เรื่องหึงหวงแทบไม่มี ตัวไม่ติดกันตลอดเวลา ต่างคนมีช่วงเวลาเงียบๆ ของตัวเอง แบบนี้ยังเรียกว่าเป็นแฟนกันอยู่ไหมนะ
ก่อนหน้านี้เคยเข้าใจว่าความรักมักถูกคาดหวังว่าเพิ่มขึ้นทุกวัน เมื่อวานหวานแล้ว วันนี้ต้องหวานให้ได้มากกว่าเดิม หรือใครคนหนึ่งต้องทุ่มเท เปลี่ยนตัวเอง เพื่อพิสูจน์ความจริงใจ จึงจะถือว่าเป็นรักแท้ที่ตามหา
แต่เอาเข้าจริง ความรักกลับไม่เป็นอย่างนั้นเสมอไป เมื่อเวลาผ่านไป จนถึงช่วงที่ต่างคนต่างเปิดเผยตัวเองออกมาเต็มที่ จากความรักเต็มไปด้วยเสน่หา เรากลับรู้สึกกับแฟนเหมือนเพื่อนที่สบายใจต่อกัน ไม่ใช่ความอยากลดระดับความสัมพันธ์เหลือเพียงเพื่อน เพราะในใจก็ยังเป็นห่วงและปรารถนาให้มีเขาอยู่ข้างกาย เพียงแต่ความรักเชิงโรแมนติกน้อยลงจากเดิม จนแทบจะเหมือนเพื่อนกันเท่านั้น
แล้วการรู้สึกกับคนรักเหมือนเพื่อนกันเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงไหม? ในเมื่อมองย้อนกลับไปมองความรักแบบที่ใครๆ ก็ว่าไว้ มันช่างต่างจากความรักที่เห็นบ่อยๆ ในหนัง หรือซีรีส์อย่างที่เราเข้าใจ จนอดสงสัยไม่ได้ว่านี่เป็นความสัมพันธ์นี้กำลังเดินหน้าไปในทางที่ถูกต้องหรือเปล่า เป็นไปได้ไหมว่าความรักก็ยังมีหน้าตาแบบอื่นๆ อยู่ด้วย และการรักแฟนแบบเพื่อนก็อาจจะไม่ได้เป็นเรื่องผิดแปลกแต่อย่างใด

เมื่อมิตรภาพและรักโรแมนติกอยู่ใกล้กันกว่าที่คิด
การอยู่ในความสัมพันธ์ที่เรารู้สึกว่าแฟนตัวเองเหมือนเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่ง อาจสังเกตได้จากความใกล้ชิดที่มีอะไรบางอย่างคล้ายกัน หรือสามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่องอย่างตรงไปตรงมา เป็นตัวเองได้โดยไม่ต้องกลัวการตัดสิน ทั้งคู่ต่างเคารพพื้นที่ส่วนตัว และไม่พยายามเปลี่ยนอะไรที่ผิดไปจากธรรมชาติของตัวอีกฝ่าย
จากเดิมเวลาอธิบายเรื่องความจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์แบบโรแมนติก นักวิทยาศาสตร์มักอธิบายว่า มาจากความสัมพันธ์แม่ลูกอย่างที่เห็นในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั่วไป แต่งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Evolutionary Anthropology ปี 2023 โดย แอรอน แซนเดล (Aaron Sandel) ศาสตราจารย์แห่งภาควิชามานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยเท็กซัส ตั้งสมมติฐานใหม่ว่า รักโรแมนติกอาจพัฒนามาจากความรู้สึกแบบเพื่อน
ในงานวิจัย เขาเฝ้าศึกษาพฤติกรรมของชิมแปนซีนับสิบปี เนื่องจากมันเป็นบรรพบุรุษที่ใกล้ชิดกับมนุษย์ เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับต้นตอของความรักเชิงโรแมนติกของมนุษย์ นักวิจัยพบว่าในความสัมพันธ์แบบเพศเดียวกันของชิมแปนซี ก็มีการแสดงให้เห็นถึงความผูกพันอารมณ์ เช่น ความเครียดลดลง มีพฤติกรรมที่ทำเฉพาะกับคู่ตัวเอง รวมถึงความหึงหวงเมื่ออีกฝ่ายไปทำความสะอาดขนให้ลิงตัวอื่น จึงเป็นไปได้ว่า ความรักโรแมนติกในมนุษย์ อาจมีต้นกำเนิดมาจากมิตรภาพระหว่างเพศเดียวกันของลิง
สรุปง่ายๆ คือ ทั้งความสัมพันธ์แบบโรแมนติกหรือแบบมิตรภาพ ต่างมีความใกล้เคียงกัน ขณะเดียวกันการมีความรู้สึกแบบเพื่อนที่เกิดกับแฟนอาจไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป เพราะในแง่หนึ่งก็ช่วยเสริมให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นขึ้นด้วย
ยืนยันได้จากสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจแห่งชาติของอเมริกา ที่วิจัยจากแบบสำรวจคู่แต่งงานชาวอังกฤษ พบว่าคู่แต่งงานที่มองว่าอีกฝ่ายเป็นเพื่อนสนิทจะมีความพึงพอใจกับชีวิตและมองการแต่งงานในแง่บวกมากกว่าถึง 2 เท่า
จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย อธิบายว่าความมั่นคงและความแน่นแฟ้นของมิตรภาพ นอกจากความใกล้ชิดและความผูกพันแล้ว ยังมาจากความเข้ากันได้ ความใกล้ชิด และความอบอุ่น ดังนั้นแม้จะไม่มีการเดตหรือการมีเซ็กส์ แต่แค่ได้เปิดใจและใช้เวลาร่วมกัน เราก็สามารถมีความสัมพันธ์ที่ดีได้เช่นกัน

โลกเปลี่ยนหน้าตาความรักก็เปลี่ยน
แล้วอะไรที่ทำให้การมองคนรักเป็นเหมือนเพื่อนเกิดขึ้นนะ อีไล ฟินเคิล (Eli J. Finkel) อธิบายว่าความคิดที่มองว่าคนรักเป็นเหมือนเพื่อนสนิทเพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน หากไล่เรียงตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันจะพบว่าเหตุผลของการแต่งงานของคู่รักก็เปลี่ยนไปด้วย
จากอดีตการแต่งงานมักเน้นเรื่องความอยู่รอดเดี่ยวๆ ไม่เกี่ยวกับความรัก เช่น เพื่อให้มีอาหารหรือที่อยู่อาศัย จากนั้นขยับมาเข้าสู่ยุคที่เน้นเรื่องรักโรแมนติกมากขึ้น โดยคนที่จะแต่งงานต้องเป็นคนที่เกิดมาเพื่อคู่กันเท่านั้น จนถึงปัจจุบัน ยุคที่เราเปิดเผยตัวตนเต็มที่ หลายคนเลือกแต่งงานกับคนที่สามารถเติมเต็มความต้องการทางอารมณ์และจิตใจ หากรักกันอย่างเดียวแล้วไม่ได้เป็นตัวเองก็อาจไม่พอ ความคิดที่คนรักเป็นเหมือนเพื่อนสนิทจึงช่วยให้เรายอมรับตัวเองได้ไม่ว่าในด้านดีหรือร้าย
จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Journal of Social and Personal Relationships ปี 2025 สำรวจผู้ใหญ่ชาวอเมริกัน 940 คนที่กำลังอยู่ในความสัมพันธ์แบบโรแมนติก และดูว่ามีใครบ้างที่มองว่าคู่รักเหมือนเพื่อนสนิท ปรากฎว่าผู้เข้าร่วม 1 ใน 3 หรือราว 36% มองว่าคู่รักของตัวเองเป็นเหมือนเพื่อนคนหนึ่งที่ตัวเอง และอีกประมาณ 14% ระบุว่าคนรักคือเพื่อนสนิท
แต่ความน่าสนใจอยู่ที่ ปัจจัยที่ทำให้คนกลุ่มหนึ่งมองคนรักเป็นเหมือนเพื่อน หากไม่เป็นกลุ่มคนที่มีรายได้น้อย อายุมาก ก็อาจเป็นเพราะยังไม่แต่งงาน เนื่องจากคนกลุ่มนี้มีเครือข่ายสังคมค่อนข้างเล็ก ดังนั้นคนรักจึงกลายเป็นเหมือนเพื่อนสนิท ที่เข้ามาเติมช่องว่างที่หายไปด้วย

นักวิจัยยังเสริมอีกว่าถึงยังไงการมองคนรักเป็นเพื่อนสนิทก็ยังคงเป็นเรื่องที่ดี เพราะเป็นการมีคนที่ใช้ชีวิตประจำวันร่วมกัน หรือแชร์ความรู้สึกที่ลึกซึ้ง ก็ช่วยให้เรารู้สึกสบายใจที่ยังมีเพื่อนที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างกัน และที่สำคัญในความสัมพันธ์แบบคนรัก เรามักรู้สึกกล้าขอ หรือยังคาดหวังให้อีกฝ่ายทำบางอย่างกับเราได้ เช่น ชวนดูคอนเสิร์ตเป็นเพื่อน แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้ชอบเหมือนกับเรา หรือขอให้มารับไปส่งในวันที่กลับดึก อย่างที่เพื่อนคนอื่นๆ ไม่สามารถทำแทนให้ได้
อย่างไรก็ตาม แม้จะดูเหมือนเป็นความสัมพันธ์ที่คล่องตัว แต่ก็ไม่ต่างจากความสัมพันธ์อื่นๆ ที่ต้องการดูแล หากอยากให้ความสัมพันธ์นี้แข็งแรง เคนดรา เชอร์รี่ (Kendra Cherry) ผู้เชี่ยวชาญด้านการฟื้นฟูจิตวิทยาสังคม ก็แนะนำไว้ ดังนี้
- ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายพยายามอยู่คนเดียว: ในความสัมพันธ์ที่ดีต้องมีพยายามด้วยกันทั้งสองฝ่าย อย่าปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นคนจัดแจงทุกอย่างเพื่อให้เราได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน หากที่ผ่านมาเขาทำอะไรดีๆ ให้เรา ดังนั้นครั้งต่อไปก็ควรเป็นเราที่เป็นฝ่ายเอ่ยปากชวนให้มาเจอกันแทน
- สื่อสารสม่ำเสมอ: เมื่อความสนิทสนมเพิ่มขึ้น บางครั้งอาจเข้าใจต่อให้ไม่ต้องพูดอีกฝ่ายก็น่าจะรู้ใจ จนเกิดเป็นความห่างเหินไม่รู้ตัว ดังนั้นลองใช้ความสนิทให้เป็นประโยชน์ แล้วสื่อสารออกไป เช่น เรารู้สึกอะไร ขอบคุณเมื่ออีกฝ่ายทำอะไรดีๆ ให้ ขอโทษเมื่อทำผิด หรืออยากให้อีกฝ่ายทำอะไร เท่านี้ก็ช่วยให้ความสัมพันธ์นี้ง่ายขึ้น
- อยู่เคียงข้างกันในที่เวลาที่อีกฝ่ายต้องการ: แม้เราจะมองแฟนเหมือนเพื่อน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องทำตัวเหมือนเพื่อนกันจริงๆ โดยความสัมพันธ์แบบเพื่อนมักมีระยะห่างบางๆ หรือปัญหาบางเรื่องที่เพื่อนไม่จำเป็นต้องรับรู้ ส่วนในความสัมพันธ์แบบคนรัก ทั้งคู่ต่างก็ต้องการคนคอยอยู่เคียงข้าง ทั้งในวันที่สุขและวันทุกข์ การปรากฏตัวทุกครั้งไม่ว่าเจอเรื่องอะไรก็ช่วยทำให้เราเข้าใจคุณค่าของความสัมพันธ์นี้มากขึ้น
แม้จะไม่ได้โรแมนติกอย่างที่เราเคยเห็น แต่การมองคนรักแบบเพื่อนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก อย่างน้อยก็ช่วยให้เรารู้สึกอุ่นใจ เมื่อรู้ว่ามีอีกคนคอยสนับสนุนเราเสมอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
อ้างอิงจาก