“I love The Smiths”
“Sorry?”
“I said I love The Smiths”
บทสนทนาสั้นๆ ไม่กี่อึดใจที่เกิดขึ้นในลิฟต์จากภาพยนตร์ ‘(500) Days Of Summer’ กลายมาเป็นฉากประทับใจที่ใครๆ ก็จำได้ไม่ว่าจะเป็นแฟนตัวยงของหนังเรื่องนี้ หรือเคยเห็นเพียงฉากสั้นๆ นี้ก็ตาม
แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นฉากแสนประทับใจ แต่สิ่งที่ทำให้ฉากนี้เป็นที่ชื่นชอบนั้น ไม่ใช่เพราะความรักที่ผลิบาน ความหวานที่เปี่ยมล้น หรือบทพูดเฉียบแหลมอะไร แต่เป็นความธรรมดา ธรรมดาเสียจนพร้อมจะเกิดขึ้นกับเราทุกคนได้เช่นกัน
ซัมเมอร์ ก้าวตามหลังทอมเข้ามาในลิฟต์ มีเพียงรอยยิ้มและคำทักทายตามมารยาทเท่านั้น จนกระทั่งซัมเมอร์กระตือรือร้นที่จะบอกกล่าวถึงความชอบของเธอที่ตรงกันกับทอม เอ่ยชมรสนิยมในการฟังเพลงของเขาที่บังเอิญดังลอดหูฟังไปเข้าหูเธอเข้า แต่มันก็ไม่กี่ประโยคเท่านั้น แล้วเธอก็ก้าวเท้าออกจากลิฟต์ไป ทิ้งไว้เพียงความงุนงงและหัวใจเต้นโครมคราม
แม้ตอนต้นเรื่อง จะมีคำเตือนแล้วว่า นี่ไม่ใช่เรื่องรักหวานแหวว แต่ความรักครั้งสำคัญในชีวิตทอม ได้เริ่มขึ้นหลังลิฟต์นั้นปิดลง
ภาพยนตร์ (500) Days Of Summer เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความรัก (แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องรักหวานแหวว) ของทอม (โจเซฟ กอร์ดอน-เลวิตต์) และซัมเมอร์ (ซูอีย์ เดสชาเนล) โดยการเล่าเรื่องจะเล่าผ่านลำดับวันที่สลับไปมา วันที่ 1 เป็นเรื่องราวในตอนที่ทอมได้เจอซัมเมอร์ครั้งแรก ทีนี้เราก็คงจะพอเดากันได้แล้วว่าวันที่ 500 จากชื่อเรื่องนั้นจะเป็นวันอะไร
ด้วยการเล่าเรื่องสลับไปมานั้น ทำให้เราเห็นตั้งแต่แรกเริ่มแล้วว่า ความสัมพันธ์ของทั้งคู่นั้นไม่ได้อยู่ในไดนามิกเดียวกันกับหนังรอมคอมเรื่องอื่น ที่เริ่มจาก เกลียดขี้หน้ากัน รู้จัก รัก เข้าใจผิด พลัดพลาก และดีกันในตอนท้าย ความสัมพันธ์ของทั้งคู่นั้นดำเนินไปคนละทิศละทาง ทอมมีปัญหาเรื่องการทำความเข้าใจในตัวซัมเมอร์อยู่เสมอ ตั้งแต่แรกเริ่มรู้จัก ได้อยู่เคียงชิดใกล้ แม้กระทั่งวันที่เธอจากไป ต่างจากซัมเมอร์ที่มองความสัมพันธ์แบบเรียบง่าย และทำกล้าตัดสินใจเพื่อตัวเองเสมอ
ตัวเลขจำนวนวันผันผ่านไปตามเวลา สลับไปมาให้เราได้เห็นชะตากรรมของทั้งคู่ ว่าเรื่องราวของเขาและเธอแค่เกิดขึ้นและจบลงในแบบที่ไม่มีคำปลอบใจ ไม่มีรถด่วนขบวนสุดท้ายให้กระโดดขึ้นได้ทัน ไม่มีฉากหันหลังให้กลับมาเจอ ราวกลับจะคอยย้ำเตือนคนดูอยู่เสมอว่าความสัมพันธ์ในชีวิตจริง มันก็เท่านี้แหละ
อะไรกัน แค่หนังคนอกหักคนหนึ่งงั้นหรอ ด้วยความสัตย์จริง ต้องขอตอบว่าใช่ แต่หนังคนอกหักที่มีอายุครบ 15 ปีในปีนี้นั้น ยังคงมอบบทเรียนร่วมสมัยให้เราได้เสมอ
เพราะเราต่างเป็นคนคลั่งรักแบบทอม
“ทอม เป็นเด็กหนุ่มที่เติบโตมาโดยเชื่อว่า เขาไม่มีวันมีความสุขจนกว่าจะได้เจอเนื้อคู่ ความเชื่อนี้มาจากการฟังเพลงป๊อปแสนเศร้าของอังกฤษตั้งแต่เด็ก และการตีความเนื้อหาของหนัง The Graduate ผิดไป”
นั่นคือสิ่งที่หนังบอกเราเกี่ยวกับทอมในตอนต้นเรื่อง และในระหว่างเรื่องราวดำเนินไป เราจะได้รู้จักทอมมากยิ่งขึ้น และเข้าใจแล้วว่าคำโปรยเกี่ยวกับทอมในตอนต้นนั้น ไม่มีอะไรผิดไปสักประโยคเดียว
ทอมใช้ชีวิตเป็นหนุ่มจืดทั่วไป อยู่ในกลุ่มเพื่อนที่เป็นหนุ่มจืดพอกัน เมื่อเจอกับซัมเมอร์ สาวที่แสนพิเศษในสายตาเขา และท่าทีของเธอก็เหมือนเปิดโอกาสให้เขาได้ก้าวเข้าไปรู้จักเธอมากขึ้นเสมอ เขาจึงหมกมุ่นอยู่กับการทำความเข้าใจในทุกการกระทำของเธอ เอาแต่คิดว่าเมื่อซัมเมอร์เข้าหาแปลว่าเธอมีใจใช่ไหม แล้วที่เธอเดินผ่านโต๊ะเขาไปโดยไม่ได้ถามถึงเพลง The Smiths ที่เขาตั้งใจเปิดล่ะ หมายความว่ายังไงกันแน่ ตกลงจะชอบเขาหรือไม่ได้ชอบ
ในระหว่างที่ไขคำตอบในพฤติกรรมของซัมเมอร์ ทอมพยายามเป็นไอ้หนุ่มเท่ในสายตาเธอไปด้วย แม้เขาจะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเธอไม่ได้เชื่อในความรัก ไม่ได้ต้องการความสัมพันธ์แบบผูกมัด แต่เพราะเขาเชื่อเสมอว่า เขารับมือไหวกับความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อเรียกนี้ และสามารถเปลี่ยนให้เธอมาเชื่อในความรักได้ (ด้วยความรักของเขานั่นเอง) แต่แน่นอนว่าทอมทำไม่ได้ และไม่มีทางทำได้
ด้วยความเชื่อที่ว่าเขาสามารถทำให้ซัมเมอร์เปลี่ยนใจได้นี้นี่แหละ ทำให้เรากลับเป็นฝ่ายติดกับเสียเอง ยิ่งทั้งคู่ใกล้ชิดกัน ทอมยิ่งรู้สึกถึงความเป็นไปได้ที่จะได้ลงเอยกัน ทอมก็ยิ่งเอาใจลงไปเล่นแบบไม่มีกั๊ก และยิ่งทุ่มเทความรักลงไปเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นเขาเองที่ถอนตัวจากความสัมพันธ์นี้ได้ยากเท่านั้น เพราะในระหว่างที่เขาเอาแต่มองเห็นความคืบหน้า เอาแต่คิดว่าซัมเมอร์เองก็มีใจให้เขาไม่ใช่น้อย นั่นคือช่วงเวลาเดียวกันกับที่เขาเอาแต่คาดหวังให้ซัมเมอร์อยู่ในความสัมพันธ์แบบที่เขาต้องการ จนลืมไปว่าเธอนั้นชัดเจนต่อความรู้สึกตัวเองขนาดไหน
แต่เราก็ว่าทอมไม่ได้เต็มปาก เพราะเราต่างเคยเป็นคนคลั่งรักจนเอาใจลงไปเล่นแบบทอมในบางครั้ง โดยเฉพาะเมื่อเราเจอคนที่ใช่ ใช่เสียจนไม่อยากปล่อยให้กลายเป็นความสัมพันธ์ที่ผ่านมาแล้วผ่านไป ยิ่งอีกฝ่ายตอบรับกลับมาด้วยท่าทีเหมือนมีใจ เดิมพันนี้เลยขอเทหมดหน้าตัก ลืมความเสี่ยงทั้งหมดที่จะเกิดขึ้น มองเห็นเพียงความเป็นไปได้เท่านั้น ก็เลยได้ลงเอยที่น้ำหยดลงหินทุกวัน หินบอก “นายยังเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันนะ”
หรือเพราะเราต่างเป็นคนใจร้ายแบบซัมเมอร์
“ซัมเมอร์ ไม่เคยเชื่อเรื่อง(ความรัก)นี้เลย เธอมีผมดำยาวอันเป็นสิ่งที่เธอรักและหวงแหน แต่เธอกลับตัดผมดำยาวนั้นของเธอได้โดยที่ไม่รู้สึกอะไรเลย”
นั่นคือสิ่งที่หนังบอกเราเกี่ยวกับซัมเมอร์ในตอนต้นเรื่อง และในระหว่างเรื่องราวดำเนินไป เราจะได้รู้จักเธอมากยิ่งขึ้น และเข้าใจแล้วว่าคำโปรยเกี่ยวกับเธอในตอนต้นนั้น ไม่มีอะไรผิดไปสักประโยคเดียว
“ไม่เชื่อในความรัก” “ไม่ได้มองหาอะไรที่มันจริงจัง” เป็นสิ่งที่ซัมเมอร์ย้ำกับทุกคนที่เข้ามารวมถึงทอมด้วย เธอไม่ได้พูดเพื่อเล่นเกมในความสัมพันธ์ หรือเพื่อตั้งตนเป็นสาวกำแพงสูงจนอีกฝ่ายต้องขอบันไดหน่อย แต่เธอเป็นคนที่เข้าใจว่าตัวเองต้องการอะไร และทำสิ่งนั้นอย่างตรงไปตรงมาจริงๆ ตั้งแต่การขีดเส้นที่ชัดเจนกับทอมตั้งแต่แรก ไปจนถึงการตัดสินใจแต่งงานกับคนที่เธอเลือกในตอนท้าย
ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีฝั่งที่มองว่าการกระทำของซัมเมอร์เอง เป็นการให้ความหวังทอมอยู่ไม่น้อย ทั้งการเดตกัน ใช้เวลาด้วยกัน ทำทุกอย่างเหมือนเป็นแฟนกัน จะแปลกอะไรถ้าทอมคิดไปไกล ซัมเมอร์ต่างหากล่ะที่ใจร้าย
ซัมเมอร์จึงเป็นเหมือนตัวแทนความสัมพันธ์สมัยใหม่ ถ้าใกล้เคียงที่สุดคงเป็น ‘Situationship’ ที่เราทำทุกอย่างเหมือนเป็นแฟนกัน แต่ไม่ได้เป็นอะไรกัน จะว่าเพื่อนก็ไม่ใช่ จะว่าแฟนก็ไม่เชิง สนิทสนมเกินจะถอยหลัง แต่ก็ไม่มีแผนพัฒนาความสัมพันธ์ไปไกลกว่านี้
เราอาจเคยเป็นคนใจร้ายแบบซัมเมอร์ในบางครั้ง หยิบยื่นความสัมพันธ์ให้ใครสักคน แต่กลับหยุดยั้งมันไว้ไม่ให้เติบโตไปมากกว่าที่เราต้องการ อาจเพราะเรารู้สึกว่าเราไม่อาจทำหน้าที่รับผิดชอบความคาดหวังของใครได้ จึงต้องการความสัมพันธ์เพียงทริปสั้นๆ ไม่ก้าวไปบนตัวเลือกที่เราไม่มั่นใจ ไม่เป็นหินที่ยอมใจอ่อนเพราะถูกน้ำหยดลงทุกวัน
เมื่อฤดูร้อนผ่านไป ใจก็เปลี่ยนแปลง
ผ่านมา 15 ฤดูร้อนนับจากปีที่หนังเรื่องนี้ฉายเป็นครั้งแรก ช่วงเวลาเหล่านี้ อาจนานพอให้เราที่เคยคลั่งรักไม่ลืมหูลืมตา เอาใจลงไปเล่นแบบไม่แยแสความเสี่ยง ได้กลายร่างมาเป็นยัยซัมเมอร์ตัวร้าย คนที่เคยเห็นใจทอม กลับมาดูอีกครั้งก็กลายเป็นรำคาญเสียแทน คนที่เคยคิดว่าซัมเมอร์ช่างใจร้าย ก็อาจเข้าใจซัมเมอร์มากขึ้น เราต่างเคยเป็นคนคลั่งรักและคนใจร้ายในชีวิตใครสักคนเสมอ หรือสุดท้ายแล้วอาจกลายเป็นคนที่มองว่าความรักมันก็เพียงเท่านั้น เปลี่ยนไปในทุกช่วงชีวิต เข้ามาและจากไปเหมือนฤดูร้อนอันสดใสที่ทิ้งไว้เพียงรอยแผดเผา
มุมมองความรักก็เปลี่ยนแปลงและเติบโตไปพร้อมกับเรา รักสอนให้ทุ่มเทแบบทอม สอนให้รู้ใจตัวเองแบบซัมเมอร์ สอนให้รักให้ถูกคน และสอนอะไรอีกมากมาย แต่กุญแจสำคัญในหนังเรื่องนี้ อาจเป็นการสอนให้มองจุดมุ่งหมายของความสัมพันธ์ให้ตรงกัน หากมองกลับไปที่ความสัมพันธ์ของทอมและซัมเมอร์ สิ่งนี้เหมือนจะเป็นต้นเหตุของเรื่องราวรักรสขมทั้งหมดนี้
ทอมไม่เคยยอมรับว่าตัวเองจะเอาไม่อยู่ในความสัมพันธ์แบบไม่มีชื่อเรียกนี้ กระดุมเม็ดแรกกลัดไว้ผิดที่อย่างตั้งใจ เขาบอกซัมเมอร์เสมอว่าโอเคกับสถานะ(ที่ไม่มีสถานะ)ที่เธอให้ และไม่เคยบอกความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองออกมา ว่าเขาคาดหวังกับความสัมพันธ์ไว้แบบไหน เพียงเพราะเขารู้ว่าหากเอ่ยไปสักครั้งแล้วล่ะก็ เขาต้องเสียเธอไปแน่ๆ
ปัญหาอยู่ตรงที่ทั้งคู่ไม่ได้มองความสัมพันธ์ไปที่ปลายทางเดียวกัน และมันก็ยังเกิดขึ้นแบบนี้ซ้ำๆ เสมอในทั่วทุกมุมโลก จนหนังเรื่องนี้แม้จะผ่านไปนานแค่ไหน ก็ยังคงบอกเล่าบทเรียนในความสัมพันธ์ได้แบบไม่เคยเก่าเลย
แล้วฤดูร้อนปีนี้ คุณอยู่ทีมใคร?