวัน โทรคุยกันจนดึก ไปเดตกันทีไรก็แสนโรแมนติกเหมือนฝันตลอดเวลา ทำไมพอเวลาผ่านไป รักของเราถึงไม่เหมือนเดิมกันนะ ไม่มีอีกแล้วเพลงที่เคยส่ง ไม่ได้โทรคุยกันอีกต่อไป บทสนทนาของเราเริ่มจืดจางลง ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการถามว่าตอนนี้ทำอะไรอยู่
ในยามแรกรัก
ในยามแรกรัก ไม่ว่าจะทำอะไรก็แสนจะตื่นเต้น ซึ่งความรู้สึกนี้อธิบายได้ด้วยสารเคมีในสมอง โดปามีนทำให้เราสนใจในกันและกัน อยากจะรู้จักกันมากขึ้น แต่โดปามีนจะทำงานเฉพาะกับสิ่งใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้น หรือสิ่งใหม่ๆ ที่ใจเราคิดว่า ‘มันเป็นไปได้’ ซึ่งความรู้สึกรักที่เกิดในช่วงเวลาแสนโรแมนติกนี้ จะเป็นรูปแบบของความเสน่หา (Passionate Love) ซึ่งมีพลังมากยิ่งขึ้นด้วยความเข้มข้นของความรู้สึก ยิ่งหลงใหล ยิ่งอยากเข้าใกล้ ความรักจะพุ่งขึ้นสูงถึงจุดพีค จนโลกทั้งใบมีแค่เรา 2 คน
นั่นเป็นการอธิบายว่าทำไมเวลาเราเริ่มชอบใครสักคน เราจะอยากตื่นเช้าขึ้นมาคุยกับเขา ตั้งใจแต่งตัวในทุกวัน รู้จักกันมากขึ้นกว่าเดิมสักนิด ขับรถเป็นชั่วโมงเพื่อไปเจอหน้ากันแค่ 5 นาที อ่อนนุชกับอยุธยามันก็แค่หน้าปากซอยเท่านั้นแหละ
แต่เมื่อเวลาผ่านไปถึงจุดหนึ่งที่ระดับโดปามีนค่อยๆ ลดลง เราก็ต้องตัดสินใจว่า เราจะเอายังไงต่อกับความสัมพันธ์นี้ จะพัฒนาความสัมพันธ์ไปให้เหนือกว่าความอยากโดปามีน ซึ่งส่วนใหญ่หลังจากที่สามารถเอาชนะความอยากโดปามีนได้ ก็จะก่อเกิดเป็นความผูกพันที่เกิดขึ้นมา
เมื่อรูปแบบความรักของเราเปลี่ยนไป
ในทางวิทยาศาสตร์ก็ชี้ให้เห็นว่า ความรักที่ร้อนแรงในคราแรก จะค่อยๆ กลายเป็นความผูกพันในเวลา 1-2 ปี เมื่อโดปามีนเริ่มหมดลง ดังนั้นคำว่า ‘ความรักจืดจาง’ ก็น่าจะหมายถึงการที่ความเสน่หาที่แปรเปลี่ยนไปเป็นความผูกพันมากกว่า ในกรณีที่เรายังอยากจับมือเดินไปด้วยกันอยู่
เมื่อถามตัวเองว่า พร้อมที่จะจับมือเขาเดินทางหรือยัง แล้วพบคำตอบว่า ‘ใช่’ ความรักก็พร้อมจะพัฒนาไปเป็นความผูกพัน (Compassionate Love) ที่ยิ่งมีพลังเมื่อเราอยู่ใกล้ชิดกัน ซึ่งก็มีเรื่องเกี่ยวกับสารเคมีเข้ามาเอี่ยวเช่นกัน จากโดปามีนที่มอบความสุขและความตื่นเต้นให้เรา จะกลายเป็นออกซิโทซินและวาโซเพรสซิน ที่มอบความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยให้กับเราแทน นี่จึงเป็นคำตอบว่าทำไมความรักของคนแก่เฒ่าที่ไม่ได้มีความหวือหวาอะไรถึงยังคงแข็งแกร่ง แม้สิ่งที่พวกเขาทำร่วมกันจะเป็นแค่การทำอาหารอยู่ในบ้าน นั่งจับมือคุยเรื่องราวในวันวาน หรือดูแลกันในยามเจ็บป่วย
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเวลาจะพรากความโรแมนติกไปจากความสัมพันธ์ คนที่พาความสัมพันธ์เดินไปถึงจุดของความผูกพันแล้ว ก็ยังสามารถรู้สึกถึงความเสน่หาได้อยู่ แต่ความเข้มข้นและความเร่งเร้าของมันอาจจะไม่ได้เหมือนเดิม ความผูกพันจะทำให้เราแคร์อีกฝ่ายอย่างลึกซึ้ง ทำให้เรารู้จักเขามากกว่าที่เราเคยรู้จัก และทำให้ก้าวข้ามผ่านเรื่องราวต่างๆ ด้วยกันได้ ไม่ว่ามันจะเป็นช่วงเวลาที่ดีหรือแย่ ซึ่งมีงานวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่าความสัมพันธ์ที่เแข็งแกร่งและยืนยาวนั้น คือความสัมพันธ์ของคู่ที่สามารถรักษาสมดุลของความเสน่หาและความผูกพันเอาไว้ได้ดี
แต่ก็มีในบางกรณีที่เราไม่ได้อยากพัฒนาความเสน่หาที่น่าตื่นเต้นแต่ฉาบฉวย ให้กลายเป็นความผูกพันที่เชื่องช้าแต่มั่นคง นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำไมบางคนยังโหยหาความรู้สึกแรกรักอยู่เสมอ และอาจนำมาสู่ปัญหาความสัมพันธ์ในหลากหลายรูปแบบอย่างการนอกใจหรือการหมดรัก
ซึ่งตรงนี้เราสามารถนำทฤษฎีความผูกพัน (Attachment Style) มาอธิบายในหลายเรื่องได้ อย่างคนที่มีรูปแบบความสัมพันธ์แบบมั่นคงนั้น จะสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ยืนยาวและลึกซึ้ง จนพัฒนาไปเป็นความผูกพันได้มากกว่าคนที่มีความสัมพันธ์แบบวิตกกังวล ที่อาจจะตกหลุมรักคนง่ายและสะบัดคนออกจากชีวิตได้ง่ายพอกัน ซึ่งพวกเขามีแนวโน้มที่จะมองความรักแบบเสน่หาให้จนหมดหัวใจ แล้วก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลย
มันคือความรัก หรือเราแค่เคยชิน
เมื่อความสัมพันธ์ของเราเริ่มเปลี่ยนไป หน้าแชตที่เคยมีสีสันเพราะเราคุยกันตลอดเวลาเริ่มจืดจางลง การเคารพและให้พื้นที่ส่วนตัวกันเป็นเรื่องสำคัญก็จริง แต่การที่เราปล่อยให้ตัวเองและอีกฝ่ายชินกับการไม่คุยกันอีกต่อไปแล้วก็เป็นสิ่งหนึ่งที่สามารถทำร้ายความสัมพันธ์ได้ เมื่อมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชินกับบทสนทนาที่เงียบไปนั้น มันเป็นเรื่องยากมากที่จะทำให้สีสันในวันวานกลับมาอีกครั้ง
ถ้าพิจารณาความสัมพันธ์แล้ว ว่ามันไม่ใช่การที่ความเสน่หาแปรเปลี่ยนไปเป็นความผูกพัน ความสัมพันธ์นี้เป็นแค่เรื่องของความเคยชินที่เห็นกันและกันอยู่ในสายตา หรือความกลัวว่าวันหนึ่งไม่มีเขาแล้วเราจะไม่มีใครเลย จุดนี้อาจต้องหันหน้ามาคุยกันสักหน่อยแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างเรา ก่อนที่อะไรจะสายเกินไป
ลองหาสาเหตุว่าเป็นเพราะอะไร ทำไมเราถึงคุยกันน้อยลง อาจเพราะชีวิตหน้าที่การงานที่เปลี่ยนไปหรือเปล่า เรื่องของการดูแลลูกใช่ไหมนะ หรือเพราะเราไม่ได้กอดกันตอนเช้าก่อนแยกย้ายไปทำงานอีกต่อไป ระยะทางที่เราต้องอยู่ห่างไกลกันหรือเปล่า แต่หนึ่งในสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ไม่ว่าตอนนี้สถานการณ์ความสัมพันธ์ของเราจะเป็นอย่างไร เราจะต้องไม่เปรียบเทียบสถานการณ์ในตอนนี้กับในอดีต เพราะมีแต่จะช้ำใจและไม่ทำให้อะไรดีขึ้นไปกว่าเดิม
แต่ถ้ายังคงหาคำตอบให้กับความสัมพันธ์ไม่ได้ การปล่อยมือจากกันอาจจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดก็ได้ และไม่ได้มีใครมองว่าผิดหรอก
อ้างอิงจาก